Category Archives: หนังไทยมาใหม่

รีวิว Avengers Infinity War

รีวิว Avengers Infinity War

รีวิว Avengers Infinity War

 

รีวิวหนังดัง ในวันที่แฟนๆเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่นั้นจะได้เห็นหนังการรวมตัวของฮีโร่หนังรวมฮีโร่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา สวัสดีครับวันนี้แอดมาแนะนำหนังมาเวลอเวนเจอร์ภาค 3 หลังจากที่ห่างหายกันไปเนิ่นนาน ครั้งนี้เหล่าฮีโร่ต้องเผชิญกับภัยร้าย หรือก็คือ โชคชะตาที่มิอาจเลี่ยง หลังรอคอยมายาวนานถึง 6 ปีนับตั้งแต่มีการเปิดตัวว่าจักรวาลมาร์เวลจะมีตัวร้ายชื่อทานอส เป็นบอสใหญ่ตัวสุดท้ายใน The Avengers ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงแล้วเมื่อ Avengers Infinity War เข้าฉาย และผลตอบรับของภาพยนตร์เรื่องมีเสียงแตกไปทั้งสองฝั่ง มีทั้งชอบสุดๆ และ ไม่ชอบเพราะผิดหวัง แล้วเราล่ะรู้สึกอย่างไรทำไมถึงให้ 7 เต็ม 10 อยากมาชวนแลกเปลี่ยนกันในรีวิวนี้

Avengers Infinity War เป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 19 ของจักรวาล Marvel Cinematic Universe ซึ่งภาคนี้กำกับด้วยสองพี่น้อง ‘แอนโทนี รุสโซ’ และ ‘โจ รุสโซ’ ที่ผ่านมาพวกเขากำกับภาพยนตร์ฮีโร่มาแล้วสองเรื่องก่อนหน้านั้นคือ

Captain America : The Winter Soldier , Captain America : Civil War ครั้งนี้ทั้งคู่ได้รับความไว้ใจจาก Marvel Studio ให้กำกับหนังมหากาพย์ปิดตำนานฮีโณ่ นั่นแปลว่าพวกเขาต้องสามารถคุมหนังได้แบบเอาอยู่ หนังที่เชื่อมจักรวาล MCU ซึ่งถูกคาดหวังไว้สูง เว็บหนัง

รีวิว Avengers Infinity War

รีวิวหนังดัง เกริ่นนำสั้นๆ ก่อนว่าจักรวาลมาร์เวลเฟส 3 นั้นหนึ่งในโปรเจคต์ยักษ์คือ Infinity War ซึ่งแฟนมาร์เวลรู้ดีว่าที่ปูเรื่องมาทั้งหมดตั้งแต่ Iron Man จนถึงวันนี้ก็เพื่อที่จะมาเชื่อมจักรวาลทั้งหมดก่อนจะเปลี่ยนผ่านไปสู่เรื่องราวใหม่ของฮีโร่ตัวใหม่ที่รอการปั้นทั้งสไปร์เดอร์แมน แบล็คเเพนเธอร์ กัปตันมาร์เวล และ เเอนท์แมน

จึงไม่แปลที่คนจะคาดหวังความสมบูรณ์แบบ เพราะอุตสาห์ปูเรื่องมายาวนานตั้ง 10 ปี พูดถึงบทสรุปสุดท้ายสักทีก็ต้องยิ่งใหญ่หน่อย แน่นอนความคาดหวังนี่แหละที่นำมาซึ่งเสียงวิจารณ์ในแง่ลบว่า Infinity War สนุกนะ แต่อาจจะยังไม่ดีพอ แม้ผู้กำกับจะเป็นสองพี่น้องรุสโซ ที่ทำกัปตันอเมริกาทั้งสองภาคออกมาได้สนุกสุดยอดก็มีคนรู้สึกผิดหวัง

รีวิว Avengers Infinity War

หากมองในฐานะแฟนบอยที่ติดตามหนังมาร์เวลทุกเรื่อง (ไม่ได้โม้พูดจริง) เราก็คิดว่าเขาทำหนังออกมาได้สนุก ลุ้นมือจิกเบาะในบางฉาก แต่รู้สึกว่าขาดความยิ่งใหญ่ที่คิดไว้ในหัว ซึ่งไม่แน่ใจว่านี่คือการกั๊ก แล้วไปปล่อยหนัก ๆ ใน Avengers 4 หรือเปล่า ภาพรวมของเราจึงรู้สึกว่า “หนักมือกว่านี้อีกก็ได้นะพี่ อย่ายั้ง…”

เนื้อเรื่องเข้มข้น ไม่ยืดเยื้อแม้หนังจะนาน 150 นาที

ถึงแม้เราจะรู้สึกว่า ‘ไม่อิ่ม’ แต่อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของ Infinity War นั้นกลับไม่น่าเบื่อเลย อาจจะเพราะเนื่องจากเรื่องราวของทานอสถูกปูมาแล้วในเอนเครดิตของหนังในจักรวาลมาร์เวลหลายเรื่องแล้วจึงไม่ต้องมานั่งปูเรื่องอะไรอีก มาถึงก็ใส่ยับโชว์ความโฉดของทานอสตั้งแต่ฉากแรก

แม้ฮีโร่จะออกมากันเยอะระดับหลักสิบกว่าตัว แต่มีการเฉลี่ยเรื่องราวออกมาได้เท่า ๆ กันไม่รู้สึกหนักหรือเอียงไปที่ใคร ในเรื่องจะแบ่งเรื่องราวของฮีโร่ออกเป็นสี่กลุ่มคือ กลุ่มบนดาวโลกที่นำทีมโดยกัปตันอเมริกา, กลุ่มที่ดาวไททันนำโดยไอรอนแมน ,กลุ่มที่พาธอร์ไปตีค้อนใหม่ และ กลุ่มที่ไปดาวไททัน

การดำเนินเรื่องนั้นไม่ได้ปล่อยให้เราพักหายใจหายคอ ไม่ได้รู้สึกเบื่อยิ่งสองฉากใหญ่ช่วงท้ายทั้งการต่อสู้บนดาวไททัน และ ดาวโลกยิ่งทำให้เราเอาใจช่วยฮีโร่ทุกคนอย่าใครตายไปมากกว่านี้เลย หรือถ้าตายก็อยากให้ตายเท่ ๆ อย่าตายแบบไม่ให้ราคาเลย

ปรากฎว่ามีฮีโร่ตาย (ไม่บอกว่ากี่คน) และ เป็นความตายที่เท่มาก ๆ มันต้องอย่างงี้ ตายคือตาย อย่าไปอิดออด (ถึงบางตัวเราจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ตายจริงหรอก)

แทรกความฮาสมกับเป็นมาร์เวล

หนังมาร์เวลมีเสน่ห์ที่ความฮาด้วยไม่ใช่แค่ซัดกันนัว ซึ่งใน Infinity War ก็ไม่ได้ทำให้หนังดูเครียดทั้งเรื่อง แต่ยังแฝงมุกอยู่ในทุกช่วงเวลา ต่อให้เป็นฉากต่อสู้หน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหน ก็ยังอุตสาห์จะเล่นมุกอีกเนอะ ซึ่งน่ารักดี หลายซีนติดอยู่ในใจเราแม้จะเดินออกจากโรงแล้วก็ตาม

รีวิว Avengers Infinity War

สิ่งที่อยากชมมาร์เวลคือเซ้นส์ของมุกตลกนั้นมีเสน่ห์มากกว่าในหนังฮีโร่ของดีซี (เราขอบหนังฮีโร่ทุกเรื่องไม่เกี่ยวค่ายต้องออกก่อน เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง) อย่างใน Justice League เราก็ชอบในมุกที่แทรกอยู่ในหนังแต่มันไม่ได้มีจังหวะที่เราชอบทั้งหมด หลายมุกแค่หึหึ ไม่ได้ฮาก๊ากเหมือนใน Infinity War

มิติของตัวละคร และ การแบ่งความสำคัญทำได้ดี

ที่อยากจะชมมาก ๆ คือตัวละครใน Infinity War ไม่ได้แบนราบหรือเล่าแต่เรื่องราวของฮีโร่ แต่ยังแบ่งเวลากว่าครึ่งของหนังเพื่อเล่าเรื่องของทานอสทั้งความวิบัติฉิบหายที่ทานอสทำ และ จิตใจของทานอส ที่ทำให้เราได้เห็นว่า เฮ้ย! ทานอสก็มีจิตใจ มีความคิดนี่หว่า ไม่ใช่แค่ยักษ์บ้าไล่ล้างจักรวาล สิ่งที่ทานอสทำมีที่มาที่ไป มีเหตุผล แต่วิธีการมันสุดโต่งไปหน่อยเท่านั้นเอง

ซึ่งความมีมิติของตัวละครไม่แบนนี่แหละเป็นเสน่ห์ของมาร์เวล แต่ก็อยู่ที่ว่ามาร์เวลจะใช้มิติของตัวละครได้อย่างสมบูรณ์จนจบหรือไม่ แต่ในภาคนี้ทำได้ดีมากจนกระทั่งจบเรื่อง
เสน่ห์ของหนังฮีโร่ของมาร์เวลไม่ใช่ใครหมัดหนักกว่าก็ได้เปรียบ ดังนั้นต่อให้เป็นฮีโร่ระดับพลังมนุษย์อย่างแบล็ควิโดว์ ก็ยังมีบทบาทที่เป็นไปได้ในการต่อสู้ เว็บดูหนัง

ฉากใหญ่ทำได้มัน! ออกแบบการต่อสู้ได้สนุกลุ้นมือจิกเบาะ
ฉากต่อสู้นี่ต้องบอกว่า สนุกสัXcxv*76&cv-0e-gxbs90cspviaw มันฉิบห@vopwjpsauif88s59paovli0-3v;.av (ไม่ได้พิมพ์ผิดนะแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง) เอาเป็นว่าโคตรสนุกลุ้นเอาใจช่วยเพราะถ้าปกติหนังฮีโร่มันก็ออกมาแนวเดิมคือธรรมะชนะอธรรม แต่คราวนี้เหมือนจะไม่ใช่สักทีเดียว เพราะสถานการณ์เอียงไปทุกทาง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฮีโร่บนโลกแทบจะจนมุม หาทุกสรรพวิธีมาใช้

บทสรุปใน Avengers Infinity War

รีวิวหนังดัง หนังเรื่องนี้มีตัวร้ายที่ร้ายสุด ๆ เก่งสุด ๆ และทำให้เราเกลียดน้อยลงได้ระหว่างการเดินไปของเรื่อง นี่มันคือรสแบบที่ไม่มีทางเจอในหนังเด็กน้อยอีกแล้ว นี่คือหนังที่โตมากับเด็กคนเมื่อ 10 ปีก่อน แล้วตอนนี้พร้อมรับอะไรหม่น ๆ ดาร์ก ๆ เข้าใจชีวิต เหมือนนักดื่มที่เข้าใจความสวยงามในรสขมของสุราแล้วนั่นล่ะ

ดังนั้นอาจมีทั้งคนที่รักมันและเกลียดมัน แบบที่ดิสนีย์เคยทำใน The Last Jedi เพราะหนังที่ยิ่งใหญ่มันสร้างแรงกระเพื่อมและข้อถกเถียงได้กว้างใหญ่กว่าตัวมันเสมอ และ Infinity War ก็เช่นกัน บอกเลยว่าอย่าไปสนใจว่าใครจะอวย หรือจะเกลียด มันคือหนังที่ต้องดูแค่นั้น เรื่องหลังจากนั้นมันคือต้นทุนของแต่ละคนที่สร้างมาเพื่อเก็บบางอย่างกลับไป

บางคนอาจได้ประเด็นความเป็นเพื่อน บางคนความเป็นพ่อ บางคนความเป็นลูก หรืออะไรอื่น ๆ อีกมาก แต่มันจะไม่มีทางเป็นหนังแบบที่โคตรสนุกแล้วออกมาหัวโล่งเบาหวิวไม่มีอะไรติดกลับไปแน่นอนครับ ธานอส คือตัวร้ายที่มีมิติอย่างที่บอก ว่าเราค่อย ๆ เข้าใจการกระทำเขาขึ้นเรื่อย ๆ และ เกลียดเขาลดลง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ทำให้เรารู้สึกรักขึ้นได้เลยแม้แต่สักนิด (นี่มันอะไรกัน!)

เรื่องราวนี้ยังตัวละครมากมายที่เข้ามาสานเรื่องราว บางเรื่องราวเราคิดว่าเราเดาได้แน่ ๆ แต่เอาจริงมันก็มีอะไรที่เหนือกว่าที่เราจะเดาไปอีก บางคนเรารู้ว่าเขาแสดงแน่ ๆ แต่พอเขาปรากฏตัวมันก็เซอร์ไพรส์กว่าที่คิดไปอีก มันคือการเดาความคาดหวังของคนดูแล้วใส่ +++ เข้าไป จนเราขนลุกได้ตลอดเวลา ดูหนัง

ส่วนที่ไม่ชอบก็มีครับตรงนี้คงพูดได้โดยไม่สปอยล์ เพราะซีจีบางอย่างมันดูโลว์จนน่าเกลียดเลยโดยเฉพาะ ฮัลค์บัสเตอร์ ในซีนท้าย ๆ ที่เปิดเกราะ กับความแก้ปัญหาได้ง่าย ๆ บางอย่างที่เราเคยรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ มาแล้ว ดีว่ามันไม่ใช่อะไรที่จะเป็นจะตายสำหรับหนังเรื่องนี้น่ะนะ

แล้วส่วนจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่เคยดูหนังพวกนั้นมาก่อน มันจะไม่ใช่แบบว่า อ่อไม่เป็นไร ตัวนั้นก็คือตัวร้าย นั้นคือฝั่งตัวดี เรื่องก็เดินไปแบบธรรมะชนะอธรรม เพราะตอนนี้มันเรียกร้องคนดูไปมากกว่านั้น มันไม่ย้อนความมันไม่เล่าเกริ่นอะไรอีกแล้ว เพราะมันคือหนังที่ใช้ประโยชน์จากเวลา 10 ปีอย่างคุ้มค่าทุกเม็ดทุกหน่วย แบบที่บอกว่าถ้ามาเมาไวน์ อย่าเสียเวลาเกริ่นด้วยน้ำองุ่น แล้วมันคือหน้าที่ของแฟนหนังที่ต้องพร้อมกับมันเองครับ ใครพาแฟนหรือเพื่อนที่ไม่เคยดูมาก่อนไป ก็ทำใจเลยครับว่าจะต้องตอบคำถามเพียบจนอาจเบื่อระหว่างดูไปเลย แนะนำให้ทำการบ้านกับคนที่พาไปดูสักนิดครับ แล้วจะเจริญใจกันทั้งสองฝ่ายแบบสุด ๆ

ในระหว่างต่อสู้มีเซอร์ไพร้ส์มากมาย โดยเฉพาะฉากใหญ่บนดาวไททันกับฉากที่วากานด้า เป็นการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเป็นการแลกกันของจริง ไม่ได้ฝ่ายใดฝ่ายนึงโดนยำตีนอย่างเดียว แต่เป็นการสลับกันยำตีนวัดกันที่ความเท่ล้วน ๆ ในจังหวะทีเด็ดทีขาด หรือจังหวะจุดเปลี่ยนก็ทำได้ดีมาก กระทั่งตอนจบก็ทำให้เรารู้สึกว่า…. เมื่อไหร่จะปีหน้าโว้ยยย รอไม่ไหวแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่ายังไม่สุด มันยังใส่ยับได้อีกซึ่งเราคิดว่าภาคสองคงจะใส่ยับมากกว่านี้แน่ ๆ

บทสรุป

ไปดูเถอะถ้าคุณเป็นแฟนมาร์เวล แม้ไม่ดูมาครบทุกเรื่อง และ อาจจะต้องใช้ความคิดนึงนึงว่า “เอ้…เมื่อกี้หมายถึงอะไร” แต่คุณจะสนุกไปกับมัน ตอนจบบางคนอาจจะไม่ชอบ แม้จะจบเคลียร์มากแล้วก็เถอะ มีเอนเครดิต ต้องดูเลย!!

