Category Archives: หนังไทยnetflix

รีวิว Jai Bhim

รีวิว Jai Bhim

รีวิว Jai Bhim

สวัสดีครับวันนี้แอดมินจะมารีวิวหรือมาแนะนำหนังนั้นเอง หนังไทยnetflix เป็นหนังแขก หนังอินเดีย ที่ได้รับคะแนะของ IMDB สูงมากๆ แอดจึงอยากหยิบมาแนะนำ ถกหนังแขก ‘ตำรวจทุกคนไม่ได้เป็นคนเลวนะ’ … ‘ก็จริง แต่ตำรวจทุกคน ก็ไม่ได้เป็นคนดีหนิ’ … นี่คือเรื่องราวเรียกน้ำย่อยของ Jai Bhim (2021) หนังอินเดียอันดับ 1 ใน Top 250 และ Top 1000 ของ IMDb ที่ทำคะแนนโหวตสูงสุด ที่ 9.6/10 โดยเพจ ‘หลงอินเดีย’ ได้นำมาเผย ถึงเหตุผลที่หนังเรื่องนี้ได้คะแนนแซงหน้าหนังอมตะอย่าง The Shawshank Redemption ที่ 9.3 คะแนน และ The Godfather ที่ 9.2 คะแนน ว่า… เว็บดูหนัง

รีวิว Jai Bhim

รีวิวหนังดัง พล็อตเรื่องสั้นๆ ทนายความ Madras K. Chandru ผู้ที่เข้ามา ว่าความต่อสู้ กับคดีที่ดูจะไม่เป็นธรรมแก่ชาวเผ่า Irulas ที่ถูกผู้มีอิทธิพลในชุมชน และ บรรดาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ใส่ความว่าได้เข้าไปขโมยของมีค่า จากบ้านหลังหนึ่ง ทำให้พวกกลุ่มคน ชาวเผ่าอิรูลัส ต้องกลาย มาเป็นแพะ รับบาป และ ต้องถูกกดขี่ ด้วยการใช้อำนาจ ที่เกินกว่ากฎหมาย กระทั่งทนาย ความจันดรู ได้เข้ามาต่อสู้กับคดีนี้ เพื่อชาวเผ่า และ ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดัน ที่อยู่เหนือกฎหมายมากมาย… และ ทนายความจันดรู จะสามารถ ช่วยชาว เผ่าที่เกือบ เป็นผู้ไร้ตัวตนของ ประเทศอินเดีย ในคดีนี้ได้หรือไม่ เพราะบรรดาผู้มีอิทธิพล ทั้งหลาย สามารถทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงได้เลยจริง ๆ

รีวิว Jai Bhim

ความสนุก ของหนัง ช่วงแรก ของหนัง อาจจะสร้างความสงสัยให้แก่ผู้ชมมากพอสมควร เพราะหนังเปิดมาด้วยฉาก การคัดแยกคนกระทำผิด ด้วยการให้ขานชื่อ ของวรรณะ แล้ว หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้เลือกปฏิบัติ กับคนกลุ่มหนึ่งทันที

หนังพาเราย้อนไปในเหตุการณ์ปี 1993 ว่า ในประเทศ อินเดียนั้น ยังคงมีกลุ่มชาวเผ่าอาศัยอยู่ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมี โดยกลุ่มชาวเผ่าต่าง ๆ นี้ มักจะถูกกดขี่ ข่มเหง รวมถึงถูก ตั้งชนชั้นวรรณะ ให้แก่พวกเขา ในลำดับที่เกือบจะต่ำที่สุดด้วย

และ เพราะชนชั้นที่สังคมได้ตีตราให้นั้น มันค่อนข้างต่ำมาก จึงทำให้การที่ชาวเผ่า จะกลายเป็น #แพะรับบาป ในกรณีผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัย เป็นการง่าย ที่จะโยนความผิดให้

รีวิว Jai Bhim

Jai หรือ Jay แปลว่า Victory หรือ ชัยชนะ ส่วนคำว่า Bhim หรือออกเสียงว่า ภิม นั้นหมายถึง Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar หรือ บิดา แห่งรัฐธรรมนูญ อินเดีย ผู้ที่เกิดมาจาก ชนชั้นจัณฑาล จนได้กลายเป็นทนายความ ก่อนถูกแต่งตั้งให้เป็น สมาชิก นิติบัญญัติ ของบอมเบย์ และ ท่านคือ ผู้ที่ต่อสู้ เพื่อสังคม การเมือง และ ศาสนา ให้แก่คนชนชั้นจัณฑาลได้สำเร็จ นั่นเอง
.
ไม่อยากให้พลาด
เป็นหนังที่เข้มข้น และ สนุกมากจริง ๆ บ่อยครั้งที่หนังอินเดียสไตล์ Drama Social มักทำออกมาให้ชวนเครียดอยู่บ้าง แต่ถ้าหากใครได้รับชมสักเรื่อง แล้ว ล่ะก็ รับรองจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะคุณจะยิ่งเข้าใจในระบบสังคมที่สุดแสนซับซ้อนนี้ เพิ่มขึ้นทีละนิด ๆ นั่นเอง ดูหนัง

บทสรุปเรื่องราว Jai Bhim

รีวิวหนังดัง หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อภาพยนตร์เรื่อง ‘The Shawshank Redemption’ ในฐานะหนังที่ทำคะแนนสูงสุดบนเว็บไซต์ IMDb ที่ 9.3/10 ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน แต่ล่าสุดสถิตินี้ได้ถูกทำลายลง แล้ว ซึ่งผู้ที่ทำลายก็ไม่หนังฟอร์มยักษ์จากฮอลีวูดหรือซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลหรือดีซีที่ไหน แต่เป็นหนังอินเดียแนวสืบสวนสอบสวนชวนดราม่า แต่สามารถเรียกคะแนนจากผู้ชมได้สูงถึง 9.6/10 เลยทีเดียว

Jai Bhim (2021) บอกเล่าเรื่องของ ทนายความผู้ว่าความให้กับชาวเผ่าอิรูลัส (Irulas) ในคดีขโมย ของมีค่า ซึ่งถูกผู้มีอิทธิพล และ ผู้มีอำนาจใส่ร้ายป้ายสีให้เป็นแพะรับบาป ซึ่งตัวเอกเป็นผู้เข้ามาว่าความต่อสู้คดีกับสิ่งที่อยู่เหนือกฎหมาย ที่มาพร้อมเหตุการณ์รุนแรงตามมาต่าง ๆ นานา แต่เขาทำไปเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชนเผ่าที่อยู่นอกสายตา ของประเทศอินเดียนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ

รีวิว Jai Bhim

Jai Bhim เป็นภาษาฮินดี ที่ผสมคำสองคำระหว่าง Jai แปลว่าชัยชนะ กับ Bhim ที่ย่อมาจาก ชื่อของ Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar หรือ บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ต่อสู้เพื่อสังคม และ การเมืองเพื่อคนชนชั้นจัณฑาล เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่เกิดมาจากชนชั้นจัณฑาล และ สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นทนายความได้ในที่สุด

ผู้กำกับหนังเรื่อง Jai Bhim พ่วงด้วยหน้าที่เขียนบทชื่อว่า ที.เจ.นานาเวล (T.J. Gnanavel) พาเราย้อนกลับไปในปี 1993 ซึ่งขณะนั้น ประเทศ อินเดียยังมีกลุ่ม ชาวเผ่าอาศัยอยู่ต่างมุมเมืองต่าง ๆ และ ถูกสังคม ยัดเยียดวรรณะ ที่อยู่ด้านล่างสุดของสังคมให้แก่พวกเขา ชนเผ่าเหล่านี้จึงมักตกเป็นแพะรับบาป ของคนวรรณะเหนือกว่าอยู่เสมอ

หนังเรื่อง Jai Bhim จึงพยายามเปิดให้เห็นการยื้อยุดระหว่างคนชนชั้นวรรณะสูง และ วรรณะต่ำ โดยมีทนายความผู้หวังดีเป็นตัวกลาง ให้ความรู้สึกเหมือนหนังสืบสวนสอบสวนที่เข้มข้น และ ตึงเครียดไปพร้อม ๆ กัน ขณะเดียวกันก็ได้ทำความเข้าใจระบบสังคม ของอินเดียไปด้วย ที่สำคัญเหตุการณ์ ในหนังเรื่องยังอ้างอิง จากเรื่องจริงด้วยนะ ใครอ่าน แล้ว อยากดูสามารถหาชมได้ที่ Amazon Prime Video เท่านั้น เว็บหนัง

ปล. และ Jai Bhim สามารถทำคะแนนโหวตได้สูงมากถึง 9.6/10 ซึ่งแซงหน้าหนังอมตะอย่าง The Shawshank Redemption ที่ 9.3 คะแนน และ The Godfather ที่ 9.2 คะแนน

รีวิว 1917

รีวิว 1917

รีวิว 1917

สำหรับภาพยนต์ฟอร์มยักที่เกี่ยวกับสงครามโลกนั้นแอดขอแนะนำเรื่องนี้เลยครับ เรื่่อง 1917 แอดขอบอกเลยว่า หนังไทยnetflix เป็นหนังที่ดีที่สุดจริงๆ ไม่ว่าะเป็นคุณภาพของหนังบทหนังหรือเทคนิคการถ่ายทำต่างๆ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารอังกฤษ ประกอบด้วย สคอฟิลด์ (จอร์จ แมคเคย์ จาก Captain Fantastic) และ เบลก (ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน จาก Game of Thrones) ได้รับมอบหมายให้ไปร่วมปฏิบัติการที่ดูเหมือนว่าอาจไม่มีทางสำเร็จ พวกเขาต้องข้ามเขตแดนของข้าศึก เพื่อส่งสารสำคัญก่อนทหารพันกว่าคนจะต้องสังเวยชีวิตให้กับกับดักของเยอรมัน

แซม เมนเดส ผู้กำกับอังกฤษเจ้าของรางวัลออสการ์ที่เคยมีผลงานอย่าง American Beauty และ แฟรนไชส์ 007 อย่าง Spectre กับ Skyfall ครั้งนี้กลับมาด้วยงานที่คงเป็นภาพฝังใจเขาแต่เด็ก โดยนำเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของปู่ตนเองที่ชื่อ อัลเฟร็ด เอช. เมนเดส ในวันที่ 6 เมษายน ปี 1917 ครั้งที่เป็นทหารราบในสงครามโลกครั้งที่ 1 บริเวณแนวรบในประเทศฝรั่งเศสระหว่างกองร้อยของอังกฤษกับเยอรมันที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด

ทั้งนี้เมนเดสได้เขียนบทด้วยตนเองเป็นครั้งแรกร่วมกับ คริสตี้ วิลสัน-แคร์น (จากซีรีส์ Penny Dreadful) นำเสนอมุมมองที่แตกต่างของหนังสงครามย้อนยุค ซึ่งก็แปลกตาดีกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เครื่องแต่งกาย และ ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ยังไม่หลากหลายทันสมัยอย่างในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่วงการหนังมักชอบยกมานำเสนอมากกว่า ไม่ว่าจะ Saving Private Ryan ของสปีลเบิร์ก หรือ Dunkirk ของโนแลน ก็เป็นหนังสงครามคุณภาพที่ชิงพื้นที่ออสการ์มาแล้วทั้งสิ้น

รีวิว 1917

รีวิวหนังดัง การที่ใช้สงครามโลกครั้งที่ 1 อาจมองเป็นจุดด้อยในแง่การนำเสนอด้านภาพยิ่งใหญ่ที่น้อยหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีจุดแข็งตรงความอ่อนประสบการณ์ ทั้งในแง่คนดูที่ไม่คุ้นชินกับการสู้รบในยุค 1900 ต้น ๆ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ได้ประสิทธิภาพสูง พอยืนระยะห่างกันสักหน่อยปืนทหารราบก็เรียกได้ว่ายิงพลาดได้แบบวัดดวงกัน

ทำให้หนังมันดูน่าลุ้นไปอีกแบบ เมื่อรวมกับความอ่อนสถานการณ์ของผู้ชมต่อเนื้อหาประวัติศาสตร์ว่าเกิดอะไรขึ้น และ จะเกิดอะไรต่อไป มันจึงสร้างประสบการณ์แบบอินไปกับตัวหนังได้อย่างกลมเกลียวเพราะเราก็ไม่รู้อะไรมากพอ ๆ กับตัวละครว่าการเดินทางในสมรภูมินิรนามนี้จะจบลงอย่างไร

ความอ่อนประสบการณ์ของตัวละครเองก็สร้างพื้นที่สำคัญในทางปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ในเนื้อหนังอันต่างจากหนังสงครามทั่วไป เพราะโลกยังขาดประสบการณ์แบบที่เรียกว่าสงครามโลก การไตร่ตรองความหมายของการต่อสู้ และ ชีวิตจึงแตกต่างจากหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มุ่งหมายเอาเรื่องการเสียสละ และ ความกล้าหาญเป็นตัวนำ สำหรับ 1917 กลับทำให้เรามองเห็นตัวละครในฐานะคนธรรมดาที่ต้องเข้าร่วมสงครามได้มากกว่า เว็บหนัง

รีวิว 1917

เพราะความกล้าหาญหรือวีรกรรมเล่าขานกลายเป็นเรื่องไร้ค่าสำหรับ สคอฟิลด์ ผู้ทิ้งเหรียญกล้าหาญของตัวเองแลกกับอาหารเครื่องดื่มดี ๆ สักชิ้นอย่างไม่ไยดี เขาไร้จุดหมายที่จะกลับบ้าน และ มองสงครามเป็นเรื่องที่ยากน้อยกว่าการสร้างครอบครัว สงครามไม่ได้มีค่าอะไรกับเขาเท่าการมีชีวิตต่อไปอย่างพอมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ การได้ทานขนมปังแฮมชิ้นเล็ก ๆ ที่หาได้ยากเย็นกลับดูยิ่งใหญ่กว่าสำหรับเขา และ เมื่อเขาถูกทดสอบทางเลือกระหว่างทำภารกิจที่ถูกโอบล้อมในดงศัตรูที่อาจทำให้ตายได้ กับช่วยเหลือหญิงสาวฝรั่งเศสที่บังเอิญพบเจอแล้วสร้างครอบครัวให้เด็กทารกกำพร้าแม่ เขาก็เลือกไปเสี่ยงตายมากกว่าได้อย่างไม่ลังเล

ในขณะที่เพื่อนทหารอีกคนอย่าง เบลก เองก็สะท้อนความอ่อนประสบการณ์ในการมองสงคราม เขาเห็นวีรกรรมเป็นเพียงเรื่องไว้คุยโม้เมื่อกลับบ้าน เพราะเขามีเป้าหมายที่จะกลับบ้านพร้อมพี่ชายของเขาที่อยู่อีกกองร้อย โดยประเมินความเป็นจริงของสงครามต่ำไป อาจเพราะเขาเป็นเพียงทหารแนวหลังที่ห่างจุดปะทะสำคัญ ภารกิจที่เขานึกออกมีเพียงการออกไปหาเสบียงหรือการอ่านแผนที่ทั่วไป

เมื่อได้รับการเรียกตัวด่วนเขาจึงไม่คาดคิดว่าเพียงฉับพลันเขาจะต้องฝ่าแนวรบออกไปเพื่อส่งสารให้กองร้อยที่พี่ชายสังกัดอยู่ โดยแบกภาระชีวิตทหารมากกว่าพันนายไว้กับตัว แม้กระนั้นแรงผลักดันที่ทำให้เบลกมุ่งต่อไปแม้เจออุปสรรคเฉียดตายจนสคอฟิลด์เอ่ยปากให้ทิ้งภารกิจกลับไม่ใช่เรื่องชีวิตทหารมากมายเป็นหลัก หากแต่เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างความปลอดภัยของพี่ชายตนเองมากกว่า

จะเห็นได้ว่ามันคือคนหัวคิดธรรมดา ๆ ที่คิดแบบใช้ชีวิตเรียบง่ายปกติสุขจริง ๆ ไม่ได้มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่อะไร แล้วชาวบ้านที่มีความสุขในชีวิตอันเรียบง่าย มองสงครามเป็นเพียงฉากนิยายที่น่าตื่นตาตื่นใจก็ถูกโยนลงกลางสมรภูมิจริง มันจึงคือเรื่องราวของการรู้จักสงครามใหญ่ครั้งแรกของมนุษย์ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ที่ชวนให้ตั้งคำถามว่าบทเรียนแค่นี้ยังไม่เพียงพอให้เข็ดขยาดสงครามอีกหรือ เพราะไม่กี่สิบปีคล้อยหลังมันก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาอีก

รีวิว 1917

การเอานักแสดงนำอย่าง จอร์จ แมคเคย์ และ ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน ที่ภาพลักษณ์ดูอ่อนต่อโลกจึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ทั้งนี้ว่ากันตามตรงตัวหนังอาจไม่ได้มีเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อหรืออัศจรรย์ใจเมื่อเทียบกับหนังสงครามโลกที่ผ่าน ๆ มาที่ต่างใช้วีรกรรมกับสมรภูมิที่โด่งดังมาเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ และ หากดูไปพลอตของหนังเรื่องการเดินทางเพื่อยับยั้งการบุกก่อนเข้าไปติดกับดักก็เป็นพลอตที่เชื่อมโยงกับหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ของ ปีเตอร์ เวียร์

เรื่อง Gallipoli (1981) อยู่ไม่น้อย ในขณะที่ด้านปรัชญาของหนังเองก็ไม่ได้ขวนขวายจะลงลึกให้เกิดพุทธิปัญญาอย่างจะแจ้งชัดเจน หากแต่เรียกร้องให้ผู้ชมเติมเต็มเข้าไปพอสมควร กระนั้นความโดดเด่นของหนังจริง ๆ กลับอยู่ที่โพรดักชันที่งดงาม ละเอียด ประณีต ผ่านการคิดมาอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ศิลป์ ซึ่งถ้าให้จำเพาะชื่อลงไป ก็ต้องกราบโดยตรงไปที่ผู้กำกับภาพของหนังอย่าง โรเจอร์ ดีกินส์ ผู้กำกับภาพเบอร์หนึ่งของโลกในยุคสมัยนี้

หนังถูกคิดแบบหนังเทคเดียว คือกล้องจับภาพลองเทคยาวตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเนื้อเดียวกัน โดยใช้กลเม็ดคือ Hidden Editing อาศัยจังหวะการเคลื่อนกล้องผ่านวัตถุหนึ่งจนภาพวัตถุเต็มเฟรมเพื่อซ่อนคัตของหนังที่ไม่ต่อเนื่องกันให้ดูเหมือนลื่นไหลยาวไป อันเป็นเทคนิคที่ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับชั้นครูทำให้โด่งดังขึ้นมาจากหนัง Rope (1948) ที่ทำให้หนังลองเทคจำนวน 10 คัตสามารถร้อยเรียงดูคล้ายหนังเทคเดียวทั้งเรื่องได้ เว็บดูหนัง

บทสรุป 1917

รีวิวหนังดัง แต่ความน่าสนใจของหนัง 1917 นั้นก็ต้องยอมรับว่า ฉากสงครามเป็นฉากที่ใหญ่ หลุมเพลาะที่ขุดยาวกว่า 5,000 ฟุต เพื่อใช้ถ่ายทำ ไหนจะซากเมืองทั้งกลางวันกลางคืน การถ่ายลองเทคในพื้นที่เปิดโล่งก็มีข้อจำกัดมากมายทั้งว่ายากต่อการจัดแสง และ ต้องพึ่งพาการวางแผนกับแสงธรรมชาติ

การควบคุมกลุ่มนักแสดงเรือนร้อย และ อุปกรณ์ประกอบฉากต่าง ๆ ให้ทำงานถูกต้องถูกจังหวะเมื่อเฟรมกล้องเคลื่อนไปสัมผัสก็ย่อมยากกว่าหนังที่ถ่ายลองเทคในสตูดิโอที่ควบคุมทุกอย่างได้หมด (ที่จุดบุหรี่จุดไม่ติดก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้หนังต้องถ่ายทำใหม่หลายเทคได้อย่างไม่น่าเชื่อ) แถมในความยากพวกเขาก็ไม่ละทิ้งความสมบูรณ์

เมื่อมีตัวละครในฉากตายเราจะเห็นเขาค่อย ๆ หน้าซีดลงจากเดิม ซึ่งต้องอาศัยความว่องไว และ แม่นยำระหว่างการเคลื่อนกล้อง และ การแสดง รวมถึงทีมงานเมกอัปที่เข้าไปให้ทันท่วงที เพื่อเปลี่ยนสีหน้านักแสดงโดยยังรักษาความต่อเนื่องของเทคไว้ได้