รีวิว Red Rocket

รีวิว Red Rocket

รีวิว Red Rocket

รีวิวหนังดัง สวัสดีครับวันนี้แอดมินมาเล่าหนังชีวิตหนังสะท้อยชีวิตสังคมของหนุ่มวัยกลางคน เป็นเรื่องราวของ นักแสดงหนังโป๊วัยกลางคน ไมกี้ เซเบอร์ (เร็กซ์) หนีจากลอสแองเจลิส ถูกทำร้าย และ ฟกช้ำด้วยเงิน 22 เหรียญสำหรับชื่อของเขา ย้อนกลับไปที่เมืองเท็กซัส ซิตี้ บ้านเกิดของเขา เขาได้พบกับสตรอว์เบอร์รี (ลูกชาย) พนักงานร้านโดนัทวัย 17 ปี และ เริ่มคิดหาวิธีที่จะสร้างสถานะใหม่ขึ้นมาใหม่ และ ตอกย้ำความเป็นดาราของเขากลับคืนมา

Mikey Saber ของ Simon Rex เป็นสิ่งมีชีวิตที่กระตุก ศีรษะสูง ราวกับว่าเขากำลังลอยอยู่เหนืออึของตัวเอง เขามักจะวิ่งไปรอบๆ คอยระวังอยู่เสมอ เขาเคลื่อนไหวเหมือนเมียร์แคต และ คิดเหมือนงู อุบายชั่วนิรันดร์ ถ้าเขาเคยมีช่วงความสนใจ มันก็หายไปพร้อมกับศักดิ์ศรี และ ความตระหนักในตนเองของเขา “อีกไม่นาน มันก็จะเหมือนกับว่าเรายังคงแต่งงานกัน”

เขากล่าวกับอดีตคู่หู เล็กซี (บรี เอลรอด) ผู้ซึ่งไม่ยอมปล่อยให้เขาล้มลงบนโซฟาของเธออย่างไม่เต็มใจ “เรายังคงแต่งงานกัน” เธอจ้องเขม็ง “โอ้ มีแมลงปอ!” เขาตอบ มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่สนใจเธอโดยสัญชาตญาณเพราะข้อมูลของเธอไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังมองหา ดูหนัง

รีวิว Red Rocket

รีวิวหนังดัง ไมกี้เป็นหรือเคยเป็นนักแสดงหนังโป๊ พวกเขาทั้งคู่เป็น แต่เขาอยู่ในหลักสูตรทำให้ใหญ่ในลอสแองเจลิสจนกระทั่งสิ่งต่าง ๆ พังทลาย ตอนนี้ ด้วยไวอากร้าหนึ่งซอง และ คอมเพล็กซ์ที่เหนือกว่าที่ใส่ผิดที่ เขาจึงหนีกลับบ้านไปยังเมืองที่เขาเกลียดชัง เหลือเพียงคนเดียวที่จะพาเขาเข้ามา

เขาคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ แต่ไม่มีใครสนใจ ผู้คนที่นี่ เขาเป็นคนขี้ขลาดแบบเดิมๆ ที่เขาเคยเป็น ส่วนใหญ่—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง—ไม่แม้แต่จะปกปิดการดูถูกเหยียดหยามด้วยซ้ำ เล็กซี่เตือนเขาว่าเขาจะไม่ก้าวเข้าไปในเมืองอีกเลย “แล้วโลกก็ทำร้ายฉัน ฉันจะพูดอะไรได้” เขาถ่มน้ำลายกลับ

ผู้กำกับฌอน เบเกอร์ชอบแหย่เรื่องราวที่เหลืออยู่ของ The American Dream ภาพยนตร์เกือบทั้งหมดของเขา — แน่นอนว่าในไม่กี่เรื่องสุดท้าย ซึ่งรวมถึงStarlet , Tangerine และ The Florida Project — ติดตามผู้คนส่วนใหญ่ที่ชายขอบ ซึ่งติดอยู่ ถูกพันธนาการโดยพฤติการณ์ พยายามจะออกไป ค้นหาทางหนี ความสำเร็จ ชีวิตอื่น อีกรอบ และ สำหรับไมกี้แล้ว ทุกคนคือสินค้าโภคภัณฑ์ ทุกคนต้องอยู่บนโลกใบนี้เพื่อประโยชน์ของเขา เพื่อช่วยเขาปีนบันไดของสังคม เหยียบย่ำพวกเขาในขณะที่เขาทำเช่นนั้น

รีวิว Red Rocket

การกระทำมากมายในRed Rocketเช่นเดียวกับส้มเขียวหวานเกิดขึ้นในร้านโดนัท ที่ซึ่งผู้คนแห่กันไปซื้อน้ำตาล และ วัชพืช และ โรงกลั่นน้ำมันแห่งนี้ก็มีอยู่จริง มันคือปี 2016: ในโทรทัศน์ ทรัมป์ดึงดูดผู้ชมของเขา โดยบอกว่าเขามีสิ่งที่พวกเขาต้องการ ในขณะเดียวกัน ไมกี้ก็เข้าไปขายวัชพืช “ผมเป็นเด็กรักชาติ”

เขาบอกกับสำนักข่าวในขณะที่ซื้อกระดาษม้วน Stars and Stripes แต่เขาเหรอ? ส่วนใหญ่อาจจะไม่ เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แค่สิ่งที่เขาต้องการ เขาบอกเรย์ลี (ซูซานนา ซัน) ที่ทำงานในร้านโดนัท และ เรียกตัวเองว่าสตรอเบอรี่ว่าเธออยากฟังอะไร เพราะเขาเริ่มชอบเธอในทันที และ มองว่าเธอเป็นตั๋วที่เขาจะออกไปจากที่นี่ ทั้งๆ ที่ และ เพราะ ความจริงที่ว่าเธออายุ 17 ปี บางที เขาคิดว่า เขาสามารถเกิดใหม่ได้ในหนังโป๊ในฐานะตัวแทน

บนกระดาษ ไมกี้เป็นยาขับไล่; บนหน้าจอที่น่าสนใจ ไซม่อน เร็กซ์ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์ มีเสน่ห์ ทำให้เขามีการแสดงที่น่าจับตามองมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เราต้องดึงดูดเขาเพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจว่าเขามีส่วนร่วมกับคนอื่นอย่างไร และ เราเป็น — เขามีเสน่ห์อย่างไม่รู้จบ สนุกสนาน และ ตลกขบขัน และ ไร้สาระ

รีวิว Red Rocket

เบเกอร์มีความสามารถพิเศษในการคัดเลือกนักแสดงอย่างไม่น่าเชื่อ และ เขายังรายล้อมเร็กซ์ด้วยผู้คนที่รู้สึกเหมือนอยู่ในตัวละครของพวกเขาตลอดไป แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่เคยแสดงมาก่อนก็ตาม นั่นคือกลเม็ดมายากลที่ยิ่งใหญ่ของ Baker ซึ่งเล่นอย่างชาญฉลาดที่นี่

ตัวละครในสมมติดูเหมือนจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนลอยอยู่บนกำแพง แต่มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ มันมีพลังขับเคลื่อนอย่างมาก ส่วนใหญ่ดูเหมือนว่ามันแค่ไปเที่ยวกับคนเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ สร้างความสัมพันธ์ และ ความขุ่นเคือง

ถึงแม้ว่าหัวใจของตัวละครนำจะกลวง แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ารัก ภาพนี้ถ่ายด้วย Super 16 มม. ที่มีเกรนน้อยน่ารักโดยช่างภาพ Drew Daniels ซึ่งทำให้ Wavesของ Trey Edward Shults ดูงดงามมาก และเขาทำให้Red Rocketอบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์ในเท็กซัส

ที่นี่ Texas City ยังเป็นสถานที่ในโลกอื่น ๆ ที่เกือบจะเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ แสงนีออนในตอนกลางคืนของ Donut Hole ที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่ตรงหน้าเมืองที่มีแสงไฟสีเขียวและสีส้มของโรงกลั่นน้ำมัน ในขณะที่ไฟถนนรอบๆ สั่นไหว ท้องฟ้าก็อบอวลไปด้วยควันปล่องไฟอย่างโรแมนติก . แฟนตาซีอยู่ในอากาศ เว็บหนัง

Texas City ไม่ได้หมุนรอบ Mikey Saber แต่เขาคิดว่ามันใช่ มืดบอดไปด้วยความหลงผิดและความสิ้นหวัง Rex, Baker และ Chris Bergoch ผู้เขียนร่วมประจำของเขาได้สร้างหนึ่งในตัวละครเอกพจน์ที่แท้จริงของภาพยนตร์ เขาเป็นคนที่คุณทำไม่ได้และจะไม่หยั่งรู้ แต่คุณไม่สามารถละสายตาจากเขาได้ กว่าหนังจะจบ คุณคงไม่รู้หรอกว่าอะไรกระทบกระเทือนใจคุณ แล้วเขาก็ไป

สรุปเรื่อง Red Rocket

รีวิวหนังดัง นักแสดง (ประกอบด้วยมือโปรสองสามคนและมือใหม่ดีๆ มากมาย) เรียงรายไปด้วยสถานที่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ปรับบริบทของการวางอุบาย ฝุ่น และการแตกตื่นของ Mikey ในรายการ America’s Decline ไมกี้กำลังเดินลัดเลาะไปตามท่อระบายน้ำในประเทศที่มีคนเพียงไม่กี่คนมีทรัพย์สินมากกว่าที่ใครๆ ต้องการนับล้านเท่า ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการเลิกจ้างหรือถูกวินิจฉัยว่าไร้บ้าน จากจุดชมวิวนั้น คุณจะเห็นได้ว่าเหตุใด Mikey จึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะบันทึกทุกช่วงเวลาแห่งความสนุกและชัยชนะที่หายวับไปอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าเขาจะทำได้

ผู้กำกับภาพ ดรูว์ แดเนียลส์ (“Waves) ถ่ายทำรายการทั้งหมดด้วยฟิล์ม 16 มม. ด้วยภาพที่นุ่มนวล/เป็นเม็ดเล็กๆ ที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ลูกครึ่งที่มีเสน่ห์ของทศวรรษ 1970 ที่เบเกอร์และบริษัทของเขาเรียนกันอย่างชัดเจนว่าเป็นการเขียนด้วยลายมือ . คุณเจอโจ บัคจากเรื่อง “Midnight Cowboy” และตัวเอกของเรื่อง “Hud” ตะวันตกสมัยใหม่ ทั้งจาก Texans แล้วจากนั้นก็ตีหัวเขาสองสามครั้งด้วยค้อนการ์ตูนขนาดใหญ่ คุณก็ทำได้ คุณพบกับ Mikey ซึ่งกลายเป็นหกส่วนท้าย สอง รุ่นผู้ป่วยนอกของกายวิภาคของเขาซึ่งเขาหาเลี้ยงชีพและนั่นจะไม่ทำงานถ้าเขาไม่เติมด้วยยา

รีวิว Red Rocket

หายนะอันจูงใจที่ Mikey’s Rise to Power Act 3 ปลดปล่อยออกมาเป็นหนึ่งในกรณีเหล่านั้นที่จักรวาลมักจะพลาดคำอุปมาเรื่องชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาขาดความตระหนักในตนเองมากจนพวกเขา ‘ไม่ได้ทำ’ ได้รับข้อความ มันเหมือนกับนักต้มตุ๋นฟิล์มนัวร์ที่เสียชีวิตที่ป้ายที่เขียนว่า “เดดเอนด์” และพูดด้วยลมหายใจที่กำลังจะตายว่า “ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นทางตัน”

ถ้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมสามารถไปหาสัตว์ได้ บูลด็อกตาเป็นประกายของ Lexi น่าจะเป็นคู่แข่งกัน บางครั้งเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้หัวเราะออกมาเพราะความปวดร้าวของก้อนหิมะของฮีโร่ และคุณคิดว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งที่สูงสุดได้ ทั้งหมดก็อยู่ที่สุนัขที่กำลังมองมาที่ Mikey เพราะตัวเขาเองรู้จักผู้ชายคนนี้ดีที่สุดมากกว่าที่เขารู้จักตัวเอง เว็บดูหนัง

ภาพยนตร์ที่มีเสน่ห์และสวยงามเกี่ยวกับ toerag ทั้งหมด Red Rocket เป็นการศึกษาตัวละครที่ไม่เหมือนใคร: Mikey Saber จะทำให้ถุงเท้าของคุณมีเสน่ห์และคุณจะเกลียดเขาสำหรับมัน

 

รีวิว Captain America Civil War

รีวิว Captain America Civil War

รีวิว Captain America Civil War

หนังไทยมาใหม่ สวัสดีครับวันนี้แอดมินเค มาแนะนำหนัง ซุปเปอร์ฮีโร่สุดคลาสสิค เรื่องกัปตันอเมริกา ภาค 3 ที่แอดมินชอบมากๆอีกเรื่องเลย ไม่ได้เขียนชื่อหนังผิดแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าหลาย ๆ คนดูมาแล้วก็จะเข้าใจว่า พล็อตของคำว่า Civil War นั้นมันคลุมตัวหนัง กัปตันอเมริกาภาค 3 ได้ชัดเจนกว่ามาก ๆ จริง ๆ จนสมควรเอาชื่อภาคขึ้นนำเลยล่ะ Civil War เป็นอีเว้นท์ฮีโร่แบ่งพวกแล้วซัดกันเองของมาร์เวล คอมมิค ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากการที่รัฐบาลต้องการควบคุมสิทธิ์การใช้พลังที่อิสระเสรีของเหล่าฮีโร่เพื่อความปลอดภัย และ ตรวจสอบได้

โดยมีเหตุการณ์การเข้าจับกุมตัววายร้ายที่ผิดพลาดของฮีโร่วัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง จนทำให้เกิดเหตุระเบิดรุนแรง และ มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ส่งผลให้กัปตันอเมริกากับไอออนแมนต้องแตกหักกัน เพราะกัปตันฯต้องการรักษาความมีอิสระในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ไว้ ในขณะที่ไอออนแมนต้องการให้ฮีโร่เป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับ และ ลดความเสี่ยงในการทำร้ายประชาชนที่บริสุทธิ์ลง

หนังจากการตีความบทใหม่โดย Christopher Markus และ Stephen McFeely สองมือเขียนบทที่ดูแลหนังกัปตันอเมริกามาแล้วตั้งแต่ภาคแรก และ ยิ่งนับวันยิ่งคม และ สนุกขึ้นเรื่อย ๆ พูดตรง ๆ ว่าภาคแรกนั้นน่าเบื่อเอามาก ๆ สำหรับผมนะ แต่พอมาภาคสองนี่ โห เข้มข้นแบบสร้างแนวทางหนังกัปตันฯให้แตกต่างชัดเจนจากหนังมาร์เวลเรื่องอื่น ๆ ไปเลย

รีวิว Captain America Civil War

เพราะจะมีความหม่น ๆ และ ดราม่าแบบการเมืองอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งพอมาภาค 3 ทันทีที่ประกาศว่าจะเป็นซีวิล วอร์ นี่แบบคือเชื่อมือเลยว่า บทหนังน่าจะแข็งแรง และ กดดันความขัดแย้งในตัวละครได้ดีแน่ ๆ ซึ่งก็ดีจริง ๆ ดีมาก ๆ ในขณะที่เราดูหนังไปเราเห็นภาพสะท้อนสังคมโลกอยู่ในนั้นเลย โดยเฉพาะประเด็นหน้าที่ และ ขอบเขตอำนาจตำรวจโลกอย่างอเมริกาที่แสดงผ่านตัวกัปตันฯ และ ไอออนแมนนั่นล่ะ และ คำพูดตัวละครหลาย ๆ คำก็เสียดแทงสังคมมนุษย์จริง ๆ ด้วยเรียกว่ามีคติสอนใจแบบไม่ยัดเยียดด้วยนะ

และ ความดีงามผิดหูผิดตาในหนังกัปตันฯ สองภาคหลังนั้น อาจยังต้องยกความดีความชอบให้การกำกับของสองพี่น้อง Anthony Russo และ Joe Russo ที่เข้ามากุมบังเหียนนับตั้งแต่หนังภาคสอง วินเทอร์โซลเยอร์ ด้วย ตรงนี้ต้องชื่นชมแมวมองของมาร์เวลสตูดิโอจริง ๆ ที่เอาคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมาปลุกปั้นได้ถูกทุกทางจริง ๆ เชื่อว่าโลกเราจะได้ผู้กำกับ และ ทีมงานทำหนังสนุก ๆ ชั้นยอดที่เกิดจากค่ายนี้อีกหลายคนเลยทีเดียว

โดยไม่สปอยล์ คงพูดได้เพียงว่าหนังเอาหัวใจสำคัญจากคอมมิคชุดซีวิล วอร์ มาใช้ได้อย่างเหมาะสม ในแบบจักรวาลของหนังมาร์เวลที่มีทางของตัวเอง นั่นคือไม่เหมือนกับในคอมมิคแน่ ๆ นั่นทำให้เราดูหนังได้อย่างสนุกมาก ๆ เพราะไม่รู้เลยว่าจะเป็นอย่างไร เว็บหนัง

รีวิว Captain America Civil War

รีวิวหนังดัง โดยเนื้อเรื่องว่าด้วยความรู้สึกของตัวละครสองกลุ่ม และ ข้อขัดแย้งภายในจิตใจที่เกิดจากเหตุการณ์ผลกระทบในอดีต ทั้งความพินาศของเมืองต่าง ๆ ในการปฏิบัติการแต่ละครั้งของฮีโร่ โดยเฉพาะจากหนัง อเวนเจอร์ ภาคล่าสุดอย่าง เอจออฟอัลตรอน ที่ทำให้เมืองโซโคเวียไม่เหลือชิ้นดี ตรงนี้ก็เปิดช่องให้ขุมกำลังที่ชื่อสหประชาชาติ (ในฐานะตัวแทนมนุษยชาติในแง่มุมหนึ่งนะ) เข้ามาแสดงบทบาทในการทวงถามการตรวจสอบการทำงานของฮีโร่ด้วย

ผลกระทบของการปฏิบัติการโซโคเวียยังส่งผลมาหลายสายทางในหนังภาคนี้ โดยเฉพาะมากที่สุดกับโทนี่ สตาร์ก ที่เราจะเห็นความกลัวในใจของเขาในภาคเอจออฟอัลตรอนแล้วจากนิมิตที่เขาพบว่าตนเป็นต้นเหตุให้เพื่อน ๆ ตายกันหมด ความกลัวที่ตัวเขาจะสร้างผลกระทบกับคนที่รัก และ เหยื่อบริสุทธิ์นั้นถูกขยายอย่างมากในหนังภาคนี้ และ ทำให้โทนี่เป็นตัวละครที่เด่นไม่เป็นรองกัปตันอเมริกา ซึ่งถ้าดูให้ดีแล้วเขาคือตัวขับเคลื่อนเรื่องเสียด้วยซ้ำ

ตรงนี้พาดพิงแล้ว ขออวยหน่อย ป๋าโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ไม่ใช่แค่ไอออนแมนที่ขาดไม่ได้ในจักรวาลมาร์เวลเท่านั้น แต่ ณ จุดนี้ต้องบอกเลยว่า ป๋าแกคือองค์ประกอบที่สำคัญโคตร ๆ ในการทำให้หนังมาร์เวลเชื่อมโยง และ สนุกมาก ๆ ด้วยเคมีของแกที่เข้าโคตรดีกับตัวละครต่าง ๆ แม้แต่กับปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือไอ้แมงมุม ที่มาปรากฏกายครั้งแรกในหนังเรื่องนี้

รีวิว Captain America Civil War

การรับส่งบทมุกต่าง ๆ กับเฮียแกนี่ ทำให้ซีนธรรมดา ๆ อย่างคุยกันกลายเป็นการเปิดตัวที่น่าจดจำของสไปดี้คนใหม่อย่าง ทอม ฮอลแลนด์ ได้เลย นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่สตูดิโอต้องพยายามดึงป๋ามาเล่นใน Spider-man: Homecoming ซึ่งเป็นการรีบูทใหม่ในปีหน้านี้ด้วย คือตรงนี้ต้องบอกเลย ต่อให้โทนี่ สตาร์กจะเลิกเป็นไอออนแมนก็ไม่เป็นไรเลย แต่ขอแค่ป๋ายังโผล่มาเป็นโทนี่ในหนังเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

แบล็กแพนเธอร์ สไปเดอร์แมน โผล่เข้ามาในเรื่องได้มีเหตุผลเข้าท่า ไม่ได้จับยัด ๆ เข้ามา แถมมีฉากโชว์ของตัวเองที่ติดตาด้วย ส่วนตัวละครอื่น ๆ ที่อยู่ประจำแล้วนั้นแบ่งเฉลี่ยบทได้ดี มีฉากขโมยซีนของตัวเองกันทั้งนั้น โดยเฉพาะ แอ๊นท์แมน อันนี้ต้องไปดูกันนะ ดูหนัง

สรุป Captain America Civil War

รีวิวหนังดัง ด้านความขัดแย้งของทั้งในตัวละคร และ ระหว่างตัวละครนี่โอเคหมดเลย สมจริง ไม่มีตรรกะอ่อนให้ต้องพูดแซวกันเลย คือหนังคุณภาพมาก ๆ แม้จะโคตรนานถึง 2 ชั่วโมง 26 นาทีก็เถอะ หาเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงนี้เข้าโรงไปดูเลยคุ้มมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะชอบหนังซูเปอร์ฮีโร่หรือไม่ก็ตาม

ถามว่ามีส่วนให้ติงมั้ย ก็มีนะ ถ้าไม่ได้ตาเทพคอยจับผิดซีจีก็ถือว่าเนียนตามาก แต่ถ้าตาเทพก็มีดูลอยๆ บ้างเหมือนกันบางฉาก หนังบาลานซ์ฉากคุยกับฉากแอ๊กชั่นได้ดีนะ แต่ถ้าใครหวังจะแอ๊กชั่นรัวๆ หรือแอ๊กชั่นมโหฬารยิ่งใหญ่พังพินาศถล่มทลายไมเคิล เบย์ อันนี้ก็ไม่ขนาดนั้นนะ มันสมเหตุสมผลในสเกลพลังที่มาร์เวลตั้งไว้ล่ะ ว่าถึงจะซัดกันแต่ไม่มีใครอยากเอาอีกฝ่ายถึงตาย เพราะแต่ละหมัดที่อัดเพื่อนมันเกิดแผลฉกรรจ์ในใจตัวละครมากอยู่แล้ว คือจะเอาแบบอะพอคาลิปส์โลกแตกแบบตัวอย่างหนังเอ็กซ์เมนภาคใหม่นั่นก็คงไม่ใช่

แล้วก็สเกลพลังของแวนด้านั้นแม้จะปรับลดจากในคอมมิคลงมาเยอะแล้วก็ตามแต่เราก็ยังรู้สึกว่าโกง ๆ อยู่เหมือนกันนะ โดยเฉพาะฉากสงครามใหญ่ ต้องไปชมเอง 555 หนังมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แฟนพันธุ์แท้ติดตามเป็นอีสเตอร์เอ้กอยู่ประปราย พูดไปก็สปอยล์ ดูแล้วลองมาหาอ่านกระทู้หรือเพจพวกแฟน ๆ เทพ ๆ เขาอธิบายละกันนะ เว็บดูหนัง

สรุป

คือถ้าให้วิจารณ์ตัวหนังก็บอกเลยว่าดีทุกองค์ประกอบ สนุกทั้งที่เป็นแฟนมาร์เวล และ ไม่ได้เป็น (ไม่แน่ใจว่าคนที่โผล่มาดูภาคนี้เลยเป็นเรื่องแรกจะเก็ตไหมนะ แต่เชื่อว่าแนะความสัมพันธ์ของตัวละครนิดหน่อยก็ดูได้ลื่นแล้วล่ะ แต่ให้ดีควรดูเรื่องอื่นๆอย่างกัปตันอเมริกา1-2 และ เอจออฟอัลตรอนจะดีกว่า)

ภาพเสียงซีจีได้มาตรฐาน ขอชื่นชมการออกแบบฉากต่างๆ ที่วางปมไว้แบบนึกว่าไม่สำคัญในตอนต้นๆ ก็ดันมากลายเป็นฉากที่พลิกเหตุการณ์ในภายหลังได้อีก บทสนทนานี่ก็พูดน้อยต่อยหนัก ทำให้ตามเรื่องง่าย แต่ก็คม และ ถ่ายทอดความคิดและ มิติด้านลึกของตัวละครได้ดีมากๆ หลายๆประโยคอย่างที่บอกตอนต้นว่าเสียดแทงใจมากๆโดยเฉพาะจากคำพูดตัวร้ายสุดฉลาด และ เหี้ยมโหดสมการรอคอยอย่าง ซีโม่ ด้วย

ตรงนี้ต้องบอกเลยว่าหลายๆคนที่ปรามาสตัวร้ายในหนังมาร์เวลว่าอ่อนไม่น่ากลัวนี่เตรียมกลับคำได้เลย ตัวร้ายตัวนี้เป็นอะไรที่น่าจับตามองมากๆ กลยุทธเทพๆ ที่อาศัยสมอง และ ความเป็นไปได้จริงๆ ไม่มีพลังเว่อวังใดๆ แต่สร้างความบรรลัยได้มโหฬารสุดๆ แถมเป็นตัวร้ายที่มีมิติลึกด้วย เรื่องราวของเขานี่ทำไซด์สตอรี่ได้เลยนะ

ปล. หนังมีท้ายเครดิตสองตอน นั่งรอดูเพลินๆ ไปนะ เปิดเรื่องหนังใหม่ที่กำลังจะมาได้ดีทีเดียวล่ะ

ปล.2 นี่สะกดความกรี๊ดตัวหนังไว้ในใจ พยายามเขียนให้ดูไม่อวยมากไปแล้วนะ หนังเขาสนุกจริงล่ะ 555

ปล.3 ช่วงนี้มันวันซีวิลวอร์แห่งสหประชาชาติจริงๆนะ ใครจะไปดูหนังแนะนำซื้อจองออนไลน์ไปก่อนเลย คนแน่นโรงยันแถวหน้าจริงๆ ผมนี่ซื้อออนไลน์ตั้งแต่ไก่โห่ยังได้โซนที่นั่งดีๆ ที่สุดท้ายเลย T^T

ปล.4 ท้ายขอบ่นๆ นิดหนึ่ง ผมล่ะอยากกราบให้ดีซีกับวอเนอร์มาศึกษาจริงๆ คืออันนี้ก็ไม่ได้พูดเองคือมีนักวิจารณ์ต่างชาติที่เขาดูรอบทดสอบเรื่องนี้เขาให้นิยามไว้ว่า “ซีวิลวอร์ คือ หนังแบทแมน เวอร์ซัส ซูเปอร์แมน ที่เจ๋งกว่า” คือผมก็แอบคิดในใจว่าถ้าอวยเกินจริงแล้วหนังมันไม่ได้ดีโคตรๆ ขนาดนั้นจะแซวให้ยับเลย แต่ว่านะเขาพูดถูกนะ คือเรื่องนี้ใช้คอนฟลิกต์เริ่มที่ไม่ต่างกับแบทซุปเลย แต่เล่าได้ดีมากลื่นไหลมาก กลมกล่อมมาก ตัวละครใหม่ก็ใส่มาแบบถูกที่ถูกทางไม่ได้ไม่มีปี่มีขลุ่ยจับยัดๆให้คนดูปะติดปะต่อเอาเองเลย ไงขอหนังรวมดาวร้ายที่จะเข้ามาให้เป็นความหวังคอหนังหนังซูเปอร์ฮีโร่หม่นๆ หน่อยเถอะนะครับ (ซึ่งล่าสุดวอเนอร์สั่งถ่ายซ่อม Suicide Squad ไปแล้วด้วยเหตุผลว่าอยากให้หนังสนุกขึ้นตลกขึ้น 555)

 

รีวิว guardians of the galaxy 2

รีวิว garden of the galaxy 2

รีวิว guardians of the galaxy 2

หนังไทยมาใหม่ ในที่สุดเหล่าแกงค์ซุปเปอร์ฮีโร่ตัวป่วน ตัวปั่น แห่งจักรวาลก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เป็นภาคต่อจากภาคแรก หลังจากอยู่ห่างจากโรงหนังมาราวสัปดาห์เศษ ดูเหมือนวันนี้จะได้ปลดปล่อยความคิดถึงโรงหนังให้หลุดหายไปจากใจเสียที เมื่อผมเดินทางไกลสู่ CentralPlaza Westgate เพื่อพบกับประสบการณ์ IMAX ในโรงภาพยนตร์ Westgate Cineplex แน่นอนว่านี่คือการเก็บตกหนังเรื่องที่อยากดูแต่ไม่ได้เจอกันในวันรอบสื่อ และ จะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ ‘Guardians of the Galaxy Vol. 2’ หนังซูเปอร์ฮีโร่แบบกลุ่ม ที่มีจุดเด่นเฉพาะตัวที่มีความเป็นพวกรักเสียงเพลงย้อนยุค และ มีความกวนบาทาเป็นนิจ James Gunn ยังคงเป็นผู้กำกับฯ แล้วหนังก็ขึ้นชื่อมาจากภาคก่อนเรื่องของงานภาพ วิชวล และ ความเป็นสามมิติ เว็บดูหนัง

รีวิว guardians of the galaxy 2

รีวิวหนังดัง เรื่องย่อหนัง ‘Guardians of the Galaxy Vol. 2’ เหล่านักสู้ทั้งห้ากลับมาอีกครั้งกับบทบาทของการพิทักษ์จักรวาล แต่ดูเหมือนอาการชอบขโมยของจะพาเรื่องกลับมาหาตัวพวกเขาได้อยู่เสมอ เหตุเพราะการหยิบฉวยแบตเตอรี่มา ทำให้พวกตัวทองตามไล่ล่าผู้พิทักษ์ทั้งห้าอย่างไม่เว้นวาง

แต่ปรากฏว่า พวกเขากลับได้การช่วยเหลือจาก อีโก้ (Kurt Russell) ผู้อ้างว่าเขาคือพ่อของปีเตอร์ ควิลล์ (Chris Pratt) อีโก้คือคนที่พาเขาไปรู้จักกับดาวอันแสนเงียบสงบ และ สวยงาม แถมยังพาพวกเขาไปพบกับ แมนทิส (Pom Klementieff) คนรับใช้ที่มีเขาอยู่สองเส้น เธอมีความสามารถพิเศษในการสัมผัสแล้วซึมซับความรู้สึกคนอื่นได้

ในภาคนี้ กาโมรา (Zoe Saldana) บุตรบุญธรรมของทานอส จะได้พบกับ เนบิวล่า (Karen Gillan)​ พี่น้องที่ไม่เคยถูกคอกันเลยอีกครั้ง ความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานจะประสานได้หรือไม่ พร้อมตัวละครใหม่อีกตัวที่ถ้าไม่เคยรู้มาก่อนก็จะเซอร์ไพรส์ไม่หยอกทีเดียว

รีวิว garden of the galaxy 2

เรื่องมันก็ต่อจากภาคที่แล้ว เหล่านักสู้ทั้งห้าต่างคนต่างที่มาได้กลายมาเป็นทีมเดียวกัน นักสู้พิทักษ์จักรวาล หลังจากควิลล์หักหลังยอนดูหยิบเอาอัญมณีมาครอบครองเสียเอง ทำให้พวกเขาถูกตามล่า และ ได้รับรู้ว่าจะต้องป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดกับทั้งจักรวาลหากว่าอัญมณีตกไปอยู่ในมือของคนไม่ดี

การมาของภาคที่สองย่อมจะต้องมีอะไรที่เหนือกว่าภาคแรก ที่เห็นได้ชัดสุดก็คงจะเป็นการเพิ่มตัวละครใหม่ อย่าง อีโก้ (Kurt Russell) ที่ประกาศตนว่าเป็นพ่อของสตาร์ลอร์ด เขาคือผู้ชายที่เป็นคำตอบที่ปีเตอร์ ควิลล์ตามหามานาน ในที่สุดก็ได้พบ หนังสร้างเรื่องอีโก้มีความน่าสนใจตั้งแต่ฉากเริ่ม เคิร์ทมาในลุคที่หล่อเฟี้ยวในวัยที่ยังหนุ่มแน่น เขาพบรักกับชาวโลกก่อนจะหายตัวไป

รีวิว garden of the galaxy 2

ตัวร้ายตัวใหม่กลายเป็นพวกสีทอง ราชินีอเยชา (Elizabeth Debicki) ที่ตามไล่ล่าห้าผู้พิทักษ์เพียงเพราะขโมยของมา พวกนี้กลายเป็นผู้ควบคุมพวกมือรับจ้าง นัยว่ามาทำหน้าที่ในหนังแบบเดียวกับที่โรแนนทำไว้ในภาคก่อน พวกเขาดูไม่มีที่มาที่ไปสักเท่าไหร่ และ มีทีท่าจะได้อยู่ต่อในภาคหน้าเสียด้วย