ในขณะที่หลายฉากถูกออกแบบอย่างสวยงาม และ เป็นที่น่าจดจำแทบทุกฉาก ตั้งแต่หลุมเพลาะในกองร้อยของตัวเอก แอ่งโคลนที่เต็มไปด้วยลวดหนาม และ ซากศพ อุโมงค์ลับของเยอรมัน สนามปืนใหญ่ที่ปลอกกระสุนเกลื่อนกลาด ทุ่งกว้างตัดกับขอบฟ้า ฟาร์มเลี้ยงวัวที่ถูกทิ้งร้างกับต้นเชอร์รี่สีขาว โรงนาที่ถูกเครื่องบินตกใส่

เมืองร้างที่มีเยอรมันเฝ้าในห้วงเวลากลางคืนที่พลุไฟถูกยิงวาดโค้งในอากาศจนเกิดเป็นมิติระหว่างแสงเงาอย่างน่าพิศวง (ฉากนี้เด็ดดวงมาก) โบสถ์สูงที่ไฟลุกไหม้จนควันสีส้มคลุ้งคลุมเมือง (ใช้อุปกรณ์จัดแสงขนาดใหญ่เหมือนตึกหลายชั้น – เชื่อว่าเป็นหนึ่งในการจัดแสงที่ใหญ่ที่สุดที่วงการหนังเคยทำขึ้นมา) สายน้ำที่เชี่ยวกราก และ มากมวลด้วยซากศพลอยติดตลิ่ง

รีวิว 1917

จนถึงจุดปะทะในแนวหน้าของสงครามที่ต้องวิ่งผ่าลูกกระสุนปืนใหญ่ จนถึงฉากสุดท้ายที่จบลงตรงต้นไม้ราวกับวนกลับมายังฉากเปิดเรื่องอีกครั้งในอารมณ์ความคิดของตัวละครที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาไม่กี่ชั่วโมงของวัน หนังมันทำสำเร็จจนเราแยกฉาก และ จดจำมันได้ทั้งหมดจริง ๆ เรียกว่ามีภาพจำสวย ๆ ในฉากของหนังเยอะมาก และ นอกเหนือจากนั้นการเคลื่อนกล้องยังฉกฉวยจังหวะสำคัญได้อยู่มือ

ไม่ว่าจะความตื่นเต้นของการค่อย ๆ ตามหลังตัวละครโผล่พ้นหลุมเพลาะสู่ทุ่งโล่งที่อาจโดนยิงใส่ หรือการโคลสอัปตัวละครสลับกับขนาดภาพต่าง ๆ โดยการเคลื่อนแบบลองเทค ผสานไปกับดนตรีประกอบที่ทำหน้าที่เปลี่ยนโมเมนตัมทางอารมณ์ผ่านฉากเดียวได้อย่างน่าสนใจ มีบ้างที่รู้สึกเล่นใหญ่เกินภาพอย่างฉากการลอบถึงแนวหลุมเพลาะของเยอรมัน แต่นั้นก็เป็นจุดฉุกใจครั้งเดียวในหนังตลอดเรื่อง

ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเหตุผลที่อาจพูดได้ว่าในทางโพรดักชันไม่มีเรื่องไหนที่ดีงาม และ ท้าทายมากไปกว่าหนังเรื่องนี้อีกแล้วสำหรับปีที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้

ข้อเสียที่พบในหนังเป็นเรื่องของดาบสองคมในการเลือกการเล่าแบบเทคเดียว เพราะหนังสร้างจุดอ้างอิงไว้แต่ต้นว่านี่คือภารกิจเดินเท้าแบบเร่งด่วนที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงเพื่อจะถึง แต่เมื่อหนังมีความยาวเพียงราว 2 ชั่วโมง การอ้างอิงระยะทางของสถานที่ต่าง ๆ จึงต้องถูกบิดเบี้ยวไปจนขาดความสมจริง ไม่ว่าจะการรับรู้เรื่องความใกล้ไกล

อย่างฉากโรงหน้าที่ตัวละครไม่รู้ตัวเลยว่ามีขบวนรถของทหารวิ่งมาใกล้แบบห่างไปไม่กี่เมตร หรือการเดินทางจากเมืองสู่เมืองที่ดูสั้นกว่าความเป็นจริงมาก ยังไม่นับท่าทีการแสดงที่ประหนึ่งตัวละครเป็นนักแสดงบนละครเวทีที่ใช้การเคลื่อนตัวไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนฉาก และ อารมณ์ได้แล้ว โดยเฉพาะฉากสุดท้ายยิ่งชัดเมื่อตัวละครเปลี่ยนมู้ดของฉากแล้วเดินสู่ต้นไม้ราวกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างก่อนหน้าละลายหายไปแล้ว ดูหนัง

แบบไฟบนสเตจของฉากก่อนหน้าโดนดับไฟลง ก็อาจเป็นสิ่งที่ แมซ เมนเดส จงใจให้ออกมาลักษณะเหมือนละครเวทีดังกล่าว แต่มันก็ทำลายความสมจริง อินในสถานการณ์ที่หนังใช้ทั้งฉาก ภาพ การเคลื่อนกล้องสร้างสมมาตลอดเรื่องทิ้งไปด้วย และ อีกส่วนก็มาจากความสมจริงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูผิดเหตุผลไปหมดเช่นว่าภารกิจสำคัญอย่างนี้ เหตุใดผู้นำทัพจึงเลือกเสี่ยงให้คนสองคนไปทำ แทนที่จะส่งออกไปเป็นคู่ ๆ หลาย ๆ เส้นทางแยกกัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น

 

รีวิว shershaah

รีวิว shershaah

รีวิว shershaah

สวัสดีคร้าบวันนี้แอดจะมารีวิวหนัง Shershaah เป็นหนังช่วงสงคราม หนังไทยnetflix ในช่วงยุคปลาย 80 เป็นหนังใน ปี 2021 ที่แอดรับประกันว่าการดูเรื่องนี้จะคุ้มค่ามากๆ หนังเรี่องนี้ให้ข้อคิดอย่างมาก ภาพยนตร์สัญชาติอินเดีย ที่สร้างจากเรื่องจริง ของ Vishal Batra และ Vikram Batra พี่น้องฝากแฝด และ การออกรบในสงครามอินเดีย ที่มีหลากหลายอารมณ์ ทั้ง แอคชั่น ดราม่า เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในช่วงปลายยุค 80 เว็บหนัง

รีวิว shershaah

รีวิวหนังดัง เรื่องราวที่เข้มข้นชวนให้เกาะติดทุกสถานะการณ์ สามารถติดตาม ดูหนัง Shershaah ได้ที่ Amazon Prime Video สิ่งแรกที่นึกขึ้นได้เมื่อเชอร์ชาห์เปิดเผยคือ: วีรบุรุษสงครามสมควรได้รับภาพยนตร์ที่มีส่วนร่วม และ มีพลังมากขึ้น เป็นเรื่องราวที่เคร่งขรึม และ เคร่งขรึมอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับชีวิต และ อาชีพสั้น ๆ ของกัปตันกองทัพบกวัย 25 ปีที่เสียชีวิตจากการสู้รบในสงครามคาร์กิลปี 2542 แต่ต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึงที่ใดที่ใกล้จะเต็มกำลัง

ด้วยน้ำเสียง และ การปฏิบัติที่ Shershaah เลือกใช้ การหาประโยชน์จากกัปตัน Vikram Batra ในฐานะเจ้าหน้าที่ และ สุภาพบุรุษรวมกันเป็นเรื่องเล่าที่หันไปใช้จังหวะที่กว้างกว่าการเจาะลึกถึงความแตกต่างของวิวัฒนาการของฮีโร่ที่มียศศักดิ์ในฐานะชายผู้กล้าหาญพิเศษที่เขากลายเป็น

รีวิว shershaah

ฝาแฝดที่เหมือนกันของตัวเอกเป็นผู้เล่าเรื่อง แต่เขาเหมือนกับคนอื่นๆ ในครอบครัวของทหาร ถูกผลักไสให้อยู่นอกโครงเรื่อง การตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์ที่ป้องกันไม่ให้เชอร์ชาห์กลายเป็นเรื่องราวที่ครอบคลุมซึ่งคร่อมความกล้าหาญพิเศษของผู้พลีชีพ ตลอดจนความเข้มแข็งของพ่อแม่พี่น้อง

ภาพยนตร์สงครามที่กำกับโดยพระนารายณ์ Varadhan อำนวยการสร้างโดย Dharma Productions ของ Karan Johar และ สตรีมบน Amazon Prime Video รวบรวมชิ้นส่วนของชีวิตที่แกะสลักจากรายละเอียดที่เป็นเอกสาร และ จัดวางในโครงสร้างเชิงเส้นที่น่าขนลุก

รีวิว shershaah

นักแสดงนำ Sidharth Malhotra มีสิ่งที่จะทำให้เนื้อตัวผู้พลีชีพในชีวิตจริงที่ทิ้งไว้เบื้องหลังออร่าที่ใหญ่กว่าชีวิต แต่วิวัฒนาการของบุคลิกภาพที่แข็งแกร่งดุจเล็บของตัวละครที่อยู่ที่ฐานของสนามรบของเขา derring- do จะถูกส่งในรูปแบบของ driblets ตื้น ๆ ซ้ำซาก

กัปตัน Batra ซึ่งมีชื่อรหัสว่า Shershaah ก่อนปฏิบัติการสำคัญในช่วงสงคราม Kargil ทำให้โลกมีสายสัมพันธ์ว่า “Yeh dil maange more” น่าเสียดายที่หนังเกี่ยวกับเขา และ ชีวิตสั้นของเขาไม่มีพลังขับเคลื่อนที่จะทำให้คุณขออะไรอีก

เมื่อเผชิญหน้า Shershaah ซึ่งเขียนบทโดย Sandeep Shrivastava มองหาโศกนาฏกรรมของชีวิตที่ถูกตัดขาดจากสงคราม เช่นเดียวกับความกล้าหาญ และ เกียรติยศที่มีอยู่ในการเสียสละสูงสุดของกัปตัน Batra อย่างไรก็ตาม มันใช้วิธีการที่ไม่เสี่ยงอันตรายเพื่อสร้างเรื่องราวที่เป็นสาธารณสมบัติมากว่าสองทศวรรษแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีการเปิดเผยที่น่าตกใจที่เชอร์ชาห์เตรียมไว้สำหรับผู้ชม