อีกตัวอาจเรียกได้ว่าเป็นตัวละครลับ เขาคือผู้ชายที่คนบนโลกมนุษย์คุ้นเคยกันดี แม้เขาจะมาปรากฏว่าภาคนี้ แต่ก็ใช่จะมีบทบาทอะไรมากนัก คล้ายหนังจะปูให้เราได้พบกับบทบาทของเขาที่มากกว่าในภาคถัดไป (ก็หวังว่างั้นนะ) สิ่งที่พบเห็นว่าถูกขับเน้นมากขึ้นกว่าภาคแรกก็น่าจะเป็นเรื่องแง่มุมดราม่าของแต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตัวไหน ดูเหมือนว่าจะถูกหยิบจับมาเล่าถึงได้หมด ดูหนัง

สรุป guardians of the galaxy 2

รีวิวหนังดัง หลายดราม่าก็ชวนเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพวกเขามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมการโหยหาความรักของร็อคเก็ตเจ้าแรคคูนมีปม แง่มุมของพี่น้องเนบิวล่ากับกาโมร่าที่ตัดกันไม่ขาด ที่ชัดเจนคงเป็นควิลล์กับพ่อที่เยิ่นเย้อจนชวนสงสัยว่าจะเล่นอะไรทำไมต้องปล่อยให้รอนาน ขณะที่แง่มุมของควิลล์กับยอนดูเสียอีกที่ชวนให้ซึ้งยิ่งกว่า

ในส่วนของเพลย์ลิสต์ของเพลงเก่า ๆ ที่หยิบมาใส่เต็มเรื่อง อาจไม่ถึงกับมีอะไรโดดเด่นมากนักเมื่อเทียบกับภาคแรก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นมิกซ์เทปที่ไม่เลวเลยทีเดียว สิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบก็คือความครีเอทในการสร้าง End Credit ของหนังเรื่องนี้ เพราะเขาใส่ฉากแถมเอาถึง 5 ฉาก แทรกไปกับ End Credit ที่ยืดยาวตามประสาหนังใหญ่ เพื่อเรียกให้คนดูนั่งอ่านรายชื่อผู้ร่วมงานไปด้วยระหว่างรอ ก็จะมีบางส่วนที่เขียนแปะไว้ว่า ‘I Am Groot’ ก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเป็นชื่อจริง ๆ

ความกลมกล่อมยังด้อยกว่าภาคแรก 3 มิติยังแจ่มเช่นเคย ถ้าจะมองดูกันแบบรวม ๆ บ้าง เราก็อาจจะพบว่าความสนุกของภาคสองนี่ยังไม่เท่าที่เคยได้จากภาคแรกนัก มีดร็อป ๆ ลงไปเป็นบางส่วน พิจารณาดู อาจจะพบว่า มันมีบางส่วนที่หนังใช้การสนทนากันมากไป แถมน่าสนใจน้อยไปหน่อย โดยเฉพาะความน่าสงสัยของอีโก้ผู้อ้างตนเป็นพ่อของปีเตอร์ ควิลล์ เพราะผมรู้สึกได้ในขณะดูหนังว่า นี่เขาจะมาอยู่กันทำไมที่นี่นานนัก เมื่อไหร่จะเกิดอะไรขึ้นเสียที

เรายอมรับเลยว่า ในตอนแรกนั้น เรามองว่าหนังเรื่อง Guardians Galaxy 2 หรือ รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล 2 นั้นเป็นหนังตลกปัญญาอ่อน จากการดูตัวอย่างภาพยนตร์ ที่ดูเหมือนว่าจะมีการปล่อยมุกฝืด ๆ ออกมา ท่ามกลางความวุ่นวายของการต่อสู้ แต่พอได้มาดูหนังเรื่อง Guardians Galaxy 2 หรือ รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล 2 จนจบแล้วจริง ๆ ก็รู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้ จนแทบอยากจะเขกกะโหลกตัวเองว่า นี่แกอคติเกินไปแล้วนะ เพราะเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร

กลายเป็นหนังที่สนุก และ น่าติดตามมากกว่าที่คิดเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยิงมุกเด็ด ๆ เกือบตลอดทั้งเรื่องเหมือนภาคที่แล้ว แต่กลับน่าติดตาม โดยตัวเนื้อเรื่องมีปมที่ซ้อนปมไว้ อะไร ๆ ที่ดูเหมือนจะคลี่คลาย กลับกลายว่ามีเบื้องหลังซ้อนเอาไว้อีกที ซึ่งเรายอมรับเราว่าคนเขียนพล็อตภาคนี้เจ๋งจริง ๆ ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ดูหนังความยาว 2 ชั่วโมงเรื่องนี้เพื่อเอามันอย่างเดียว แต่กลับได้เรียนรู้ถึงมิตรภาพ และ ความเสียสละ จากคนที่ดูเหมือนจะเป็นตัวร้าย แต่ความจริงแล้ว จิตใจของเขากลับดีกว่าที่คิด ถือได้ว่าเป็นการจุดประกายได้ว่า อย่ามองคนแค่เปลือกเท่านั้น

หน้าที่ของหนังที่สร้างความบันเทิงแบบเกรียน ๆ ถือว่ายังสอบผ่านได้อยู่ เพลงประกอบอาจไม่โดดเด่นนัก น่าเสียดายที่ตัวละครบางตัว อุตส่าหเพิ่มเข้ามาทว่าก็ไม่ได้มีบทบาทเท่าที่ควร รวมทั้งตัวร้ายก็แทบจะไร้มิติ และ มีสถานะคล้าย ๆ กับภาคแรก ไม่ได้มีครีเอตอะไรกับตรงนี้สักเท่าไหร่ ไดอะล็อกคม ๆ ในหนังก็ดูเหมือนจะได้ยินมาจากเรื่องอื่นมาก่อนแล้ว มันเลยไม่ได้รู้สึกอะไรกับตรงนี้เท่าที่ควรจะเป็น เว็บหนัง

สรุป

ถ้าจะมองดูกันแบบรวม ๆ บ้าง เราก็อาจจะพบว่าความสนุกของภาคสองนี่ยังไม่เท่าที่เคยได้จากภาคแรกนัก มีดร็อป ๆ ลงไปเป็นบางส่วน พิจารณาดู อาจจะพบว่า มันมีบางส่วนที่หนังใช้การสนทนากันมากไป แถมน่าสนใจน้อยไปหน่อย โดยเฉพาะความน่าสงสัยของอีโก้ผู้อ้างตนเป็นพ่อของปีเตอร์ ควิลล์ เพราะผมรู้สึกได้ในขณะดูหนังว่า นี่เขาจะมาอยู่กันทำไมที่นี่นานนัก เมื่อไหร่จะเกิดอะไรขึ้นเสียที

ชื่อภาพยนตร์: Guardians of the Galaxy Vol. 2 / รวมพันธุ์นักสู้พิทักษ์จักรวาล 2
ผู้กำกับภาพยนตร์: James Gunn
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: James Gunn
นักแสดงนำ: Chris Pratt, Zoe Saldana, Dave Bautista, Vin Diesel (voice), Bradley Cooper (voice), Michael Rooker, Karen Gillan, Sylvester Stallone, Kurt Russell, Elizabeth Debicki
ความยาว: 127 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
ดนตรีประกอบ: Tyler Bates
ประเทศ: สหรัฐอเมริกา
เรท: ไทย/, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 26 เมษายน 2560
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Marvel Studios, Walt Disney Pictures

รีวิว Thor Ragnarok

รีวิว Thor Ragnarok

รีวิว Thor Ragnarok

หนังไทยมาใหม่ สวัสดีครับสิ้นสุดการรอคอยของหนังธอร์เทพเจ้าสายฟ้า Thor Ragnarok หรือก็คือ ธอร์ ภาค 3 นั้นหลังจากภาคก่อนหน้านี้ทำรายได้ถล่มยับ แอดคิดว่าจริง ๆ แล้วการจะดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกสมดั่งที่นักรีวิวเมืองนอก หรือแฟน ๆ เขารู้สึกกัน คือการไม่รู้อะไรก่อนไปดูเลย ไม่ควรรู้ว่าหนังจะมาสายตลก ไม่ควรรุู้ว่าหนังจะมีตัวละครนู้นนี้นั้นมาแจม แล้วไปรอรับสิ่งเหนือความคาดหมายจากหนังแบบเต็ม ๆ ดังนั้นใครอยากรู้สึกว้าวจริง ๆ ควรตรงไปโรงดูเลย อย่าเพิ่งไปอ่านรีวิวหรือสปอยล์ที่ไหนครับ แต่ถ้าใครไม่ได้แฟนพันธุ์สดขนาดนั้น อ่านรีวิวไปก่อนก็ทำให้รู้จักตัวหนังมากขึ้นครับ ไม่ผิดอันใด ดูหนัง

Thor: Ragnarok หรือในคอมมิคก็คืออีเว้นท์ที่ทำลายล้างเหล่าเทพและแอสการ์ดจนพินาศ กลายเป็นหนังภาคที่ 3 ที่ดำเนินเรื่องโดย ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าเป็นตัวหลัก ต่อจาก Thor (2011) และ Thor: The Dark World (2013) ที่จบด้วยการที่ตัวร้าย โลกิ ปลอมตัวเป็น โอดิน กษัตริย์แห่งแอสการ์ดโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ และถ้าว่ากันตามไทม์ไลน์ของจักรวาลมาร์เวล หนังภาคนี้ก็เป็นการเดินหน้าต่อจาก Avengers: Age of Ultron (2015) ในส่วนของตัวละครหลักอย่าง ฮัลค์ ที่ขึ้นยานทะยานออกสู่อวกาศหลังอาละวาดจนมนุษย์โลกหวาดกลัวไปพร้อมกันด้วย

รีวิว Thor Ragnarok

รีวิวหนังดัง หนังภาคนี้ว่าด้วย ธอร์ ที่ต้องกลับแอสการ์ดมากู้วิกฤตตามคำทำนายที่ชื่อว่า แร็กนาร็อก ซึ่งจะทำลายแอสการ์ดและเหล่าเทพจนสิ้น โดยภัยที่ว่ามาในรูปของราชินีแห่งความตายนามว่า เฮล่า ซึีงได้รับการปลดปล่อยจากคุมขังกลับมา นอกจากนั้นยังมีภัยข้างกายอย่างโลกิคอยแทงข้างหลังตลอดเวลาอีก

ธอร์พลาดท่าถูกทำลายอาวุธประจำกายทั้งยังหลุดหายไปในกาลอวกาศจนไปโผล่ยังดาวซาคาร์ที่เป็นสนามกลาดิเอเตอร์จับเอเลี่ยนมาสู้กัน จนจับพลัดจับผลูต้องมาเผชิญหน้ากับสหายเก่าอย่างฮัลค์ที่ลืมเขาจนหมดสิ้น ธอร์จึงต้องหาทางกลับไปแอสการ์ดให้ทันเวลาก่อนทุกอย่างจะสายไป นั่นคือเท่าที่ตัวอย่างหนังบอกเราครับ

ในภาคนี้ผู้กำกับและนักแสดงสายตลกอย่าง ไทก้า ไวทีตีิ ที่เคยมีผลงานผ่านตาเราอย่างสารคดีปลอมเอาฮาว่าด้วยเหล่าปีศาจที่ต้องปรับตัวในยุคปัจจุบันเรื่อง What We Do in the Shadows (2014) ก็ได้รับความไว้วางใจให้มาสานต่อเรื่องราวที่ว่าไปก็คือไตรภาคที่มักเป็นบทสรุปของตัวละครหลักของหนัง

รีวิว Thor Ragnarok

ในกรณีนี้คือ ธอร์ ซึ่งเป็นความท้าทายครั้งใหญ่เหมือนกัน เพราะสำหรับแฟนธอร์คงจำได้ว่าหนังธอร์นั้นค่อนข้างอยู่บนพลอตจักร ๆ วงศ์ ๆ ของเหล่าเทพที่แสนเชย พี่ชายน้องชายทะเลาะกันแย่งตำแหน่งว่าที่ราชาพระเอกถูกใส่ร้ายและลงทัณฑ์ให้ไร้พลังตกสู่โลกมนุษย์ และตกหลุมรักสาวมนุษย์ในภาคแรก ก่อนจะมาเพิ่มความดราม่าดุดันด้วยศัตรูที่แกร่งกล้าและทรงพลังขึ้นในภาคสอง แล้วก็มากลายเป็นหนังตลกในภาคสาม!!

ว่าตามตรงหนังตระกูลธอร์ที่ผ่านมา ก็เป็นหนังมาร์เวลที่ดูไปให้มันเติมเต็มจักรวาลเท่านั้น มันไม่ได้สนุกที่สุดดีที่สุดแต่อย่างใด การปิดท้ายและลองของโดยโยนบรรยากาศที่คล้ายหนังฮิตอย่าง Guardians of the Galaxy ซึ่งเน้นในทีมหลากสไตล์หลายบุคลิกตัวละครที่แค่ขัดกันเองก็สนุกแล้ว

บรรยากาศโลกที่สีสันฉูดฉาดแบบการ์ตูนจัดจ้าน มุกตลกยิงกระจายกันทั้งเรื่อง เพื่อมากู้อารมณ์อันแสนจืดชืดของธอร์ แล้วตัดทิ้งตัวละครฝั่งมนุษย์ที่น่าเบื่อทั้งหลายออกไปจนเหี้ยน (ขอโทษแฟน ๆ ของ นาตาลี พอร์ตแมน นางเอกภาคก่อนหน้ามา ณ ที่นี้) ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ Ragnarok รากฐานของตระกูลหนังธอร์เอามาก ๆ และต้องยอมรับว่าทำได้ค่อนข้างดีด้วย

แต่ตรงนี้ก็ต้องบอกไปเลยว่า พอเน้นเอาฮาเอารั่ว ทำให้หนังมันเพี้ยน ๆ ไปเยอะเหมือนกัน ตัวละครทั้งเก่าทั้งใหม่ถูกจับให้ได้ยิงมุกกันถ้วนหน้า จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคณะเชิญยิ้มกันเลยทีเดียว มันทำให้ความเชื่อในตัวละครที่ถูกสร้าง ๆ มาก่อนหน้าในภาคเก่าถูกทำลายลง มันไม่ค่อยกลมกลืนหรือลื่นไปกันดีนัก

รีวิว Thor Ragnarok

ยิ่งบางอย่างที่ภาคก่อนทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจที่โลกิกลายเป็นราชาของแอสการ์ด กลับถูกเอาไปใช้ในภาคนี้อย่างกับแมนดารินในไอออนแมนอย่างไรอย่างนั้น คืออะไรที่ดูจะซีเรียสเกินไปถูกถอดไปแทบหมดเลย และจากบทสัมภาษณ์ผู้กำกับว่ามีการใส่ฉากตลกเข้าไปทำให้จากเดิมหนังยาว 100 นาที กลายเป็น 130 นาทีในปัจจุบัน นั่นเท่ากับแค่มุกเสริมเรื่องอย่างเดียวก็ปาไป 30 นาทีแล้ว นี่น่าจะบอกอะไรได้หลายอย่างทีเดียว เว็บหนัง

คือถ้าเอามาดูต่อกัน 3 ภาค ต้องสงสัยล่ะว่าพวกนี้ไปเมาปุ๊นอวกาศกันตอนไหน ซึ่งในแง่ความบันเทิงมันก็ให้คุ้มค่าตั๋วมาก ๆ ยิ่งมีเซอร์ไพร้สที่เอาตัวละครนู้นนี้ในมาร์เวลทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่มารับเชิญมาแจม ทั้งคนทำก็กล้าเปลี่ยนมู้ดอารมณ์ล้อเลียนตัวเองด้วย (ฉากละครจำลองเหตุการณ์ในภาคก่อนตลกมาก ยิ่งดารารับเชิญมาก็กวนส้นขั้นสุดเช่นกัน) มันยิ่งดูเจ๋งดูคูลสุด ๆ แต่พอมองในแง่ความเป็นหนังธอร์ภาคต่อมันก็ไม่ลงตัวนัก การที่รู้ไปก่อนว่าหนังจะตลกมาก เลยเหมือนเป็นการฆ่าตัวตายพอควร เพราะสร้างความคาดหวังเกินจำเป็นให้คนดู ซึ่งยากที่หนังจะเอาชนะความคาดหวังของคนดูได้

สิ่งที่ดีอื่น ๆ ของหนังเช่นฉากต่อสู้ งานซีจี การแสดงยังคงได้มาตรฐานแบบมาร์เวล คือสนุก โดยเฉพาะเหล่าตัวละครนั้นสร้างสีสันได้มาก และเหล่าตัวละครหญิงอย่าง วัลคิวรี และเฮล่า ก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญมากกว่าหนังมาร์เวลเรื่องไหน ๆ น่าจะเป็นการปูทางสู่ยุคฮีโร่หญิงในหนังมาร์เวลเฟสถัดไปที่จะมี กัปตันมาร์เวล เป็นแกนกลางก็เป็นได้ ส่วนด้าน ฮัลค์ กับโลกิ ก็กลายเป็นวายร้ายที่ทั้งน่ารักน่าชังคือเกลียดไม่ลงรักไม่สุดไปได้อย่างมีมิติเช่นกัน ต้องยอมรับเรื่องการสร้างตัวละครของมาร์เวลจริง ๆ

สรุป Thor Ragnarok

รีวิวหนังดัง สุดท้ายคือ Thor: Ragnarok ถือเป็นสุดยอดของหนังในตระกูลธอร์ที่ภาคอื่นน่าจะเทียบยาก ในแง่ความบันเทิงก็เป็นหนังมาร์เวลที่น่าจะบันเทิงที่สุดในขณะนี้ แต่ถามความน่าจดจำนั้นกลับต้องบอกว่า ไม่ค่อยมีอะไรเหลือให้ตกค้างเท่าไหร่นัก ยังคงเป็นหนังดูเติมเต็มจักรวาลมาร์เวลที่ดูสนุกกว่าเดิมเท่านั้นเองครับ แล้วถามว่าต้องดูมั้ย ต้องดูล่ะถ้าอยากจะตามเรื่องอื่นของมาร์เวลได้แบบไร้รอยต่อน่ะ

หนังมีฉากหลังเอนด์เครดิต 2 รอบ ครั้งแรกคือหลังกราฟิกชื่อตัวละครหลักจบลง อันนี้สำคัญต้องดูเลยเพราะส่งบทไป Avengers: Infinity War (2018) และหลังจากนั้นต้องนั่งรอเครดิตยาวจบ ก็จะเป็นฉากที่ 2 อันนี้ออกแนวเน้นฮาไม่ค่อยมีผลกับเรื่องมากเท่าไหร่ครับ

แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป มันไม่สำคัญหรอกว่าประเทศจะตั้งอยู่ที่ไหน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือประชาชนนั่นเอง ในส่วนของตัวละคร เราก็ยอมรับว่าโอเคในระดับหนึ่ง แต่ดูไปดูมา เหมือนคอสทูมจะทำให้หนังเรื่องธอร์เป็นส่วนผสมระหว่าง Ironman กับ Game of Thorn ยังไงก็ยังงั้นเลย ไม่เชื่อก็ลองตีตั๋วไปพิสูจน์กันได้ในโรงภาพยนตร์นะเออ

สรุป : สำหรับเรื่อง Thor: Ragnarok นั้น เหมาะสำหรับคนที่ชอบฉากแอคชั่นแบบจัดเต็ม โดยที่มุมกล้องมีความน่าสนใจ ไม่ใช่ฉากแบบเดิมๆ ที่สามารถเห็นได้ตามหนังทั่วๆ ไป หนุ่มๆ น่าจะชอบหนังเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าจะให้ชวนสาวไปดูด้วย เธออาจจะไม่ได้เข้าใจในความมันในส่วนนี้มากนัก หากแค่มีความหล่อของตัวละครชายมาช่วยทำให้จิตใจชุ่มฉ่ำได้เช่นกัน เรียกได้ว่าจะชวนเพื่อนไปดูก็สนุก จะชวนแฟนไปดูก็ดี แถมไม่มีฉาก NC เด็กๆ ก็ไปดูได้ และคอนเฟิร์มว่าหนังมีความพิเศษ ด้วยฉากและบทที่น่าสนใจ ถึงขนาดที่ว่าคุณอาจจะลืมไปเลยว่าตอนเดินเข้าโรงภาพยนตร์มาน่ะอยากเข้าห้องน้ำ เว็บดูหนัง

ชื่อภาพยนตร์: Thor: Ragnarok / ศึกอวสานเทพเจ้า
ผู้กำกับภาพยนตร์: Taika Waititi
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Eric Pearson, Craig Kyle, Christopher Yost,
นักแสดงนำ: Chris Hemsworth, Tom Hiddleston, Cate Blanchett, Idris Elba, Jeff Goldblum, Tessa Thompson, Karl Urban, Mark Ruffalo, Anthony Hopkins, Benedict Cumberbatch, Taika Waititi
ดนตรีประกอบ: Mark Mothersbaugh
ความยาว: 130 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Comedy, Sci-Fi
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
ปี: 2017
เรท: ไทย/, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 2 พฤศจิกายน 2017
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Marvel Entertainment, Marvel Studios, Walt Disney Pictures

รีวิว Iron Man 3

รีวิว Iron Man 3

รีวิว Iron Man 3

หนังไทยnetflix หนังไอร่อนแมนสุดมันนััน จนตอนนี้ก็ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วอย่างภาค 3 นั้น หรือก็คือภาคสุดท้าย กันแล้วนะครับ ต้องบอกว่าสำหรับแอดมินนั้น นี่คือภาคที่ดีที่สุดของไอรอนแมน เลยก็ว่าได้ เพราะว่าหนังมีครบทุกรส ไม่ได้ดราม่าโดดหรือแอ็คชั่นโดดเหมือนเดิมแล้ว 1 ปีเต็ม ๆ ! นับตั้งแต่วันที่ Avengers ฉาย แฟน ๆคอมิคนั่งจ้องปฏิธินกันอย่างใจจด ใจจ่อ รอการมาเยือน ของหนังเรื่องนี้ ผมก็เป็๋นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

จนวันที่ 1 พฤษภาคมนี้มาถึง เราแฟน ๆ ไออ้อนแมนทุก ๆ คนก็ร่วมแห่กันไป ยังหน้าโรงภาพยนตร์ทั้งโดยที่นัดหมาย และ ไม่ได้นัดหมาย วาดหวังไว้อย่างสูง ถึงหนังที่กำลังจะได้รับชม ผ่านไปสองชั่วโมงนิด ๆ ทุก ๆ คนก็ออกจากโรงภาพยนตร์ คนส่วนมาก เดินออกมา พร้อมรอยยิ้ม แต่มีผมเพียงคนเดียว หรืออย่างไรที่เดินออกมาพร้อม…..สีหน้า poker face

นับเป็นภาคที่ 3 แล้ว สำหรับมหาเศรษฐี หนุ่มหน้าแก่พร้อมชุดเกราะ รบสุดไฮเทค เหตุการณ์ในเรื่องนั้น เป็นผลกระทบ ที่ตามมาจากเหตุการณ์ใน Avengers โดยตรง หลังจากที่เอเลี่ยน Chitauri บุกถล่มนิวยอร์ก นอกจากมันจะสร้างบาดแผลทางกายให้กับโลกแล้ว

รีวิว Iron Man 3

มันยังได้สร้างบาดแผล ทางใจให้กับโทนี่ สตาร์กด้วย สุดยอดอัจฉริยะถึงกับต้องหัวหดเมื่อได้รู้ว่าในจักรวาลแห่งนี้ ยังมีสิ่งที่ตนไม่รู้ สิ่งที่เหนือกว่าตนอีกมากมาย สร้างปมสำคัญ อันนึงให้กับโทนี่ในภาคนี้ได้ เป็นอย่างดี และการโจมตีของพวกชิทอรินั้น ยังสั่นคลอนอเมริกาอีกด้วย จึงเป็น เหตุให้เจมส์ โร้ดส์ต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Iron Patriot เพื่อสร้างสัญลักษณ์ แห่งความหวังให้ประชาชน ว่าประเทศของตน ยังมีที่พึง เป็นมนุษย์เหล็กรักชาติผู้นี้เสมอ

ภาคนี้ยังมีเปิดตัววายร้าย ตัวใหม่ของเรื่อง ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน Mandarin จอมขมังเวทย์ตัวฉกาจ ศัตรูคู่อาฆาตของโทนี่จากในคอมิคมาสู่จักรวาลภาพยนตร์ของมาร์เวล แมนดารินมาได้ค่อนข้างเก๋า ด้วยการเปิดตัวอย่างเทพด้วยการแฮ็ก ทีวีทั่วประเทศแสดงแสนยานุภาพของตน

แสดงตน เป็นผู้ก่อการร้ายสุดเจ๋ง พร้อมด้วยวายร้ายของเรื่องอีกคน Aldrich Killian บอสใหญ่ของ A.I.M. ผู้พัฒนาโปรเจ็ก Extremis ที่ใช้ในการดัดแปลงดีเอ็นเอของมนุษย์ธรรมดาให้เหนือมนุษย์ได้ ทั้งสองร่วมกันระดมพลถล่มโทนี่อย่างสนุกสนาน เรียกได้ว่าเล่นซะเละทีเดียว เว็บหนัง

รีวิว Iron Man 3

รีวิวหนังดัง หนังเล่าเรื่องโทนี่ สตาร์ค/ไอรอน แมน (Robert Downey Jr.) เศรษฐีหนุ่ม และ นักปัญญาประดิษฐ์ ที่เสียรู้ให้กับศัตรูตัวใหม่ที่กำลังคลืบคลานเข้ามา และ ทีสิ่งที่ทำให้โทนี่เดือดสุด ๆ ก็คือพวกศัตรูเหล่านี้กำลังต้องการทำลายชีวิตของเขา และ คนที่เขารัก

โทนี่จึงออกตามหาพวกนี้เพื่อมารับผิดชอบสิ่งที่ทำ งานนี้หนักหนาสาหัสมากเพราะโทนี่ต้องงัดเอาไม้เด็ดทุกสิ่งออกมาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง และ คนที่ตัวเองรัก และ พยายามหาคำตอบว่าที่ผ่านมาเขาถูกหุ่นยนต์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาครอบงำหรือเปล่า

สิ่งที่ผมได้เห็น และ สัมผัสในภาคจบนี้ก็คือสิ่งที่โทนี่พยายามพัฒนามันขึ้นมาครับ ลำดับแรกก็คือชุดเกราะที่ต้องพัฒนา และ ปรับปรุงใหม่ เพราะว่ายิ่งเจอศัตรูที่แข็งแก่งเท่าไหร่ โทนี่ก็ต้องพัฒนาชุดเกราะของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นตามไป และ อีกหนึ่งสิ่งที่คาดไม่ได้คือ การใช้สติปัญญาแก้สถานการณ์เมื่ออยู่ภายใต้ชุดเกราะ

คงจะสังเกตเห็นกันใช่ไหมครับว่าเวลาที่โทนี่แกอยู่ในชุดเกราะ แกจะมีAutoBot ที่ชื่อว่าจาร์วิสอยู่เคียงข้างเสมอ คอยบอกกล่าวสถานการณ์และแนะนำตักเตือนโทนี่โดยเปรียบเสมือนสมองของโทนี่เลยก็ว่าได้ แต่โทนี่เองก็ไม่ได้ว่าอยู่ในชุดเกราะตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหากเขาเผชิญหน้าศัตรูในช่วงเวลาที่เขา เป็นมนุษย์ธรรมดา

รีวิว Iron Man 3

เขาจะหาทางรอด และ แก้สถานการณ์อย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า โทนี่ไม่ได้มีพลังเหนือมนุษย์เหมือนกัปตันอเมริกา และ ไม่ได้เป็น เทพเจ้าเหมือนธอร์ สิ่งที่เขาต้องใช้ให้เป็น ประโยชน์ที่สุดคือการแก้สถานการณ์นั่นเอง เพราะบอกเลยครับว่าตัวร้ายภาคนี้ไม่ได้กระจอกงอกง่อยเหมือนภาคที่ แล้ว ๆ มาแน่นอน

แน่นอนว่า เป็นเรื่องปกติของหนังมาร์เวลที่จะต้องมีการแทรกมุกตลกขำขันให้คนดูคลายเครียด แต่มัน เป็นมุกตลกแบบตลกร้าย ซึ่งการดูมุกตลกร้ายมันต้องตั้งใจดูจริง ๆ และ บางครั้งก็อาจจะต้องทำความเข้าใจกับมุกด้วย บางทีมุกก็แบมาไวเกิน ตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็ไม่ได้ฝืดนะครับ

สาเหตุที่บอกว่ามันจะมาไม่ทันตั้งตัว เพราะบางทีหนังกำลังดำเนินฉากเครียดอยู่ จู่ ๆ ก็มีมุกตลกแทรกเข้ามาซะอย่างนั้น แล้ว แบบนี้ใครมันจะไปตั้งตัวทัน ถ้านี่คือจุดด้อยก็อาจจะเรียกได้นะครับ เหมือนจังหวะในการแทรกมุกเพื่อเปลี่ยนอารมณ์คนดูกะทันหัน มันอาจจะทำให้มึนงงแทนที่จะฮาสำหรับบางคน

ซิกเนเจอร์ของภาคนี้คือถ้าโทนี่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูโดยที่ตัวเองไม่มีชุดเกราะ เขาจะทำอย่างไร เรื่องนี้เลยน่าสนใจขึ้นทันที และ กลับทำให้ผมนึกย้อนไปในช่วงภาคแรกที่เข้าถูกจับตัวไป แล้ว ใช้ปัญญาประดิษฐ์ สร้างหุ่นยนต์ แล้ว หนีออกมาได้ แต่ว่าแน่นอนหนังคงไม่เอามุกเดิมมาเล่น

รีวิว Iron Man 3

คราวนี้หนังฉีกออกไปอีกมุมหนึ่ง นั่นก็คือการเป็น ฮีโร่ไม่ได้ว่าจำเป็น จะต้องมีเกราะป้องกัน เขาสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้าย และ อยู่รอดได้แม้ว่าจะไม่ต้องพึ่งชุดเกราะก็ตาม เพราะเขาคือไอรอนแมน ความเป็นไอรอนแมนอยู่ที่จิตใจไม่ใช่ชุดเกราะ ดูหนัง

ตัวอย่างของหนังแสดงให้เห็นแต่ความดาร์ก มากถึงมากที่สุด ว่าฮีโร่ของเราคนนี้จะโดนยำเละ ว่าฮีโร่คนนี้ต้องล้มลุกคลุกคลาน ให้อารมณ์เหมือน The Dark Knight Rises ของ Nolan ไม่มีผิด แต่เมื่อได้ดูจริงๆ แล้ว หนังไม่ได้ดาร์กหรือซีเรียสแบบที่คิดเลย

ยังคงเหมือนภาคก่อนๆแต่แตกต่างานิดเดียว ในภาคนี้เราจะได้เห็นโทนี่สวมเกราะน้อยลง เห็นเขามีการพัฒนาด้วยตัวของเขาเองมากขึ้น โทนี่ที่หยิ่งผยองได้เรียนรู้ว่าตนไม่ได้แกร่งล้นฟ้า แต่ก็เป็นแค่ชายในชุดหุ่นกระป๋องเท่านั้น

สรุป Iron Man 3

รีวิวหนังดัง บ่นมามากพอสมควร ถ้ามาพูดในด้านการรีวิวบ้าง บอกเลยว่าหนังสนุกมากครับ รู้สึกว่าทุกอย่างมันลงตัวมากๆ บทพูดไม่เยอะน่ารำคาญ ฉากแอ็คชั่นเยอะแต่พองาม ไม่เยอะเกิน CGI เรียบเนียน ยังไม่นับมุกตลกมากมายที่ใส่ลงมาในหนังอย่างจุใจ เอาให้ฮาก๊ากกันไปเลย (แต่ผมยังคิดว่าอเวนเจอร์สตลกกว่านะ)

มีการหักมุมที่พอทำให้อ้าปากหวอได้ มีปมปัญหาที่สร้างความน่าสนใจให้กับหนัง บอกได้เลยว่าเป็น หนึ่งในหนังมาร์เวลที่สนุกที่สุด เปิด Phase 2 ของจักรวาลหนัง MCU ได้ดีเยี่ยม ถ้าในฐานะคนดูหนังธรรมดาๆผมให้คะแนนคือ 8/10 เลยนะ

คะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 หนังมีครบทุกรสเลยครับ ทั้งดราม่า แอ็คชั่น แถมแทรกข้อคิดที่น่าฉงนสงสัย ว่าเกราะเหล็กที่เขาใส่สามารถป้องกันภัยเขาจากศัตรูทั้งมวลได้หรือไม่ หรือว่าจิตใจของเขาต่างหากคือไอรอนแมนที่แม้จริง โดยไม่จำเป็น ต้องมีชุดเกราะเขาก็คือไอรอนแมน