เมื่อยังเป็นเด็กที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น Vikram ต่อสู้กับคนพาลที่ไม่ยอมคืนลูกคริกเก็ต พ่อของเขาซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนในเมืองปาลัมปูร์ รัฐหิมาจัลประเทศ พาลูกชายไปทำภารกิจ และสงสัยว่าเขาจะลงเอยด้วยการเป็นอาชญากรหรือไม่ Vikram พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน: “Meri cheez mere se koi nahi chheen sakta (ไม่มีใครสามารถฉวยสิ่งที่เป็นของฉันได้)”

รีวิว shershaah

เป็นความก้าวหน้าทางธรรมชาติต่อจากนี้ไป ละครโทรทัศน์เรื่อง Param Vir Chakra ช่วงปลายทศวรรษ 1980 โดยเฉพาะตอนหนึ่งของ Major Somnath Sharma ของ Palampur ผู้รับรางวัลความกล้าหาญสูงสุดของอินเดียคนแรกได้สะกด Vikram

เด็กชายเริ่มสวมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการต่อสู้ไปงานปาร์ตี้ และ งานสังสรรค์ทางสังคมเพื่อสร้างความอับอายให้กับครอบครัวที่เหลือของเขา แต่จิตใจของเด็กชายถูกสร้างขึ้น เขาให้ทุกคนรอบตัวเขารู้ว่าเขาจะเป็นทหารปกป้องพรมแดนในวันหนึ่ง

เรื่องราวต่อไปของ Vikram Batra เกิดขึ้นในวิทยาลัย Chandigarh ซึ่งตอนนี้เขาเป็นเด็กรัดตัว และ ตกหลุมรักเพื่อนร่วมชั้น Dimple Cheema (Kiara Advani) เมื่อความรักในวิทยาเขตเบ่งบาน พ่อแม่ของเขา พี่สาวสองคนของเขา และ Vishal น้องชายฝาแฝดที่เหมือนกันของเขา (แสดงโดย Sidharth Malhotra) ก็ถูกผลักไปที่ปีก

Dimple Cheema เป็นซาร์ดาร์นี พ่อของเธอเสียชีวิตแล้วเพราะลูกสาวของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กชายปัญจาบคาตรี แต่จำไว้ว่าไม่มีใครสามารถเอาสิ่งที่ Vikram Batra ตั้งเป้าไว้ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เจอสิ่งกีดขวางบนถนนเมื่อ Vikram ถูกจับในสองความคิดในอนาคตของชีวิตของเขา

ด้วยความคิดของ Dimple เขาจึงไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าควรไล่ตามความฝันในวัยเด็กในการเข้าร่วมกองทัพหรือตั้งรกรากสำหรับงาน Merchant Navy ที่ได้รับเงินเดือนสูง ในท้ายที่สุด ไม่มีรางวัลให้เดา เขาทำการตัดสินใจที่ถูกต้องโดยคนรักของเขา และ ซันนี่ (ซาฮิล เวด) เพื่อนสนิทของเขา ดูหนัง

สรุป shershaah

รีวิวหนังดัง แปดสิบนาทีของภาพยนตร์ – เวลาแสดงของเชอร์ชาห์คือ 135 นาที – ใช้จ่ายในการจัดฉากสำหรับวีกรามวีรสตรี ตอนแรกในเมืองโซพอร์ ตำแหน่งของการโพสต์ครั้งแรกของเขา ซึ่งเขาได้พัฒนาความสนิทสนมกับรุ่นพี่ และ รุ่นน้อง และ จากนั้นใน ความขัดแย้งในคาร์กิลที่บังคับให้เขาต้องเดินทางกลับไปยังจันดิการ์เพื่อพบกับดิมเพิล และ ให้ความมั่นใจกับเธอว่าความรักของเขามีไว้ให้คงอยู่

ในการขี่ในฉากต่อสู้ที่ตามมา เชอร์ชาห์ได้รับโมเมนตัมในขณะที่ผู้เล่นทุกคนทั้งก่อนหน้า และ หลังกล้อง รวมถึงผู้กำกับภาพ (คามัลจีต เนกิ) นักออกแบบท่าเต้น และ นักแสดงนำต่างก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย จังหวะที่ตั้งใจไว้ของสองควอเตอร์แรกของเรื่องนั้นเร็วเกินไป และเชอร์ชาห์ก็ทำบางอย่างที่คล้ายกับจังหวะ

“อยู่โดยบังเอิญ รักโดยเลือก และฆ่าโดยอาชีพ” เป็นคติประจำใจของ Vikram ในการเป็นทหาร แม้ว่าการสูญเสียเพื่อนในสงครามจะทำให้เขาไม่พอใจ เขาก็ไม่หยุด อันที่จริง เขาสาบานว่าเขาจะทำทุกอย่างในอำนาจของเขาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บล้มตายในฝั่งอินเดีย

“จะไม่มีใครตายบนนาฬิกาของฉันอีก” ร้อยโทปืนไรเฟิลจัมมูและแคชเมียร์ผู้กล้าหาญ 13 คนบอกกัปตันซานจีฟ “จิมมี่” จัมวาล (ชีฟ บัณฑิต) รุ่นพี่ของเขาในกองทัพอินเดียหกเดือน “หากมีผู้บาดเจ็บรายอื่นนอกจากศัตรู มันจะเป็นฉันเอง” วิกรมกล่าว

พ.ต.ท. วาย.เค. หัวหน้านายทหารหนุ่ม โจชิ (ชิตาฟ ฟิการ์) มองเห็นประกายไฟของทั้งวิกกี้และจิมมี่อย่างรวดเร็ว และไม่ลังเลเลยที่จะยอมรับว่าทั้งสองเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดของเขา น่าเสียดายที่ตัวละครของจิมมี่และตัวละครอื่นๆ อีกหลายคนได้รับการรับประกันอย่างไม่มีการลดหย่อน นักแสดงที่เล่นบทบาทรองเหล่านี้ – Shiv Pandit, Nikitin Dheer, Anil Charanjeett – มีเพียงฉากหลงทางที่จะทำให้การปรากฏตัวของพวกเขามีค่า เป็นการต่อสู้ที่พ่ายแพ้

ด้วยความเมตตา เชอร์ชาห์ไม่หันไปใช้การตีหน้าอกและการโบกธง มันเฉลิมฉลองทหารผู้กล้าหาญ อย่างไรก็ตาม ฮีโร่นี้ไม่ได้มอบให้กับความกล้าแสดงออกหรือความองอาจ เขาเป็นคนหัวใสที่รู้ว่าเขาต้องทำอะไรและพยายามทำมันด้วยความตั้งใจแน่วแน่

นั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นในระดับหนึ่ง พลังยิงในโรงภาพยนตร์และหินเหล็กไฟเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เชอร์ชาห์สูงขึ้น – และไกลออกไป – ในฐานะละครสงคราม เว็บดูหนัง

ฉายวันที่ : 12 สิงหาคม 2021
ผู้กำกับ : Vishnuvardhan
นำแสดงโดย : Sidharth Malhotra, Kiara Advani, Shiv Panditt
ชื่อหนัง : Shershaah (2021)
IMDB : 8.9

รีวิว City Hunter

รีวิว City Hunter

รีวิว City Hunter

สวัสดีครับ ถ้าให้่พูดถึงกาตูนที่ เป็นตำนานสุดคลาสสิคคงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันไม่ได้ครับ หนังไทยnetflix กับอีกหนึ่งตำนานการ์ตูนสุดอมตะตลอดกาลที่ครบรสชาติที่สุด ทั้งฉากบู๊เท่ๆ สาวสวย มุกตลกลามก ที่โด่งดังมากในบ้านเรา จัดเป็นอีกหนึ่งผลงาน Masterpiece ของ “ซึกาสะ โฮโจ” ซือแป๋นักวาดการ์ตูนระดับอ๋องของวงการการ์ตูนญี่ปุ่นอีกคน กับผลงาน “CITY HUNTER” (シティーハンター) และได้มีการนำไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากมาย ดูหนัง

และชื่อที่ถูกนำไปใช้สำหรับเวอร์ชั่นเผยแพร่ไปยังฝรั่งเศส ก็คือ Nicky Larson (นิกกี้ ลาร์สัน) ซึ่งเป็นทั้งชื่อเรื่อง และชื่อพระเอกในเวลาเดียวกัน ความโด่งดังของการ์ตูนเรื่องดังกล่าว ก็ได้ไปเข้าตาทาง “ฟิลลิป ลาโช” นักแสดงหนุ่ม นักเขียนบท และผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ที่เป็นแฟนเดนตายของการ์ตูนเรื่องนี้ เขาจึงเริ่มโปรเจคท์หนังเรื่องนี้ และมีกำหนดฉายในไทยด้วย กับ “Nicky Larson et le parfum de Cupidon” หรือชื่อฉายในไทย คือ “City Hunter : สายลับคาสโนเว่อร์ “

รีวิว City Hunter

พบปฏิบัติการโคตรมันส์ฮาใส่กระสุนความเกรียน 18+ ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิต “CITY HUNTER” นิกกี้ ลาร์สัน (ฟิลลิเป้ ลาโชว์) นักสืบเอกชนขั้นเทพที่ไขคดีปริศนามานักต่อนัก แต่จุดอ่อนอย่างเดียวที่ทำให้เขาต้องปวกเปียกทุกครั้งที่เจอคือ สาวสุดเอ็กซ์! ลาร์สันต้องผจญภัยฝ่าภารกิจสุดป่วง โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือการชิงเอาน้ำหอมกามเทพ น้ำหอมที่ทำให้ทุกคนที่ได้กลิ่นต้องหลงใหลหมดตัวหมดใจ

รีวิว City Hunter

รีวิวหนังดัง เรื่องราวของ “City Hunter” เวอร์ชั่นหนังฝรั่งเศส จะเล่าเรื่องราวชีวิตในการเป็นสุดยอดบอดี้การ์ดรับจ้างของ “นิกกี้ ลาร์สัน” (ซาเอบะ เรียว / แสดงโดย ฟิลิป ลาโช) และคู่หูสาวสวย “ลอร่า มาร์โคนี่” (มากิมูระ คาโอริ / แสดงโดย เอโลดี ฟงตอง) กับภารกิจเสี่ยงตาย ในการไล่ล่า “น้ำหอมกามเทพ” (le parfum de Cupidon) น้ำหอมรุ่นใหม่จากสถาบันวิจัยน้ำหอมแห่งฝรั่งเศส ที่มีคุณสมบัติที่ทำให้ผู้คนหลงไหลได้ปลื้ม เกิดความรักกันแบบขาดสติ และน้ำหอมดังกล่าว กำลังถูกผู้ก่อการร้าย นำไปทำเรื่องชั่วร้ายบางอย่าง…

**แม้ว่าชื่อพระเอก และตัวละครอื่นๆ อาจจะไม่คุ้นหูคนไทยไปซักนิด แต่เชื่อว่าความฮา และบรรยากาศความสนุกสนานที่คนไทยอย่างเราๆท่านๆที่โตมากับช่อง 9 การ์ตูน น่าจะแฮปปี้ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เสียงภาษาไทยโดย น้าต๋อย เซมเบ้ นักพากย์ระดับตำนาน เจ้าของเสียง “ซาเอบะ เรียว” เวอร์ชั่นไทย จะกลับมารับบทที่คุ้นเคย ที่แอดมินได้ชมเวอร์ชั่นเสียงไทยในรอบพิเศษ ก็พากย์ตามสไตล์น้าต๋อย เซมเบ้ จริงๆ **

รีวิว City Hunter

และสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่แฟนมังงะ ไม่รู้จักมาก่อน มันก็คือหนังบู๊ตลกสไตล์เฉินหลง (ฉากบู๊ผสมความขบขัน) ผนวกกับสไตล์โจวชิงฉือ (พวกลูกเล่นการตัดต่อ กลวิธีแพรวพราวที่หลอกล่อคนดู) อย่างงั้นเลย คือตลกมากหลายฉากเลย ฉากที่ตลกน้อยก็ยังรู้สึกว่าไม่มีคำว่าแป้กสักนิด ติดอยู่ข้อเดียวว่าหนังฝรั่งเศสเขานู้ดกันปกติ ดังนั้นเครื่องทรงเครื่องเพศนี่เห็นกันเต็มตาเต็มจอนะจ๊ะ บวกกับลูกหื่นของลาร์สันนี่ก็หื่นตลอดเวย์จริง ๆ ก็ไม่ใช่พฤติกรรมเอาเยี่ยงอย่างได้ล่ะ ก็ต้องสอนเด็กว่าเป็นเพียงเรื่องแต่งเท่านั้น ใครจูงลูกพาหลานไปดูก็นะระวังนิดอย่างนึกว่าหนังจากมังงะแล้วเด็กดูง่ายล่ะ เว็บดูหนัง

แต่ถ้าอายุถึง-คิดถูกผิดได้ บอกเลย โคตรมันโคตรตลกเลยเรื่องนี้ ยิ่งได้เสียงพากย์จากน้าต๋อย เซมเบ้ ผสานกำลังแก๊งพันธมิตร ต้องบอกเลยจากหนังฮา 100 กลายเป็น 200 ทันที แถมใส่มุกกันยับไม่เว้นแม่แต่จอดำช่วงข้ามฉากเลยทีเดียว คือคุ้มเลยนะกับการดูพากย์ไทยเรื่องนี้ และคงหาโอกาสได้หนังตลกดี ๆ มีนักพากย์ชั้นเซียนครบทีมแบบนี้ดูยากขึ้นเรื่อย ๆ แน่ ทุกนาทีของการดูและฟังหนังเรื่องนี้จึงคือความสุขและรอยยิ้มตลอดเวลาจริง ๆ

“หนังตลกเบาสมองที่ทำออกมาโคตรดี”

สรุป City Hunter

รีวิวหนังดัง ใครที่เติบโตมากับการ์ตูนยุค 80 อย่าง City Hunter หลายๆคนที่ได้ชมตัวอย่างของหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกระแวงว่า จะทำออกมาดี ออกมากาก หรือแป้ก ตามรอยการ์ตูนเรื่องอื่นๆที่มาทำเป็นหนังหรือเปล่า อันนี้แอดมินกล้าเอาคอเป็นประกันว่า นี่คือ “BEST ADAPTION” หรือ การดัดแปลงบทการ์ตูนมาทำหนังที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาแล้ว จริงๆ เพราะองค์ประกอบหลายๆอย่าง ทำออกมาดีมากๆ ทั้งเนื้อหา การให้แอร์ไทม์เฉลี่ยบทตัวละคร หรือสถานการณ์ต่างๆที่ใส่มาในหนัง มันถูกจังหวะ ลงล๊อกมากๆ

ตัวหนังไม่มีพล๊อตที่ซับซ้อนอะไรมาก และไม่ได้เป็นหนังสนองนี้ดของผู้กำกับซะทีเดียว แต่เป็นหนังที่แม้แต่คนที่ไม่ได้เคยอ่าน หรือเกิดไม่ทันดูซิตี้ฮันเตอร์ ก็สามารถสนุกไปกับมันได้ เพราะว่าคนดูจะรู้จักลักษณะคาแรคเตอร์ นิสัยของตัวละครแต่ละตัวได้ในเรื่องนี้ง่ายๆ เนื่องจากตัวละครมีความเป็น “การ์ตูนสูงมาก” ในบางจังหวะเราอาจจะรู้สึกว่า “มันไม่เมคเซ้นส์” ในโลกของเรา แต่ในโลกของหนังเรื่องนี้ มันดัน“สมเหตุสมผล”ซะงั้น…

รีวิว City Hunter

เราจะเห็นมุกตลกที่ขำกันแบบ “ฮาหลังไม่ติดเบาะ” ทุกๆ 5-6 นาที แม้ว่าหนังจะพยายามดึงซีนดราม่ามาใส่ และก็ตัดอารมณ์ให้มันตลกได้ ถ้าอธิบายให้เห็นภาพ ก็คงเป็นการนั่งดูละครซิทคอม ที่ตัดเอามาเฉพาะมุกตลก ยัดใส่รวมๆกันได้ราวๆ 1 ชั่วโมง 30 นาที นั่นละ เราจะเห็นมุกทุกแบบ ทั้งมุกตลกลามก (เห็นเป็นชิ้นเป็นอันสุดๆ) มุกตลกสถาณการณ์ มุกตลกรับส่งโยนกันไปมาโบ๊ะบ๊ะกันทั้งเรื่อง บวกกับเสียงพากย์ของน้าต๋อย เซมเบ้ และทีมพากย์พันธมิตร ที่ยิ่งช่วยทำให้หนังที่มันตลกอยู่แล้ว ให้ตลกมากขึ้น เครดิตตรงนี้ก็ต้องยกให้ด้วยเช่นกัน เว็บหนัง

งานภาพของเรื่องถ่ายทำได้ออกมาเป็นฟิลลิ่งการ์ตูน การใช้สีสันฉูดฉาด แต่มีความคมชัด ภาพรวมของหนังจะออกไปทางสว่างสดใสซะเยอะ ตัวละครบางตัวอาจจะแคสติ้งมาแปลกๆตาไปบ้าง แต่เรารู้สึกว่า เออ มันก็น่าจะเป็นประมาณนี้แหละ ถ้าเป็นคนจริงๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่ากำลังดู “หนังคอสเพลย์” แต่อย่างใด (แม้ว่าบางตัวเหมือนหลุดมาจากการ์ตูนก็ตาม 555+)

ฉากแอคชั่นในเรื่องนี้ เอาจริงๆก็ถือว่า “มีไม่มาก แต่ใช้เทคนิคการถ่ายทำออกมาได้น่าสนใจ” ทั้งฉาก ลองเทคยาวๆ , มุมมองบุคคลที่หนึ่ง , ฉากแอคชั่นดวลปืนที่ออกแบบมาแล้วชวนให้นึกถึง Kingsman + จอนห์ วิค + จอนนี่ อิงลิช หยิบมาโยนใส่กันอย่างละนิดอย่างละหน่อย ก็ออกมาเป็นซิตี้ฮันเตอร์ที่เป็น“หนังตลก”ครบเครื่อง บู๊ก็ได้ ฮาก็ดี…

ไปดูเถอะครับ ถูกใจแฟนๆ ซาเอบะ เรียว..เอ้ย นิกกี้ ลาร์สัน แน่นอน กล้าพูดเลยว่า “ดีกว่าของเฉินหลง หรือซีรีส์เกาหลีที่เอาไปทำแน่นอน” หนังมีมุกให้พูดถึงมากมาย ดูจบกลับบ้านไปมีความสุขแน่นอน ไม่มีอะไรมากไปกว่า 10/10 อีกแล้ว นี่คือไปดูแบบกะ “หวดให้ยับเลย ถ้ามีจุดไม่ถูกใจ” เพราะออกตัวเลยว่าคาดหวังไว้สูงมากในฐานะแฟนการ์ตูน ซิตี้ ฮันเตอร์

และนิกกี้ ลาร์สัน ไม่ทำให้ผิดหวังครับ!!

City Hunter : สายลับคาสโนเว่อร์

(Nicky Larson et le parfum de Cupidon)

ประเภท : ภาพยนตร์

ค่าย : SONY PICTURE

แนว : Action / Comedy

ผู้กำกับ : Philippe Lacheau

แสดงนำ : Julien Arruti, Tarek Boudali , Philippe Lacheau, Élodie Fontan

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิวหนังดัง สวัสดีจ้า หนังไทย ส่วนมากก็จะแนวรักๆ ดราม่าๆ เรื่องนี้ก็เช่นกัน มันเป็นเรื่องที่ผมก็ชอบเหมือนกัน จึงอยากมาแนะนำ ไทยบ้านเดอะซีรีย์ ยังคงมีผลงานออกมาให้ชมเรื่อย ๆ เลยครับ สำหรับในหนัง ในจักรวาลไทบ้าน เดอะซีรีส์ แต่หากไม่นับ ‘รักหนูมั้ย’ ที่เหมือนเป็นแค่การใช้นักแสดงชุดเดียวกันมาเล่าเรื่องใหม่ ‘หมอปลาวาฬ’ จะนับเป็นงานหนังสปินออฟลำดับที่ 2 ต่อจาก ‘ไทบ้านXBNK 48’ โดยแน่นอน ว่าการที่หนัง ใช้ชื่อตัวละคร อย่างหมอปลาวาฬ มาเป็นจุดขายย่อมหมายถึงการที่เราจะได้เห็นเรื่องราวมุมมองความสัมพันธ์จากฝั่งผู้หญิงอย่างหมอปลาวาฬว่าทำไมในหนัง ‘ไทบ้านเดอะซีรีส์’ เธอถึงยังตัดใจจากจ่าลอด ไม่ได้เสียที