คะแนนเอฟเฟคต์ 9/10 บอกเลยว่าภาคนี้จัดเต็มในส่วนของเอฟเฟคต์ และ ความอลังการในการต่อสู้ เพราะว่าศัตรูคนใหม่ของไอรอนแมนนั้นบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา และ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนเพราะอย่างฉับไวของโทนี่อีกด้วย นี่อาจจะเป็น จุดขายให้กับแฟน ๆ ชาวเกราะเหล็กเลยว่า โทนี่มีเกราะมากมายหลายรูปแบบที่ไว้พร้อมรับมือศัตรู และ แน่นอนว่าแต่ละเกราะนั้นสวยเท่ และ เด็ด ๆ ทั้งนั้น

ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้

1. ไอรอนแมนคือหัวใจของโทนี่ ไม่ใช่ชุดเกราะ อาจจะมีข้อกังขาว่าระหว่างโทนี่ที่เป็น ผู้สร้างเกราะขึ้นมา เขากำลังถูกเกราะครอบงำหรือไม่ หรือว่าเขาเป็น ไอรอนแมนด้วยหัวใจของเขา ต่อให้ไม่มีชุดเกราะแต่สติปัญญา และความเฉลียวฉลาดของเขาก็ทำให้เขาถูกเรียกว่าไอรอนแมนด้วยเช่นกัน

2. การทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก โทนี่ต้องพยายามพัฒนาตัวเอง และ ชุดเกราะของเขาเพื่อปกป้องตัวเอง และ คนที่เขารัก เพราะศัตรูที่กำลังคลืบคลานเข้ามา และ ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหนหรือจะร้ายกาจเพียงใด โทนี่ต้องเตรียมพร้อม และ ตื่นตระหนกอยู่เสมอ

เป็นการจบภาค 3 แบบไร้ที่ติ และ ข้อกังขาจริง ๆครับสำหรับไอรอนแมน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมีแฟนคลับทั่วโลกขนาดนี้ เพราะนอกจากหนังจะมีหุ่นยนต์ เป็นจุดขายแล้ว หนังกำลังจะสื่อว่าต่อให้ไม่ เป็นเทพหรือมีพลังวิเศษก็สามารถ เป็นฮีโร่ได้ เว็บดูหนัง

รีวิว Eternals

รีวิว Eternals

รีวิว Eternals

หนังไทยมาใหม่ สวัสดีครับวันนี้แอดมินมารีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่ค่าย Marvel ที่ผมคิดว่าแค่เปิดเรื่องมาก็ทำให้ผมตื่่นตาตื่นใจแล้ว ด้วยภารกิจอันน่าตื่นตาตื่นใจเราๆคนดูมากๆแล้ว และยังทำให้เราได้รู้ว่า เหล่านักรบนาม อีเทอร์นอลส์ ถูกส่งมายังโลกมนุษย์โดยอริเชมสิ่งมีชีวิตที่เสมือนเป็นพระเจ้าผู้สร้างชีวิต โดยหน้าที่หลักของอีเทอร์นอลส์คือการช่วยเหลือมนุษย์ให้เกิดวิวัฒนาการและปกป้องพวกเขาจากเหล่าดีเวียนต์ สัตว์ประหลาดสุดเกรี้ยวกราดที่มุ่งทำลายมนุษย์และสรรพสิ่งเป็นสำคัญ

หลังอีเทอร์นอลส์ปฏิบัติภารกิจมานับพันปีก็ได้เวลาแยกย้ายเดินทางไปใช้ชีวิตตามวิถีของแต่ละคนโดยหนังเลือกให้เราไปโฟกัสที่ เซอร์ซี (เจมมา ชาน Gemma Chan) อีเทอร์นอลส์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสสารของสรรพสิ่งได้ ซึ่งปัจจุบันเธอกลายเป็นเจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนและเริ่มคบหากับ เดน ไวต์แมน (คิต แฮริงตัน Kit Harington) เพื่อนร่วมงานของเธอแต่แล้วเมื่อเหล่าดีเวียนต์ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในรอบพันปี

รีวิว Eternals

เซอร์ซี สไปร์ต (ไลอา แม็กฮิวจ์ Lia McHugh) ผู้มีพลังในล่องหนและใช้มีดเป็นอาวุธ และอีคาริส (ริชาร์ด แมดเดน Richard Madden) ผู้สามารถทะยานฟ้าและยิงลำแสงพิฆาตจากตาได้ต้องรวมพลกับเหล่าอีเทอร์นอลส์อีกครั้งเพื่อต่อกรกับภัยร้ายระลอกใหม่ที่มีโลกทั้งใบเป็นเดิมพัน

จะว่าไปแล้วจุดเด่นที่สุดของอีเทอร์นอลส์นอกจากการเป็นซูเปอร์ฮีโรกลุ่มแรกที่มีสถานะเทพต่อจากธอร์แล้ว อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือการพยายามเชื่อมโยงความเป็นฮีโรเข้ากับประวัติศาสตร์และความเป็นมนุษย์จนกล่าวได้ว่าเมื่อหนังดำเนินเรื่องไปสิ่งที่สำคัญกว่าภารกิจที่ต้องกำจัดดีเวียนต์คือการตั้งคำถามต่อตัวเองว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรรักษาไว้หรือไม่ เว็บดูหนัง

รีวิว Eternals

รีวิวหนังดัง Eternals เป็นเรื่องราวของกลุ่ม The Eternals ที่ถูกสร้างขึ้นโดย เซเลสเทียล เผ่าพันธุ์เทพแห่งจักรวาลอายุนับล้านปี พวกเขาได้ถูกส่งให้เดินทางมายังโลกมนุษย์ และได้แฝงตัวอาศัยอยู่อย่างลับ ๆ มานานกว่า 7,000 ปี แต่แล้วพวกเขาก็ต้องออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อปกป้องโลกจาก ดีเวียนต์ คู่ปรับตลอดกาลที่ถูกสร้างขึ้นจากเซเลสเทียลเช่นเดียวกัน

อาจจะต้องบอกผู้อ่านทุก ๆ คนอย่างสัตย์จริงเลยว่า Eternals เป็นหนังมาร์เวลที่แตกต่างไปจากหนังมาร์เวลเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้านี้แทบจะทั้งหมด เหมือนเป็นความพยายามละเลงจัดวิธีการนำเสนอและเล่าเรื่องในแบบที่ซอฟต์ลงหน่อย แต่องค์ประกอบต่าง ๆ ก็ยังถูกใส่มาจัดจ้าน จึงทำให้ตอนนี้ได้คลายความสงสัยแล้วว่า ทำไมมาร์เวลถึงเลือกผู้กำกับหญิงรางวัลออสการ์ “โคลอี้ เจา” มาทำหนังเรื่องนี้ ก็เพราะว่า…น่าจะมีแค่เธอในตอนนี้ที่ทำแบบนี้ได้ถึง

หากคุณเป็นแฟนหนังมาร์เวลตัวยง ที่หวังจะมาดูฉากต่อสู้เจ๋ง ๆ หรือฉากประกอบร่าง Assemble ของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ คงต้องบอกว่า…คุณน่าจะผิดหวัง เพราะ Eternals มาพร้อมกับการเป็นหนังที่ชูเสน่ห์และความโดดเด่นในด้านเส้นเรื่องที่เลือกจะแตะต้องกับสัมผัสเข้าถึงในด้านความเป็นมนุษย์ของปุถุชนในทิศทางนั้นมากกว่า จึงทำให้หนังความยาว 2 ชั่วโมงกว่า ๆ นั้น ดำเนินไปแบบ…เรื่อย ๆ

รีวิว Eternals

แม้ว่าจะมีตัวละครใหม่มาให้แนะนำอยู่หลายตัว แต่ Eternals กลับเลือกวิธีการเล่าเรื่องแบบสลับไปสลับมา อดีตกับปัจจุบันที่ดูจะเป็นเส้นเรื่องที่ต้องปรับตัวและทำความเข้าใจกับไทม์ไลน์ในบางช่วงบางตอน ทำให้การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ทำให้ตัวหนังค่อนข้างจืดชืดไปเกือบตลอดทาง แต่ระหว่างทางก็ยังถือว่ามีความน่าสนใจ ด้วยการประกอบเรื่องราวโยงเข้ากับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์โลกในหลาย ๆ ยุค ที่ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีที่หนังนำมาผนวกเข้าไว้

ในหนังมาร์เวลเรื่องนี้จะสัมผัสได้เห็นลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของ โคลอี้ เจา ปะปนอยู่ไปตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะสไตล์การเล่าเรื่องที่มักจะใช้อารมณ์และท่าทางของตัวละครสื่อสารออกเป็นภาพ จึงทำให้กลายเป็นที่มีมุมมองที่ต่างไปจากวิถีเดิม ๆ ของมาร์เวลอย่างชัดเจน หนังมีความเป็นดราม่าเยอะหน่อย แต่ไม่ถึงกับดราม่าจัด ๆ อะไรขนาดนั้น เพราะเป็นดราม่าแบบมีที่มาที่ไปอย่างสมเหตุสมผล

แต่ก็นับว่ายังดีที่ Eternals ได้ทีมนักแสดงที่ค่อนข้างหลากหลายความสามารถ พวกเขาได้ถ่ายทอดบทบาทที่ตัวเองได้รับได้เป็นอย่างดี และขับจุดเด่นของคาแรกเตอร์นั้น ๆ ออกมาได้น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็น “ริชาร์ด แมดเดน” ที่ใคร ๆ บอกว่าพลังเหมือนซูเปอร์แมน แต่ลึก ๆ ไปกว่านั้นยังมีอะไรให้น่าค้นหาอีก “เจมม่า ชาน” เป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยมิติหลากหลายเช่นกัน

รีวิว Eternals

คำพูดหนึ่งของ เอแจ็ก ตัวละครที่รับบทโดยซัลมา ฮาเยค (Salma Hayek) ที่ยกเหตุการณ์ว่าธานอสดีดนิ้วแล้วเอาประชากรครึ่งจักรวาลหายไปกับตา แต่มนุษย์คนหนึ่งยอมสละชีพ (กล่าวถึงไอรอนแมนในหนัง ‘Avengers Endgame’) ดีดนิ้วเพื่อนำคนกลับมา เธอเลยมองเห็นคุณค่าของมนุษย์และต้องการปกป้องมนุษย์จากแผนการของผู้บังคับบัญชาของเธอแม้จะขัดกับเจตนารมย์ที่เหล่าอีเทอร์นอลส์ถูกส่งมายังโลกก็ตาม

ซึ่งมันทำให้บทหนังที่โคลอี้ เจา (Chloé Zhao) ผู้กำกับของหนังร่วมเขียนดูจะให้ความสำคัญกับการศึกษาตัวละครมากกว่าภารกิจเหมือนหนัง MCU เรื่องอื่นและแม้เธอจะต้องใช้กลไกอันซ้ำซากในการบอกเล่าที่มาที่ไปของตัวละครด้วยฉากแฟลชแบ็กจนทำให้น้ำหนักระหว่างภารกิจที่ต้องต่อกรกับดีเวียนต์ดูเป๋ไปบ้าง ทว่าในทางกลับกันมันกลับทำให้เห็นว่าแม้อีเทอร์นอลส์จะถูกกำหนดให้มีสถานะไม่ต่างจากเทพที่คนเคารพบูชาทว่าความเป็นมนุษย์ล้วน ๆ เลยที่ขับเคลื่อนหนังให้มีมิติของดราม่าที่น่าสนใจ ดูหนัง

สรุป Eternals

รีวิวหนังดัง โดยเฉพาะประเด็นความไม่สมบูรณ์แบบที่เหล่าอีเทอร์นอลส์แต่ละคนต้องมาแก้ปมของตัวเอง โดยเฉพาะกรณีรักสามเส้าของเซอร์ซีกับสไปร์ตที่มีอิคาริสเป็นศูนย์กลาง ที่ฝ่ายแรกรอคนรักที่ถึงกับแต่งงานกันเป็นทางการกลับมาครองคู่นับพันปี ในขณะที่ฝ่ายหลังถูกสร้างให้ร่างกายเป็นเด็กจนฝ่ายชายไม่เคยมองเธอในฐานะสตรี และถึงแม้ว่าประเด็นนี้จะถูกผุดขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไปคล้ายกับพลอตรองเจ้าปัญหาอีกล้านแปด

ซึ่งส่งผลให้หนังดูมีพล็อตรองอันอีรุงตุงนัง อย่างเช่นประเด็นอาการทางจิตของ ธีนา (รับบทโดย แองเจลินา โจลี Angelina Jolie) เทพีสงครามที่ต้องได้รับการดูแลจากกิลกาเมช (รับบทโดย มาดงซ็อก) อีเทอร์นอลส์จอมพลัง หรือเรื่องการหมดศรัทธามนุษย์และการเริ่มความสัมพันธ์ในสถานะ LGBTQ+ ของ ฟาสโตส (รับบทโดยไบรอัน ไทรี เฮนรี Brian Tyree Henry) อีเทอร์นอลส์นักประดิษฐ์ ที่อาจทำให้คนดูหลายคนหงุดหงิดและรู้สึกว่าหนังแวะริมทางบ่อยเหลือเกิน

แต่เหล่านี้ล้วนแสดงเจตนาชัดเจนว่าหนังภายใต้การกำกับของเจา หาใช่หนังมาร์เวลที่เหล่าฮีโรจะมาปล่อยลำแสงเฮ้ากวงเหมือนที่ผ่าน ๆ มาไม่ แต่มันคือการพาผู้ชมไปรู้จักกับแง่มุมความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนซึ่งไม่ได้มีด้านที่เพอร์เฟกต์และไม่ได้มีแค่การผดุงไว้ซึ่งความดีงามอันฉาบฉวยแต่หมายถึงการใช้หลักมานุษยวิทยามาค่อย ๆ อธิบายเหตุผลจนเราได้เห็นพวกเขาต้องสู้ศึกตั้งแต่ศัตรูภายนอกอย่างเหล่าดีเวียนต์จนถึงการสู้รบปรบมือกับจิตวิญญาณตัวเอง

ดังนั้นการแลกเวลาร่วม 1 ใน 3 ของหนังไปกับฉากแฟลชแบ็กที่มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่หลายคนอาจมองว่าน่าเบื่อและแทบจะไม่แตะประเด็นหลักของเรื่องไปมากกว่าการต่อกรกับดีเวียนต์ครั้งที่ผ่าน ๆ มา แท้ที่จริงแล้วหนังเหมือนพยายามเขียนปูมประวัติศาสตร์ของตัวเองในฐานะปฐมกาลของเหล่าฮีโร ซึ่งแน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยรายละเอียดหลายอย่างและเปี่ยมด้วยอารมณ์ความอ่อนไหวของเหล่าอีเทอร์นอลส์จนกล่าวได้ว่านี่คงเป็นหนังมาร์เวลที่เข้าขั้นสโลว์เบิร์น (Slow Burn) ประหนึ่งหนังอาร์ตเฮาส์ที่สุดก็ไม่ผิดนัก

และเมื่อพิจารณาว่าในบรรดาเทพทั้งหมดทำไม มาดงซ็อก ต้องมารับบทกิลกาเมซที่ชื่อไม่ได้เป็นเอเซียเลย ทำไมต้องมีตัวละครเป็นคนใบ้อย่าง มัคคารี (รับบทโดยลอเรน ริดลอฟฟ์ Lauren Ridloff) หรือมีบทของคนอินเดียอย่าง คูมาลิ นานจานี (Kumail Nanjiani)และฮาริช พาเทล (Harish Patel) ในบทคิงโกและผู้จัดการดาราก็ยิ่งชัดเจนเลยว่าเจาต้องการให้เรามองความเป็นมนุษย์ในโลกภาพยนตร์ที่มีมากกว่าฝรั่งหน้าตาดีอันเป็นธรรมเนียมของฮอลลีวูดและมันยังตอบโจทย์กับการนำเสนอความเป็นมนุษย์นิยมอย่างที่หนังต้องการได้อีกด้วย

“คูมาล นานจิเอนี”, “ไบรอัน ไทรี เฮนรี่”, “ลอว์เรน ริดลอฟฟ์”, “มาดงซอก”, “แบร์รี่ โคแฮน”, “ซัลมา ฮาเย็ค” หรือ “ลีอา แม็คฮิวจ์” ถือครองบทของพวกเขาได้เป็นอย่างดี แต่ที่ไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ก็คือ “แองเจลิน่า โจลี่” ที่มาแสดงกับความคิดที่ว่าตัวเองมาเล่นแค่บทรับเชิญ แต่ตัวละครของเธอก็ถือว่ามีความซับซ้อนที่รอคอยการค้นหาอยู่ไม่น้อย