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

หนังเริ่มมาด้วยภาพอดีตตอนที่หมอปลาวาฬไม่อาจช่วยชีวิตคนตกน้ำได้ และ เป็นจ่าลอดนี่เอง ที่อยู่ในเหตุการณ์ ดังกล่าว และ โดยที่ไม่ต้องเดา ให้เสียเวลาภาพ ก็ตัดมายุคปัจจุบัน ที่จะเล่าเรื่องหมอปลาวาฬ ที่ยังไม่อาจตัดใจ จากจ่าลอดให้ขาดได้แม้จะมีหมอเต้ยสุดหล่อตามจีบอยู่ก็ตาม แต่ แล้ว ก็เป็นจ่าลอดเอง ที่อาศัยช่วงเวลา ที่ครูแก้วแฟนสาว ตัวจริงพานักเรียน ไปแข่งฟุตบอล ต่างจังหวัดหา ช่องทาง กลับไปตีสนิทหมอปลาวาฬ จนเกิดเป็นความผูกพันครั้งใหม่ที่ต้องเลือก ระหว่างความต้องการ กับความถูกต้อง เว็บดูหนัง

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิวหนังดัง เอาจริง ๆ พลอตเรื่องของ ‘หมอปลาวาฬ’ นี่แทบไม่มีอะไรเหลือให้เล่าอีก แล้ว แต่หากจะให้เปรียบเทียบกับหนังซูเปอร์ฮีีโรก็คงทับรอยเดียวกับ ‘Black Widow’ ของมาร์เวลนั่นแหละครับคือเอาตัวละครที่คนดูรักแม้ว่าจะไม่ค่อยมีบทบาทเป็นชิ้นเป็นอันใน หนังภาคต่อของ ‘ไทบ้านเดอะซีรีส์’ เท่าไหร่ และ ยังแนะนำตัวละครใหม่ (หรือเปล่า?) อย่างหมอเต้ยที่ได้อดีตครูเต้ย – อภิวัฒน์ บุญอเนกมาโชว์หน้าหล่อ ๆ อยู่ 1 ซีนถ้วนซึ่งเราก็คงเดา ตอนจบได้ไม่ยากว่า หนังจะต้องเล่นงาน กับชะตากรรม ของหมอปลาวาฬ อย่างหนักหน่วง ก่อนเธอจะก้าวข้าม มะเร็งหัวใจอย่างจ่าลอดไปได้

กระนั้นใน ความไม่มีอะไรของพล็อตเรื่อง มันก็ยังแอบมีจุดน่าสนใจหลายอย่างที่ทำให้เราเห็นว่า สุรศักดิ์ ป้องศร มีความเข้าใจในเนื้อหาที่ตัวเองกำลังจะเล่าโดยเฉพาะการดึงให้อนามัยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตความเป็นอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งบทหนังก็ใช้ประโยชน์ จากการที่แพทย์ อาสาสมัครต้องติดตามคนไข้ผู้เฒ่าผู้แก่ให้มาคอยรับยารักษาโรคเป็นประจำสร้างภาพลักษณ์ของแพทย์ประจำท้องถิ่นที่ต้องต่อสู่กับความเชื่อของชาวบ้านเรื่องสุขภาพ

มาเปรียบเทียบกับเรื่องหัวใจของหมอปลาวาฬที่แม้จะมีความรู้รักษาคนไข้ได้มากแค่ไหน แต่เรื่องหัวใจก็ยังเห็นเธอปรึกษาเพื่อนร่วมสถานีอนามัยหรือกระทั่งเลือก “ยาผิด” ให้ตัวเองจนกว่าจะบรรเทาอาการ เธอก็กลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องแลกหัวใจของเธอกับความโลเล และ หลายใจของจ่าลอด

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

และ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเสน่ห์เฉพาะตัวของ ฟิฟิน สิริอมร อ่อนคูณ คือหัวใจของเรื่องราวจริง ๆ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอก ของหมอปลาวาฬที่จับเธอใส่แว่นแต่งหน้าอ่อน ๆ แต่แอบแซ่บ ด้วยรอยสักจะทำให้หนุ่ม ๆ แทบคลั่งทุกครั้งที่เธอปรากฎตัวแต่เป็นฝีมือการแสดง ของเธอต่างหาก ที่ทำให้เรื่องราว ที่หวุดหวิด จะน้ำเน่ากลับมีมิติ และ มีหัวจิตหัวใจมากพอ ให้คนดูติดตาม ร่วมลุ้น และ อดเห็นใจ กับชะตากรรมของเธอไม่ได้

กระนั้นความดีของนักแสดงหรือตัวบทที่ยังทำงานกับคนดูก็กลับมามัวหมองด้วยข้อผิดพลาดด้านโปรดักชันที่พบเจอได้รายทางตั้งแต่ซีนบทสนทนา ที่คนดูได้ยินเสียงไมค์ไวร์เลสขูดกับเสื้อ ได้ชัดเจน เสียงพูดที่หลายครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนบันทึกมาด้วยเกนเสียง ที่พีคจนฟังแทบไม่รู้เรื่องจนถึงเสียงบางช่วงที่ติดไวร์เลสไม่ได้ ก็เหมือนได้ยินจากไมค์กล้องจนคุณภาพ เสียงกลายเป็นปัญหาที่บั่นทอนคุณภาพ ของงานไปอย่างไม่น่าเชื่อ

ด้านงานภาพแม้ว่าสไตล์นำเสนอที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของหนังชุดนี้ทั้งการแทร็กกิ้งตามตัวละครเดินข้ามถนนไปมาหรือการถ่ายรับหน้าเพื่อสื่ออารมณ์โดยไม่ต้องมีคำพูดจะยังคงมีให้เห็นทั่วไป และ ทำงานได้ดีอยู่ แต่พอมีบางช็อตที่เห็นเลยว่าแก้ปัญหาแสงเปลี่ยนด้วยการใส่ฟิลเตอร์แสงส้มปลอม ๆ เข้ามาก็กลายเป็นรอยด่างพร้อยอันน่าเสียดาย

รีวิว ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

และ คงไม่เป็นการสปอยล์ถ้าจะบอกว่าตอนท้ายเรื่องแอบมีหยอดฉากที่บักเซียงอีกหนึ่งตัวละครที่คนดูรัก และ เห็นใจกำลังจะกลับมาอีกครั้งกับ ‘จักรวาลไทบ้าน สัปเหร่อ’ ที่คราวนี้จักรวาลไทบ้านจะมาในรูปแบบหนังโรแมนติกสยองขวัญเมื่อบักเซียง (ชาติชาย ชินศรี) ยังคงตัดใจจากคนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับไม่ได้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่หลายคนได้ดูต้องตั้งตารออย่างแน่นอน เว็บหนัง

สำหรับในภาคแยกเรื่องนี้ หนังยังคงได้ “สุรศักดิ์ ป้องศร” ผู้กำกับจากหนังชุดหลักมาช่วยสานต่อเรื่องราวในภาคนี้ พร้อมกับที่งานเซิ้งที่ยังฟอร์มทีมจัดเต็มกับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยหนังก็ยังคงได้ทีมนักแสดงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี กลับมารับบทที่กลายเป็นชีวิตของพวกเขาไป แล้ว ไม่ว่าจะเป็น “ด้งเด้ง-ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร”, “ฟิฟิล์ม-สิริอมร อ่อนคูณ” และ “นะโม-ธันวาพร นาสมบัติ”

บทสรุป ไทยบ้านเดอะซีรีส์หมอปลาวาฬ

รีวิวหนังดัง หนังออกฉายไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยกระแสภาคนี้อาจจะเงียบกว่าภาคหลักไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่ายังประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ เพราะสามารถโกยเงินรายได้จากการฉายทั่วประเทศไปได้เกือบ 15 ล้านบาทเลยทีเดียว และ ยังสามารถช่วยต่อลมหายใจให้กับจักรวาลไทบ้านแห่งนี้ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีแฟน ๆ ให้การต้อนรับการอบอุ่นเช่นเคย

บรรยากาศสุดแสนอบอุ่น

ผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านได้ตรงจุดมาก ๆ ได้เห็นถึงชีวิตจริงของชาวบ้านที่เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของเรื่อง แต่มันทำให้คนดูอย่างเราอินไปกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ยิ่งในการสื่อสารกันภาษาอีสานเขามีความเป็นเอกลักษณ์ และ โดดเด่นเป็นเฉพาะของเขาอยู่ แล้ว ยิ่งทำให้หลงมนต์สะกดของภาษาอีสานไปเลย อย่างบรรยากาศทุ่งหน้าที่ได้เห็นแสงตะวันกำลังท่อแสงสาดส่องมายังท้องทุ่งเป็นอะไรที่ดีต่อใจคนดูมาก ๆ ดู แล้ว มันอบอุ่นได้มวลของอุ่นไอรักอุ่นไอดินที่หาไม่ได้ในเมืองกรุงเอาไปเลย 10/10

เพลงประกอบสุดว้าว

เมื่อพูดถึงหนังไทบ้านในทุก ๆ เรื่อง แล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์สำคัญเลยก็คือเพลงประกอบผลงานภาพยนตร์ที่ดีต่อใจ เข้าถึงคนดูภาพยนตร์มาก ๆ เพราะในทุกฉากทุกตอนที่บิวต์อารมณ์ด้วยการเพิ่มอรรถรสของเสียงเพลงเข้าไป ยิ่งทำให้เส้นเรื่องดูมีอะไรน่าสนใจ และ ยิ่งสร้างความอินให้แก่คนดูได้อีกด้วย ในผลงานหนังเรื่องหมอปลาวาฬก็มีเพลงประกอบที่ชวนคนดูติดตามอยู่ด้วยเหมือนกัน ยิ่งฟังยิ่งเพราะ และ ยิ่งทำให้สนใจในเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น เอาไปเลย 9/10รีวิวความประทับใจ-ชวนดูหนัง

ความประทับใจ

ในเรื่องของความประทับใจ ในผลงานหนังเรื่องหมอปลาวาฬก็คงจะเป็นใน เรื่องของการสร้างภาคต่อจากเดิมที่จบเพียงเป็นรักสามเศร้า จ่าลอดก็เลือกครูแก้ว ส่วนหมอปลาวาฬก็ยังคนโดดเดี่ยว ในเรื่องนี้ก็จะเป็น การคลายปมเนื้อเรื่องของหมอปลาวาฬกับจ่าลอดกับการเคยเป็นคนรักเก่า แล้ว จะเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนที่มีแต่ความหวังดีให้กันเสมอมาจะเป็นไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจมาก ๆ เลย ต่อมาอีกหนึ่งความประทับใจก็คือในเรื่อง ของบรรยากาศ ในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ บรรยากาศคือดีปังไม่ไหว ชอบใน ความที่สร้างสรรค์องค์ประกอบต่าง ๆ ในชนบท ให้ดูเรียล และ จริง มันยิ่งสร้างความรู้สึกที่ดีแก่คนดูให้ได้เห็นถึงความเรียบง่าย และ สงบ แต่ก็แอบมีมุมตลกขำขัน หยอกล้อกันมาสร้างความเฮฮาแก่คนดูอีกด้วย บอกเลยว่าภาษาใน การสื่อสารของเรื่องก็น่ารักดีเพราะภาษาอีสานเขามีลูกเล่นที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู และ ตลกด้วย เอาเป็นว่าเพื่อน ๆ อย่าลืมไปตามดูผลงานภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยนะคะ ตอนนี้สามารถรับชมได้ทางทรูไอดี แล้ว น้า

นักแสดง

ฟิฟิม สิริอมร อ่อนคูณฟิฟิม สิริอมร อ่อนคูณ สาวสวยที่มาพร้อมกับคาแรกเตอร์คุณหมอสุดอ่อนโยน ตัวละครหมอปลาวาฬเป็นอีกหนึ่งใน ตัวแสดงหลักที่ทำให้เห็นถึงเรื่องราวของความรักสามเศร้าสุดแสนปวดใจ หมอปลาวาฬก็จะมีนิสัยอ่อนโยน น่ารัก ใจดี เป็นกันเองกับทุกคน ด้วยความที่เป็นหมอ ก็จะมีความยิ้มแย้มแจ่มใส ในผลงานการแสดงเรื่องนี้สาวสวยฟิฟิมสามารถสร้างตัวละครหมอปลาวาฬให้โด่งดังทั่วบ้านทั่วเมือง จนใครไปใครมาไม่เรียกฟิฟิม แล้ว นะ เรียกหมอปลาวาฬแทน ขอบอกเลยว่าใน เรื่องของการแสดงของสาวสวยฟิฟิมเอาไปเลย 8/10

ด้งเด้งด้งเด้ง ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร รับบทเป็น จ่าลอด สารภาพตรงนี้เลยว่าส่วนตัวติดภาพจำจ่าลอดมาตลอดจนลืมชื่อจริง ๆ ไปเลย ในเรื่องนี้จ่าลอดก็จะมีความตรงไปตรงมา ค่อนข้างที่จะเป็นกันเองกับทุกคน เขาคนนี้เป็นอีกหนึ่งคนที่แสนอบอุ่น และ พร้อมจะช่วยเหลือ ทุกคน ด้วยคาแรกเตอร์ จ่าลอดค่อนข้างชัดเลยกลายเป็นที่จดจำในตัวละครหลัก ของไทบ้านเลยก็ว่าได้ ในเรื่องของฝีมือทางด้านการแสดงก็ขอให้คะแนนไปเลย 9/10 เพราะเขาคนนี้แสดงดีจริง ๆ ราวกลับว่าเป็นตัวตน ของเขาจริงเลย ๆ และ ยังสร้างปรากฎการความดังจนทั่วบ้านทั่วเมืองด้วยความเป็นจ่าลอดนี่เอง ดูหนัง

ประเภท: โรแมนติก / ดราม่า
นำแสดงโดย: ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร, สิริอมร อ่อนคูณ, ธันวาพร นาสมบัติ
กำกับโดย: สุรศักดิ์ ป้องศร
ความยาว: 123 นาที
เข้าฉายครั้งแรก: 10 มีนาคม 2565

รีวิว Dark World

รีวิว Dark World

รีวิว Dark World

รีวิวหนังดัง สวัสดีจ้า วันนี้แอดมินมาแนะนำหนัง เกม ล่า ฆ่า รอด หรือ หนังเรื่อง Darl World เป็นหนังไทย หนังเรื่องนี้แอดมินจะมาแนะนำหนัง ที่มีคุณภาพเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ครับ ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นและจบลงด้วยความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจ ผู้คนอยู่อย่างไร้กฎเกณฑ์ คนรวยคือพระเจ้า

คนจนเป็นเพียงทาสรับใช้ คนแข็งแกร่งเท่านั้นที่มีชีวิตรอด ‘เฟียร์’ (ดลลชา ภูวิจารย์ เคาวเวลล์) , ‘ไอรีน’ (อริสรา ทองบริสุทธิ์) และ ‘รัน’ (รักษ์ณภัค วงศ์ธนทัศน์) ในวัยเด็ก ต่างถูกจับให้ลงเล่นในเกมที่จัดขึ้นมาเพื่อสนองความสนุก ความบ้าคลั่งของคนรวย กติกามีเพียงใครแพ้ต้องตาย เว็บหนัง

รีวิว Dark World

รีวิวหนังดัง เฟียร์โดนเพื่อนรักหักหลังจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด 20 ปีผ่านไป โลกที่พวกเธอรู้จักยังโหดร้ายไม่เปลี่ยน 3 สาวต่างมีชีวิตและเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่โชคชะตานำพาให้ทั้งหมดโคจรมาพบกันและต้องลงแข่งในเล่นเกมที่เดิมพันด้วยชีวิตอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ!

หลังจากเคี่ยวกรำประสบการณ์การกำกับหนังแนวตลก ตั้งแต่การร่วมกำกับเป็นครั้งแรกใน ‘ลูกตลกตกไม่ไกลต้น’ (2006) , ‘คู่ก๊วนป่วนเมษา’ (2008) และหนังเรื่องก่อนหน้าอย่าง ‘อีส้มสมหวัง ชะชะช่า’ (2009) มาถึงปีนี้ ‘โน้ตจูเนียร์’ (จิตต์สินธ์ ผ่องอินทรกุล) บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนักแสดงตลกในตำนาน ‘โน้ต เชิญยิ้ม’ ก็กลับมากำกับภาพยนตร์อีกครั้ง โดยคราวนี้เลือกที่จะแหวกแนวมากำกับหนังแนวไซไฟแอ็กชันกลิ่นอายดิสโทเปียใน ‘Dark World’ ‘เกม ล่า ฆ่า รอด’ เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี

รีวิว Dark World

แถมตัวหนังเองก็ยังมีดีกรีได้ไปเดินสายประกวดก่อนฉายจริงในเทศกาลหนังระดับโลก ทั้ง ‘เทศกาลภาพยนตร์แฟนตาสติกนานาชาติปูชอนครั้งที่ 25’ (Bucheon International Fantastic Flim Festival 2021) ที่จัดฉายให้คนเกาหลีใต้ได้ชมพร้อมกับ Q&A แถมยังได้เป็น 1 ใน 9 เรื่องที่ได้เข้าชิงรางวัล ‘Méliès International Festivals Federation (MIFF) Award for Best Asian Film’ (รางวัลภาพยนตร์เอเชียยอดเยี่ยม สมาพันธ์เทศกาลภาพยนตร์แฟนตาสติกนานาชาติ) ก่อนจะได้กลับมาฉายให้คนไทยได้ชมกัน

ตัวหนังว่าด้วยเรื่องของโลกดิสโทเปียหลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 3 จบลง ทำให้เมืองล่มสลาย ผู้คนอยู่อย่างไร้กฏเกณฑ์ คนรวยกลายเป็นพระเจ้า ส่วนคนจนกลายเป็นเพียงของเล่นของคนรวย ‘เฟียร์’ (ดลลชา ภูวิจารย์ เคาวเวลล์) , ‘ไอรีน’ (อริสรา ทองบริสุทธิ์) และ ‘รัน’ (รักษ์ณภัค วงศ์ธนทัศน์) จึงถูกจับให้ลงเล่นเกมที่มีชื่อว่า ‘การค้าประเพณี’ (ไม่ได้เขียนผิดนะครับ ในหนังใช้คำว่าประเพณี ไม่ใช่ประเวณี จริง ๆ นะ) คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ชนะ ส่วนคนที่แพ้ก็ต้องเดิมพันด้วยชีวิต

ในแง่คอนเซปต์โดยรวม ต้องบอกเลยว่าค่อนข้างดีนะครับ สำหรับผู้เขียน หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีความแหวกแนวมาก ๆ ทั้งในแง่ของแนวหนังที่ถือว่าแหวกแนว และไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนักในหนังไทย รวมถึงงานโปรดักชันและโทนหนัง ถือว่าทำได้ดีเลยสำหรับมาตรฐานหนังไทย ดูหนัง

รีวิว Dark World

แต่ปัญหาที่ดูจะเป็นเรื่องหนักหนาที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่มีแรงก็คือตัวบทภาพยนตร์ครับ เพราะโดยรวม ๆ ทั้งเรื่อง ดูเหมือนว่าตัวหนังจะพยายามเอาหนังหลายแบบและหลายแนวมาผสมกัน จะเป็นแนว Survival ก็มี ดิสโทเปียก็เอา แอ็กชันทริลเลอร์ก็มา แนวจิตวิทยาก็มี แนวหนังเฟมินิสต์และเพศหลากหลายก็มาด้วย ก็เลยทำให้ปมหนังในองก์แรกมีหลายตัวละคร และมีปมหลายทิศทางมากเกินไป จนทำให้ปมประเด็นหลักไร้พลังและไปไม่สุดสักทาง

เอาเข้าจริง บางปมของบางตัวละครนี่แทบจะไม่จำเป็นด้วยซ้ำ หรือถ้าจะให้ผู้เขียนพูดแบบใจร้ายก็คือ ตัวละครบางตัวนี่แทบจะตัดออกไปได้เลยครับ เพราะนอกจากจะไม่มีผลต่อเส้นเรื่องแล้ว หลายครั้งปมเรื่องอันแสนยุ่บยั่บของตัวละครที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นก็ดูจะทำให้เรื่องในองก์แรกดูสับสนปั่นป่วนไปหมด แล้วนั่นก็ส่งผลให้ตัวหนังขับเคลื่อนไปแบบสับสน และก็ไม่รู้ว่าจะเอาใจช่วยตัวละครตัวไหนได้บ้าง