และก็ต้องยอมรับว่า Eternals เป็นหนังที่มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาได้อย่างอลังการ แบบไม่เสียชื่อมาร์เวลเลยสักนิดเดียว เมื่อมาเจอกันตรงกลางกับไอเดียคอนเซ็ปต์จากโคลอี้ เจา ทำให้หนังมาร์เวลเรื่องนี้เป็นหนังที่มุมภาพและงานภาพที่ค่อนข้างสวยงามและโดดเด่นแปลกตาจากเดิมไม่น้อย โดยเฉพาะงานภาพที่มักจะเล่นกับแสดงธรรมชาติเป็นหลัก ที่นับว่าเป็นงานถนัดของผู้กำกับหญิงคนนี้

เอาเป็นว่าสรุปโดยรวมแล้ว Eternals เป็นหนังเปิดตัวฮีโร่กลุ่มใหม่ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ พร้อมกับสร้างตัวละครใหม่ ๆ เอาไว้ประดับจักรวาลได้อย่างก้าวไกลทีเดียว แต่ก็ยังไม่เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากนัก เหมือนปรุงแกงหม้อหนึ่งที่ใส่เครื่องไปเยอะแยะมากมาย แต่ปรากฏว่ารสชาติที่ได้ออกมายังคงจืดชืดอยู่ รสแท้ยังไม่ออก และเมื่อหนังเรื่องนี้ผ่านไปไม่กี่ปี ก็อาจจะเข้าทำเนียบหนังมาร์เวลที่ถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย…

ถ้าหากแฟนหนังที่อยากจะมีดูแอคชั่นโกลาหลกับภัยของโลกครั้งใหม่ก็คงจะไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ เพราะหนังเรื่องได้เลือกนี้ใช้ “ความรัก” เป็นแรงขับเคลื่อนในการเดินเรื่องมากกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะวิธีที่ผิดแต่อย่างใด เพียงแต่อาจจะหยิบนำมาใช้กับหนังที่ยังไม่เหมาะกับวิธีนี้สักเท่าไหร่ จึงทำให้เป็นหนังที่มีประเด็นการสื่อสารที่ดี แต่ยังไม่มีรสชาติที่กลมกล่อมออกมาสักเท่าไหร่…

กระนั้นนอกจากบทที่พูดถึงมนุษย์ได้อย่างถึงแก่นและนำเสนอวัฒนธรรมอันหลากหลายแล้วหนังยังไม่ลืมจุดขายสำคัญของหนังมาร์เวลทั้งฉากแอ็กชันและงานวิชวลสุดตื่นตา พร้อมการปรากฎตัวของฮีโรรายใหม่ในฉากท้ายเอนด์เครดิตที่ดูจะเป็นธรรมเนียมมาตั้งแต่ ‘Black Widow’ หนังเปิดเฟส 4 ของมาร์เวลที่ดูจะไม่ได้แยแสเหล่าฮีโรดังจากเฟสที่ผ่านมามากนักจนดูเหมือนว่ามาร์เวลเองก็ดูจะมั่นอกมั่นใจในคุณภาพหนังและศักยภาพของเหล่าซูเปอร์ฮีโรรายใหม่มากเหลือเกิน

ที่สุดแล้วไม่ว่าคะแนนของ ‘Eternals’ จะได้ครองตำแหน่งหนังมาร์เวลที่คำวิจารณ์เลวร้ายที่สุดหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าคำวิจารณ์หนังก่อนหน้านี้ในต่างประเทศก็ดูจะใจร้ายกับหนังมากไปหน่อย แต่ยังไงคุณภาพหนังจะดีไม่ดีคำตอบก็คงต้องอาศัยประสบการณ์ตรงในโรงภาพยนตร์อยู่ดีถูกไหมครับ ? เว็บหนัง

ประเภท: แอคชั่น / แฟนตาซี
ผู้กำกับ: โคลอี้ เจา
นำแสดงโดย: ริชาร์ด แมดเดน, เจมม่า ชาน, แองเจลิน่า โจลี่, ซัลมา ฮาเย็ค
ความยาว: 157 นาที
กำหนดฉายในไทย: 4 พฤศจิกายน 2021

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิวหนังดัง สวัสดีจ้า หนังไทย ส่วนมากก็จะแนวรักๆ ดราม่าๆ เรื่องนี้ก็เช่นกัน มันเป็นเรื่องที่ผมก็ชอบเหมือนกัน จึงอยากมาแนะนำ ไทยบ้านเดอะซีรีย์ ยังคงมีผลงานออกมาให้ชมเรื่อย ๆ เลยครับ สำหรับในหนัง ในจักรวาลไทบ้าน เดอะซีรีส์ แต่หากไม่นับ ‘รักหนูมั้ย’ ที่เหมือนเป็นแค่การใช้นักแสดงชุดเดียวกันมาเล่าเรื่องใหม่ ‘หมอปลาวาฬ’ จะนับเป็นงานหนังสปินออฟลำดับที่ 2 ต่อจาก ‘ไทบ้านXBNK 48’ โดยแน่นอน ว่าการที่หนัง ใช้ชื่อตัวละคร อย่างหมอปลาวาฬ มาเป็นจุดขายย่อมหมายถึงการที่เราจะได้เห็นเรื่องราวมุมมองความสัมพันธ์จากฝั่งผู้หญิงอย่างหมอปลาวาฬว่าทำไมในหนัง ‘ไทบ้านเดอะซีรีส์’ เธอถึงยังตัดใจจากจ่าลอด ไม่ได้เสียที

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

หนังเริ่มมาด้วยภาพอดีตตอนที่หมอปลาวาฬไม่อาจช่วยชีวิตคนตกน้ำได้ และ เป็นจ่าลอดนี่เอง ที่อยู่ในเหตุการณ์ ดังกล่าว และ โดยที่ไม่ต้องเดา ให้เสียเวลาภาพ ก็ตัดมายุคปัจจุบัน ที่จะเล่าเรื่องหมอปลาวาฬ ที่ยังไม่อาจตัดใจ จากจ่าลอดให้ขาดได้แม้จะมีหมอเต้ยสุดหล่อตามจีบอยู่ก็ตาม แต่ แล้ว ก็เป็นจ่าลอดเอง ที่อาศัยช่วงเวลา ที่ครูแก้วแฟนสาว ตัวจริงพานักเรียน ไปแข่งฟุตบอล ต่างจังหวัดหา ช่องทาง กลับไปตีสนิทหมอปลาวาฬ จนเกิดเป็นความผูกพันครั้งใหม่ที่ต้องเลือก ระหว่างความต้องการ กับความถูกต้อง เว็บดูหนัง

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิวหนังดัง เอาจริง ๆ พลอตเรื่องของ ‘หมอปลาวาฬ’ นี่แทบไม่มีอะไรเหลือให้เล่าอีก แล้ว แต่หากจะให้เปรียบเทียบกับหนังซูเปอร์ฮีีโรก็คงทับรอยเดียวกับ ‘Black Widow’ ของมาร์เวลนั่นแหละครับคือเอาตัวละครที่คนดูรักแม้ว่าจะไม่ค่อยมีบทบาทเป็นชิ้นเป็นอันใน หนังภาคต่อของ ‘ไทบ้านเดอะซีรีส์’ เท่าไหร่ และ ยังแนะนำตัวละครใหม่ (หรือเปล่า?) อย่างหมอเต้ยที่ได้อดีตครูเต้ย – อภิวัฒน์ บุญอเนกมาโชว์หน้าหล่อ ๆ อยู่ 1 ซีนถ้วนซึ่งเราก็คงเดา ตอนจบได้ไม่ยากว่า หนังจะต้องเล่นงาน กับชะตากรรม ของหมอปลาวาฬ อย่างหนักหน่วง ก่อนเธอจะก้าวข้าม มะเร็งหัวใจอย่างจ่าลอดไปได้

กระนั้นใน ความไม่มีอะไรของพล็อตเรื่อง มันก็ยังแอบมีจุดน่าสนใจหลายอย่างที่ทำให้เราเห็นว่า สุรศักดิ์ ป้องศร มีความเข้าใจในเนื้อหาที่ตัวเองกำลังจะเล่าโดยเฉพาะการดึงให้อนามัยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตความเป็นอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งบทหนังก็ใช้ประโยชน์ จากการที่แพทย์ อาสาสมัครต้องติดตามคนไข้ผู้เฒ่าผู้แก่ให้มาคอยรับยารักษาโรคเป็นประจำสร้างภาพลักษณ์ของแพทย์ประจำท้องถิ่นที่ต้องต่อสู่กับความเชื่อของชาวบ้านเรื่องสุขภาพ

มาเปรียบเทียบกับเรื่องหัวใจของหมอปลาวาฬที่แม้จะมีความรู้รักษาคนไข้ได้มากแค่ไหน แต่เรื่องหัวใจก็ยังเห็นเธอปรึกษาเพื่อนร่วมสถานีอนามัยหรือกระทั่งเลือก “ยาผิด” ให้ตัวเองจนกว่าจะบรรเทาอาการ เธอก็กลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องแลกหัวใจของเธอกับความโลเล และ หลายใจของจ่าลอด

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

และ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสน่ห์เฉพาะตัวของ ฟิฟิน สิริอมร อ่อนคูณ คือหัวใจของเรื่องราวจริง ๆ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอก ของหมอปลาวาฬที่จับเธอใส่แว่นแต่งหน้าอ่อน ๆ แต่แอบแซ่บ ด้วยรอยสักจะทำให้หนุ่ม ๆ แทบคลั่งทุกครั้งที่เธอปรากฎตัวแต่เป็นฝีมือการแสดง ของเธอต่างหาก ที่ทำให้เรื่องราว ที่หวุดหวิด จะน้ำเน่ากลับมีมิติ และ มีหัวจิตหัวใจมากพอ ให้คนดูติดตาม ร่วมลุ้น และ อดเห็นใจ กับชะตากรรมของเธอไม่ได้

กระนั้นความดีของนักแสดงหรือตัวบทที่ยังทำงานกับคนดูก็กลับมามัวหมองด้วยข้อผิดพลาดด้านโปรดักชันที่พบเจอได้รายทางตั้งแต่ซีนบทสนทนา ที่คนดูได้ยินเสียงไมค์ไวร์เลสขูดกับเสื้อ ได้ชัดเจน เสียงพูดที่หลายครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนบันทึกมาด้วยเกนเสียง ที่พีคจนฟังแทบไม่รู้เรื่องจนถึงเสียงบางช่วงที่ติดไวร์เลสไม่ได้ ก็เหมือนได้ยินจากไมค์กล้องจนคุณภาพ เสียงกลายเป็นปัญหาที่บั่นทอนคุณภาพ ของงานไปอย่างไม่น่าเชื่อ

ด้านงานภาพแม้ว่าสไตล์นำเสนอที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของหนังชุดนี้ทั้งการแทร็กกิ้งตามตัวละครเดินข้ามถนนไปมาหรือการถ่ายรับหน้าเพื่อสื่ออารมณ์โดยไม่ต้องมีคำพูดจะยังคงมีให้เห็นทั่วไป และ ทำงานได้ดีอยู่ แต่พอมีบางช็อตที่เห็นเลยว่าแก้ปัญหาแสงเปลี่ยนด้วยการใส่ฟิลเตอร์แสงส้มปลอม ๆ เข้ามาก็กลายเป็นรอยด่างพร้อยอันน่าเสียดาย

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

และ คงไม่เป็นการสปอยล์ถ้าจะบอกว่าตอนท้ายเรื่องแอบมีหยอดฉากที่บักเซียงอีกหนึ่งตัวละครที่คนดูรัก และ เห็นใจกำลังจะกลับมาอีกครั้งกับ ‘จักรวาลไทบ้าน สัปเหร่อ’ ที่คราวนี้จักรวาลไทบ้านจะมาในรูปแบบหนังโรแมนติกสยองขวัญเมื่อบักเซียง (ชาติชาย ชินศรี) ยังคงตัดใจจากคนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับไม่ได้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่หลายคนได้ดูต้องตั้งตารออย่างแน่นอน เว็บหนัง

สำหรับในภาคแยกเรื่องนี้ หนังยังคงได้ “สุรศักดิ์ ป้องศร” ผู้กำกับจากหนังชุดหลักมาช่วยสานต่อเรื่องราวในภาคนี้ พร้อมกับที่งานเซิ้งที่ยังฟอร์มทีมจัดเต็มกับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยหนังก็ยังคงได้ทีมนักแสดงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี กลับมารับบทที่กลายเป็นชีวิตของพวกเขาไป แล้ว ไม่ว่าจะเป็น “ด้งเด้ง-ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร”, “ฟิฟิล์ม-สิริอมร อ่อนคูณ” และ “นะโม-ธันวาพร นาสมบัติ”

บทสรุป ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิวหนังดัง หนังออกฉายไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยกระแสภาคนี้อาจจะเงียบกว่าภาคหลักไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่ายังประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ เพราะสามารถโกยเงินรายได้จากการฉายทั่วประเทศไปได้เกือบ 15 ล้านบาทเลยทีเดียว และ ยังสามารถช่วยต่อลมหายใจให้กับจักรวาลไทบ้านแห่งนี้ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีแฟน ๆ ให้การต้อนรับการอบอุ่นเช่นเคย

บรรยากาศสุดแสนอบอุ่น

ผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านได้ตรงจุดมาก ๆ ได้เห็นถึงชีวิตจริงของชาวบ้านที่เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของเรื่อง แต่มันทำให้คนดูอย่างเราอินไปกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ยิ่งในการสื่อสารกันภาษาอีสานเขามีความเป็นเอกลักษณ์ และ โดดเด่นเป็นเฉพาะของเขาอยู่ แล้ว ยิ่งทำให้หลงมนต์สะกดของภาษาอีสานไปเลย อย่างบรรยากาศทุ่งหน้าที่ได้เห็นแสงตะวันกำลังท่อแสงสาดส่องมายังท้องทุ่งเป็นอะไรที่ดีต่อใจคนดูมาก ๆ ดู แล้ว มันอบอุ่นได้มวลของอุ่นไอรักอุ่นไอดินที่หาไม่ได้ในเมืองกรุงเอาไปเลย 10/10

เพลงประกอบสุดว้าว

เมื่อพูดถึงหนังไทบ้านในทุก ๆ เรื่อง แล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์สำคัญเลยก็คือเพลงประกอบผลงานภาพยนตร์ที่ดีต่อใจ เข้าถึงคนดูภาพยนตร์มาก ๆ เพราะในทุกฉากทุกตอนที่บิวต์อารมณ์ด้วยการเพิ่มอรรถรสของเสียงเพลงเข้าไป ยิ่งทำให้เส้นเรื่องดูมีอะไรน่าสนใจ และ ยิ่งสร้างความอินให้แก่คนดูได้อีกด้วย ในผลงานหนังเรื่องหมอปลาวาฬก็มีเพลงประกอบที่ชวนคนดูติดตามอยู่ด้วยเหมือนกัน ยิ่งฟังยิ่งเพราะ และ ยิ่งทำให้สนใจในเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น เอาไปเลย 9/10รีวิวความประทับใจ-ชวนดูหนัง

ความประทับใจ

ในเรื่องของความประทับใจ ในผลงานหนังเรื่องหมอปลาวาฬก็คงจะเป็นใน เรื่องของการสร้างภาคต่อจากเดิมที่จบเพียงเป็นรักสามเศร้า จ่าลอดก็เลือกครูแก้ว ส่วนหมอปลาวาฬก็ยังคนโดดเดี่ยว ในเรื่องนี้ก็จะเป็น การคลายปมเนื้อเรื่องของหมอปลาวาฬกับจ่าลอดกับการเคยเป็นคนรักเก่า แล้ว จะเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนที่มีแต่ความหวังดีให้กันเสมอมาจะเป็นไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจมาก ๆ เลย ต่อมาอีกหนึ่งความประทับใจก็คือในเรื่อง ของบรรยากาศ ในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ บรรยากาศคือดีปังไม่ไหว ชอบใน ความที่สร้างสรรค์องค์ประกอบต่าง ๆ ในชนบท ให้ดูเรียล และ จริง มันยิ่งสร้างความรู้สึกที่ดีแก่คนดูให้ได้เห็นถึงความเรียบง่าย และ สงบ แต่ก็แอบมีมุมตลกขำขัน หยอกล้อกันมาสร้างความเฮฮาแก่คนดูอีกด้วย บอกเลยว่าภาษาใน การสื่อสารของเรื่องก็น่ารักดีเพราะภาษาอีสานเขามีลูกเล่นที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู และ ตลกด้วย เอาเป็นว่าเพื่อน ๆ อย่าลืมไปตามดูผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยนะคะ ตอนนี้สามารถรับชมได้ทางทรูไอดี แล้ว น้า

นักแสดง

ฟิฟิม สิริอมร อ่อนคูณฟิฟิม สิริอมร อ่อนคูณ สาวสวยที่มาพร้อมกับคาแรกเตอร์คุณหมอสุดอ่อนโยน ตัวละครหมอปลาวาฬเป็นอีกหนึ่งใน ตัวแสดงหลักที่ทำให้เห็นถึงเรื่องราวของความรักสามเศร้าสุดแสนปวดใจ หมอปลาวาฬก็จะมีนิสัยอ่อนโยน น่ารัก ใจดี เป็นกันเองกับทุกคน ด้วยความที่เป็นหมอ ก็จะมีความยิ้มแย้มแจ่มใส ในผลงานการแสดงเรื่องนี้สาวสวยฟิฟิมสามารถสร้างตัวละครหมอปลาวาฬให้โด่งดังทั่วบ้านทั่วเมือง จนใครไปใครมาไม่เรียกฟิฟิม แล้ว นะ เรียกหมอปลาวาฬแทน ขอบอกเลยว่าใน เรื่องของการแสดงของสาวสวยฟิฟิมเอาไปเลย 8/10

ด้งเด้งด้งเด้ง ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร รับบทเป็น จ่าลอด สารภาพตรงนี้เลยว่าส่วนตัวติดภาพจำจ่าลอดมาตลอดจนลืมชื่อจริง ๆ ไปเลย ในเรื่องนี้จ่าลอดก็จะมีความตรงไปตรงมา ค่อนข้างที่จะเป็นกันเองกับทุกคน เขาคนนี้เป็นอีกหนึ่งคนที่แสนอบอุ่น และ พร้อมจะช่วยเหลือ ทุกคน ด้วยคาแรกเตอร์ จ่าลอดค่อนข้างชัดเลยกลายเป็นที่จดจำในตัวละครหลัก ของไทบ้านเลยก็ว่าได้ ในเรื่องของฝีมือทางด้านการแสดงก็ขอให้คะแนนไปเลย 9/10 เพราะเขาคนนี้แสดงดีจริง ๆ ราวกลับว่าเป็นตัวตน ของเขาจริงเลย ๆ และ ยังสร้างปรากฎการความดังจนทั่วบ้านทั่วเมืองด้วยความเป็นจ่าลอดนี่เอง ดูหนัง

ประเภท: โรแมนติก / ดราม่า
นำแสดงโดย: ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร, สิริอมร อ่อนคูณ, ธันวาพร นาสมบัติ
กำกับโดย: สุรศักดิ์ ป้องศร
ความยาว: 123 นาที
เข้าฉายครั้งแรก: 10 มีนาคม 2565

รีวิว Dark World

รีวิว Dark World

รีวิว Dark World

รีวิวหนังดัง สวัสดีจ้า วันนี้แอดมินมาแนะนำหนัง เกม ล่า ฆ่า รอด หรือ หนังเรื่อง Darl World เป็นหนังไทย หนังเรื่องนี้แอดมินจะมาแนะนำหนัง ที่มีคุณภาพเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ครับ ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นและจบลงด้วยความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจ ผู้คนอยู่อย่างไร้กฎเกณฑ์ คนรวยคือพระเจ้า

คนจนเป็นเพียงทาสรับใช้ คนแข็งแกร่งเท่านั้นที่มีชีวิตรอด ‘เฟียร์’ (ดลลชา ภูวิจารย์ เคาวเวลล์) , ‘ไอรีน’ (อริสรา ทองบริสุทธิ์) และ ‘รัน’ (รักษ์ณภัค วงศ์ธนทัศน์) ในวัยเด็ก ต่างถูกจับให้ลงเล่นในเกมที่จัดขึ้นมาเพื่อสนองความสนุก ความบ้าคลั่งของคนรวย กติกามีเพียงใครแพ้ต้องตาย เว็บหนัง

รีวิว Dark World

รีวิวหนังดัง เฟียร์โดนเพื่อนรักหักหลังจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด 20 ปีผ่านไป โลกที่พวกเธอรู้จักยังโหดร้ายไม่เปลี่ยน 3 สาวต่างมีชีวิตและเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่โชคชะตานำพาให้ทั้งหมดโคจรมาพบกันและต้องลงแข่งในเล่นเกมที่เดิมพันด้วยชีวิตอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ!

หลังจากเคี่ยวกรำประสบการณ์การกำกับหนังแนวตลก ตั้งแต่การร่วมกำกับเป็นครั้งแรกใน ‘ลูกตลกตกไม่ไกลต้น’ (2006) , ‘คู่ก๊วนป่วนเมษา’ (2008) และหนังเรื่องก่อนหน้าอย่าง ‘อีส้มสมหวัง ชะชะช่า’ (2009) มาถึงปีนี้ ‘โน้ตจูเนียร์’ (จิตต์สินธ์ ผ่องอินทรกุล) บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนักแสดงตลกในตำนาน ‘โน้ต เชิญยิ้ม’ ก็กลับมากำกับภาพยนตร์อีกครั้ง โดยคราวนี้เลือกที่จะแหวกแนวมากำกับหนังแนวไซไฟแอ็กชันกลิ่นอายดิสโทเปียใน ‘Dark World’ ‘เกม ล่า ฆ่า รอด’ เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี

รีวิว Dark World

แถมตัวหนังเองก็ยังมีดีกรีได้ไปเดินสายประกวดก่อนฉายจริงในเทศกาลหนังระดับโลก ทั้ง ‘เทศกาลภาพยนตร์แฟนตาสติกนานาชาติปูชอนครั้งที่ 25’ (Bucheon International Fantastic Flim Festival 2021) ที่จัดฉายให้คนเกาหลีใต้ได้ชมพร้อมกับ Q&A แถมยังได้เป็น 1 ใน 9 เรื่องที่ได้เข้าชิงรางวัล ‘Méliès International Festivals Federation (MIFF) Award for Best Asian Film’ (รางวัลภาพยนตร์เอเชียยอดเยี่ยม สมาพันธ์เทศกาลภาพยนตร์แฟนตาสติกนานาชาติ) ก่อนจะได้กลับมาฉายให้คนไทยได้ชมกัน

ตัวหนังว่าด้วยเรื่องของโลกดิสโทเปียหลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 3 จบลง ทำให้เมืองล่มสลาย ผู้คนอยู่อย่างไร้กฏเกณฑ์ คนรวยกลายเป็นพระเจ้า ส่วนคนจนกลายเป็นเพียงของเล่นของคนรวย ‘เฟียร์’ (ดลลชา ภูวิจารย์ เคาวเวลล์) , ‘ไอรีน’ (อริสรา ทองบริสุทธิ์) และ ‘รัน’ (รักษ์ณภัค วงศ์ธนทัศน์) จึงถูกจับให้ลงเล่นเกมที่มีชื่อว่า ‘การค้าประเพณี’ (ไม่ได้เขียนผิดนะครับ ในหนังใช้คำว่าประเพณี ไม่ใช่ประเวณี จริง ๆ นะ) คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ชนะ ส่วนคนที่แพ้ก็ต้องเดิมพันด้วยชีวิต

ในแง่คอนเซปต์โดยรวม ต้องบอกเลยว่าค่อนข้างดีนะครับ สำหรับผู้เขียน หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีความแหวกแนวมาก ๆ ทั้งในแง่ของแนวหนังที่ถือว่าแหวกแนว และไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนักในหนังไทย รวมถึงงานโปรดักชันและโทนหนัง ถือว่าทำได้ดีเลยสำหรับมาตรฐานหนังไทย ดูหนัง

รีวิว Dark World

แต่ปัญหาที่ดูจะเป็นเรื่องหนักหนาที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่มีแรงก็คือตัวบทภาพยนตร์ครับ เพราะโดยรวม ๆ ทั้งเรื่อง ดูเหมือนว่าตัวหนังจะพยายามเอาหนังหลายแบบและหลายแนวมาผสมกัน จะเป็นแนว Survival ก็มี ดิสโทเปียก็เอา แอ็กชันทริลเลอร์ก็มา แนวจิตวิทยาก็มี แนวหนังเฟมินิสต์และเพศหลากหลายก็มาด้วย ก็เลยทำให้ปมหนังในองก์แรกมีหลายตัวละคร และมีปมหลายทิศทางมากเกินไป จนทำให้ปมประเด็นหลักไร้พลังและไปไม่สุดสักทาง

เอาเข้าจริง บางปมของบางตัวละครนี่แทบจะไม่จำเป็นด้วยซ้ำ หรือถ้าจะให้ผู้เขียนพูดแบบใจร้ายก็คือ ตัวละครบางตัวนี่แทบจะตัดออกไปได้เลยครับ เพราะนอกจากจะไม่มีผลต่อเส้นเรื่องแล้ว หลายครั้งปมเรื่องอันแสนยุ่บยั่บของตัวละครที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นก็ดูจะทำให้เรื่องในองก์แรกดูสับสนปั่นป่วนไปหมด แล้วนั่นก็ส่งผลให้ตัวหนังขับเคลื่อนไปแบบสับสน และก็ไม่รู้ว่าจะเอาใจช่วยตัวละครตัวไหนได้บ้าง

ในแง่การแสดงมีให้พูดถึงเยอะมากครับ เพราะด้วยหนังเรื่องนี้มีตัวละครเยอะมากก แต่นักแสดงหลายคนกลับมีบทบาทที่ไม่เข้าที่เข้าทางเอาซะเลย ตัวละครหลายตัวมีปัญหาบ้างล้นบ้างขาด รวมทั้งไดอะล็อกที่ไม่ปะติดปะต่อ และใส่คำคมมากเกินไปจนดูฝืน ๆ ผิดที่ผิดทางไปหมด นอกจากนั้น การแสดงในพาร์ตรวม ๆ รวมถึงการแสดงในฉากแอ็กชันต่าง ๆ ทั้งเรื่องก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีพลังงานเอาซะเลย ยิ่งถ้าเป็นฉากต่อสู้ก็จะยิ่งเห็นว่าเนือยมาก ก็ยิ่งทำให้ตัวหนังดูจะขับเคลื่อนแบบไร้พลังงานซ้ำเติมเข้าไปอีก

สรุปเรื่องราวใน Dark World

รีวิวหนังดัง ผู้เขียนอยากเล่าถึงนักแสดงคนหนึ่งในเรื่องมาก ๆ เลยครับ คือในองก์แรกเนี่ย บอกได้เลยว่าเป็นตัวละครที่ล้นโอเวอร์จนน่ารำคาญมาก ๆ ซึ่งพอตัวละครนี้ตายลง (ตายยังไงขอไม่สปอยล์นะครับ) ผู้เขียนกลับรู้สึกโล่งใจ และพูดกับตัวเองว่า อืม… ตายซะได้ก็ดี ขอบคุณมาก

โดยส่วนตัวผู้เขียนเองไม่ชอบ ‘วิลลี่ แมคอินทอช’ ที่เล่นเป็น ‘เสี่ยกวิน’ ในบทบาทและรูปลักษณ์นี้เลยครับ สำหรับผู้เขียนเอง ฝีมือและการแสดงของพี่วิลลี่คือความหวังหนึ่งเดียวที่ผู้เขียนแอบหวังลึก ๆ ว่าจะทำให้หนังดูดีและมีพลังขึ้นมา แต่กลายเป็นว่า ตัวบทกลับทำให้พี่วิลลี่กลายเป็นเสี่ยที่ดูงง ๆ ไม่เข้าที่เข้าทางซะอย่างนั้น แล้วการเซตให้เสี่ยกวินเป็นไบเซ็กชวล ผ่านการแต่งหน้าสไตล์ Metrosexual เครื่องสำอางหนาเตอะเลอะเต็มหน้าแบบนั้น

คือก็พอจะเข้าใจว่าอยากให้มีกลิ่นอายความหลากหลายทางเพศนั่นแหละนะครับ แต่แทนที่จะออกมาดูเท่ ก็ดันออกมาเป็นตัวร้ายเพี้ยน ๆ ที่ชวนให้นึกถึงตัวละคร ‘Dr. Frank-N-Furter’ ในหนังคัลต์คลาสสิก ‘The Rocky Horror Picture Show’ (1975) อะไรทำนองนั้นซะมากกว่า ส่วนเสี่ยหน้าฝรั่งอย่าง ‘เฮียหม่า’ (เดวิด อัศวนนท์) ก็ดูจะไม่ฉายแววเท่าที่พี่เดวิดควรจะเป็นซะอย่างนั้น

รีวิว Dark World

ส่วนคนที่ผู้เขียนยอมรับว่าไม่ได้หวัง แต่ก็ทำได้ค่อนข้างดี กลับเป็นแซมมี่ (ดลลชา ภูวิจารย์ เคาวเวลล์) ในบท ‘เฟียร์’ ที่ถือว่าทำได้ดีในแง่การรับบทบาทและการแสดงที่ดูขึ้นกล้อง แม้ว่าตัวพล็อตจะยุ่งเหยิงจนทำให้บทบาทของแซมมี่ดูจะมา ๆ หาย ๆ แถมยังมีความซ้ำซ้อนกับตัวละคร ‘รัน’ (รักษ์ณภัค วงศ์ธนทัศน์) ไปบ้าง

แต่ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีในบทบาทที่ได้รับ ส่วนนักแสดงคนอื่น ๆ อย่างเช่น ดิว (อริสรา ทองบริสุทธิ์) ในบท ‘ไอรีน’ แม้ว่าบทบาทจะดูน่าสนใจ ดูขึ้นกล้องที่สุดในเรื่อง และเล่นบทเลิฟซีนได้ดี แต่พอบทส่งอารมณ์กลับดูล้น ๆ ขาด ๆ อย่างน่าใจหาย ส่วนบทเลิฟซีนของทั้งคู่ในแนวเลสเบียน ผู้เขียนดูแล้วคิดว่า ออกจะ “เฉย ๆ ” นะครับ เว็บดูหนัง

และที่สำคัญคือ ตัวเกมทำออกมาได้ไม่สนุกและไม่ชวนลุ้นเอาเสียเลยจริง ๆ ครับ ลำพังแค่กติกาของเกมเองก็ดูยุ่บยั่บและไม่ค่อยเมกเซนส์แล้ว เป็นการละเล่นที่พอนึกว่า ถ้าได้เล่นจริง ๆ คงไม่สนุกเท่าไหร่ บางกติกาก็ออกนอกลู่นอกทางซะเฉย ๆ และพอยิ่งแข่งจริง การแสดง แอ็กชันแปลก ๆ และจังหวะการตัดต่อที่ไม่รู้ว่าจะให้จับไปที่ตรงไหนกันแน่ ก็ยิ่งทำให้กติกาที่ดูยากอยู่แล้ว ยิ่งดูยากและยิ่งชวนสับสนเข้าไปอีก รวมทั้งการพากษ์ตลก ๆ ที่ดูผิดที่ผิดทางกับโทนหนังดาร์ก ๆ ก็ยิ่งทำให้ตัวเกมออกมาดูแห้ง ไม่เร้าใจ และดูไม่สนุกเลย

อีกอย่างที่เป็นปัญหามาก ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้คือการขมวดจบท้ายเรื่องครับ แม้ว่างานเซตติงและโปรดักชันของเกมสุดท้ายจะทำได้ออกมาดูดีมาก แต่ด้วยความที่ตัวหนังมีปมยุ่บยั่บของตัวละครเต็มไปหมด และตอนท้ายก็ดูเหมือนว่าจะพยายามบิดพล็อตให้ออกมาเป็นทรงหนังแนว ‘Femme Fatale’ (เฟม เฟอตาล)

หรือแนว “ผู้หญิงตัวร้าย” ไปเสียอีก ทำให้กลายเป็นว่า ตัวหนังที่ปูเรื่อง ปูพล็อต ปมปัญหาทั้งหมดของตัวละครมากมายมาตั้งนมนาน กลับล่มสลายพังทลายไปเสียสิ้น กลายเป็นการขมวดจบที่นอกจากจะดูคุ้น ๆ แล้ว ยังเป็นการขมวดจบแบบที่ทิ้งทุกสิ่งอย่างไปง่าย ๆ เหมือนโดนกดปุ่มรีเซตเสียอย่างนั้น