ในแง่การแสดงมีให้พูดถึงเยอะมากครับ เพราะด้วยหนังเรื่องนี้มีตัวละครเยอะมากก แต่นักแสดงหลายคนกลับมีบทบาทที่ไม่เข้าที่เข้าทางเอาซะเลย ตัวละครหลายตัวมีปัญหาบ้างล้นบ้างขาด รวมทั้งไดอะล็อกที่ไม่ปะติดปะต่อ และใส่คำคมมากเกินไปจนดูฝืน ๆ ผิดที่ผิดทางไปหมด นอกจากนั้น การแสดงในพาร์ตรวม ๆ รวมถึงการแสดงในฉากแอ็กชันต่าง ๆ ทั้งเรื่องก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีพลังงานเอาซะเลย ยิ่งถ้าเป็นฉากต่อสู้ก็จะยิ่งเห็นว่าเนือยมาก ก็ยิ่งทำให้ตัวหนังดูจะขับเคลื่อนแบบไร้พลังงานซ้ำเติมเข้าไปอีก

สรุปเรื่องราวใน Dark World

รีวิวหนังดัง ผู้เขียนอยากเล่าถึงนักแสดงคนหนึ่งในเรื่องมาก ๆ เลยครับ คือในองก์แรกเนี่ย บอกได้เลยว่าเป็นตัวละครที่ล้นโอเวอร์จนน่ารำคาญมาก ๆ ซึ่งพอตัวละครนี้ตายลง (ตายยังไงขอไม่สปอยล์นะครับ) ผู้เขียนกลับรู้สึกโล่งใจ และพูดกับตัวเองว่า อืม… ตายซะได้ก็ดี ขอบคุณมาก

โดยส่วนตัวผู้เขียนเองไม่ชอบ ‘วิลลี่ แมคอินทอช’ ที่เล่นเป็น ‘เสี่ยกวิน’ ในบทบาทและรูปลักษณ์นี้เลยครับ สำหรับผู้เขียนเอง ฝีมือและการแสดงของพี่วิลลี่คือความหวังหนึ่งเดียวที่ผู้เขียนแอบหวังลึก ๆ ว่าจะทำให้หนังดูดีและมีพลังขึ้นมา แต่กลายเป็นว่า ตัวบทกลับทำให้พี่วิลลี่กลายเป็นเสี่ยที่ดูงง ๆ ไม่เข้าที่เข้าทางซะอย่างนั้น แล้วการเซตให้เสี่ยกวินเป็นไบเซ็กชวล ผ่านการแต่งหน้าสไตล์ Metrosexual เครื่องสำอางหนาเตอะเลอะเต็มหน้าแบบนั้น

คือก็พอจะเข้าใจว่าอยากให้มีกลิ่นอายความหลากหลายทางเพศนั่นแหละนะครับ แต่แทนที่จะออกมาดูเท่ ก็ดันออกมาเป็นตัวร้ายเพี้ยน ๆ ที่ชวนให้นึกถึงตัวละคร ‘Dr. Frank-N-Furter’ ในหนังคัลต์คลาสสิก ‘The Rocky Horror Picture Show’ (1975) อะไรทำนองนั้นซะมากกว่า ส่วนเสี่ยหน้าฝรั่งอย่าง ‘เฮียหม่า’ (เดวิด อัศวนนท์) ก็ดูจะไม่ฉายแววเท่าที่พี่เดวิดควรจะเป็นซะอย่างนั้น

รีวิว Dark World

ส่วนคนที่ผู้เขียนยอมรับว่าไม่ได้หวัง แต่ก็ทำได้ค่อนข้างดี กลับเป็นแซมมี่ (ดลลชา ภูวิจารย์ เคาวเวลล์) ในบท ‘เฟียร์’ ที่ถือว่าทำได้ดีในแง่การรับบทบาทและการแสดงที่ดูขึ้นกล้อง แม้ว่าตัวพล็อตจะยุ่งเหยิงจนทำให้บทบาทของแซมมี่ดูจะมา ๆ หาย ๆ แถมยังมีความซ้ำซ้อนกับตัวละคร ‘รัน’ (รักษ์ณภัค วงศ์ธนทัศน์) ไปบ้าง

แต่ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีในบทบาทที่ได้รับ ส่วนนักแสดงคนอื่น ๆ อย่างเช่น ดิว (อริสรา ทองบริสุทธิ์) ในบท ‘ไอรีน’ แม้ว่าบทบาทจะดูน่าสนใจ ดูขึ้นกล้องที่สุดในเรื่อง และเล่นบทเลิฟซีนได้ดี แต่พอบทส่งอารมณ์กลับดูล้น ๆ ขาด ๆ อย่างน่าใจหาย ส่วนบทเลิฟซีนของทั้งคู่ในแนวเลสเบียน ผู้เขียนดูแล้วคิดว่า ออกจะ “เฉย ๆ ” นะครับ เว็บดูหนัง

และที่สำคัญคือ ตัวเกมทำออกมาได้ไม่สนุกและไม่ชวนลุ้นเอาเสียเลยจริง ๆ ครับ ลำพังแค่กติกาของเกมเองก็ดูยุ่บยั่บและไม่ค่อยเมกเซนส์แล้ว เป็นการละเล่นที่พอนึกว่า ถ้าได้เล่นจริง ๆ คงไม่สนุกเท่าไหร่ บางกติกาก็ออกนอกลู่นอกทางซะเฉย ๆ และพอยิ่งแข่งจริง การแสดง แอ็กชันแปลก ๆ และจังหวะการตัดต่อที่ไม่รู้ว่าจะให้จับไปที่ตรงไหนกันแน่ ก็ยิ่งทำให้กติกาที่ดูยากอยู่แล้ว ยิ่งดูยากและยิ่งชวนสับสนเข้าไปอีก รวมทั้งการพากษ์ตลก ๆ ที่ดูผิดที่ผิดทางกับโทนหนังดาร์ก ๆ ก็ยิ่งทำให้ตัวเกมออกมาดูแห้ง ไม่เร้าใจ และดูไม่สนุกเลย

อีกอย่างที่เป็นปัญหามาก ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้คือการขมวดจบท้ายเรื่องครับ แม้ว่างานเซตติงและโปรดักชันของเกมสุดท้ายจะทำได้ออกมาดูดีมาก แต่ด้วยความที่ตัวหนังมีปมยุ่บยั่บของตัวละครเต็มไปหมด และตอนท้ายก็ดูเหมือนว่าจะพยายามบิดพล็อตให้ออกมาเป็นทรงหนังแนว ‘Femme Fatale’ (เฟม เฟอตาล)

หรือแนว “ผู้หญิงตัวร้าย” ไปเสียอีก ทำให้กลายเป็นว่า ตัวหนังที่ปูเรื่อง ปูพล็อต ปมปัญหาทั้งหมดของตัวละครมากมายมาตั้งนมนาน กลับล่มสลายพังทลายไปเสียสิ้น กลายเป็นการขมวดจบที่นอกจากจะดูคุ้น ๆ แล้ว ยังเป็นการขมวดจบแบบที่ทิ้งทุกสิ่งอย่างไปง่าย ๆ เหมือนโดนกดปุ่มรีเซตเสียอย่างนั้น

รีวิว Unbelievable

รีวิว Unbelievable

รีวิว Unbelievable

วันนี้มีหนังมารีวิวหนังสะเทือนใจ หดหู่ ที่จะทำให้ทุกคนที่ดูดรู้สึกหดหู่มาก หนังไทยnetflix แอดคิดพักหลังๆนี้ รู้สึกว่าหนัง Netflix จะมีหนังมาแรงหนังเด็ดๆหนังสนุกๆมากมาย แอดเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงคิดเหมือนกันว่า Netflix สตรีมมิ่งคอนเทนท์ยอดนิยม เริ่มที่จะมีซีรีส์ที่เริ่มตัน และ หมดความสนุกขึ้นเรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีซีรี่ย์ให้เราเลือกรับชมกันแบบมากมายอยู่ดี ซึ่งวันนี้เราจะขอมาพูดถึงเรื่อง Unbelievable

ซีรี่ย์ดราม่าน้ำดี สร้างจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของสหรัฐอเมริกา ที่พูดถึงเด็กสาว “มารี แอดเลอร์” และ เด็กหญิงอีกหลายๆ คนในเมืองที่อยู่ห่างกันออกไปของรัฐ Colorado ที่ถูก “ข่มขืน” และ มีการเข้าแจ้งความทุกคน แต่ประเด็นคือในกรณีของ มารี ดันไม่มีใครเชื่อ และ เริ่มสงสัยในตัวมารีเอง ว่าจริงๆ แล้ว เธอถูก “ข่มขืน” จริงหรือไม่?? เนื่องจากทั้งพฤติกรรมอันแปลกแยกของเธอ และ เรื่องราวปมด้อยในจิตใจที่ทำให้เด็กสาวคนนี้กลายเป็น “เด็กมีปัญหา” เว็บหนัง

รีวิว Unbelievable

รีวิวหนังดัง ในขณะที่ครอบครัวอุปถัมภ์ของมารี แอดเลอร์ ทั้งพอเลี้ยง และ แม่เลี้ยง รวมถึงเพื่อนๆ เธอที่โรงเรียน ต่างพากันเห็นอกเห็นใจมารี แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเธอแสดงออกถึงพิรุธบางอย่าง และ เจ้าหน้าที่สืบสวนบีบคั้นให้เธอต้องบอกความจริงว่าจริงๆ แล้ว เธอถูกข่มขืนจริงๆ หรือไม่ มารีกลับให้ตัวเองยอมโดนข้อหา “แจ้งความเท็จ” ว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้ถูกข่มขืน แต่เป็นเรื่องราวที่เธอคิดขึ้นมาเองเพื่อเรียกร้องความสนใจทุกๆ คนเท่านั้น จนกระทั่งมารีก็ถูกมองว่าเป็นคนที่ “โกหก” ในสายตาของทุกๆ คน ทั้งยังเป็นประเด็นให้เธอต้องคอยไปศาลเพื่อตัดสินโทษของเธอ

ฟังดูแล้วเหมือนเรื่องจะจบลง แต่ในขณะเดียวกัน ในเมืองอื่นๆ ที่ให้เคียงกัน ก็มีทั้งเด็กหญิง และ คนแก่ ที่ตบเท้าเข้าแจ้งความว่าตนเองโดนข่มขืนในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย เจ้าหน้าที่สืบสวนต่างเมืองอย่าง Grace Rasmussen และ Karen Duvall เริ่มเห็นถึงความเชื่อมโยงบางอย่าง จึงร่วมกันสืบสวน แม้โดยส่วนใหญ่แล้ว คดีที่ต่างเมืองกันในลักษณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างพื้นที่จะไม่ค่อยทำงานร่วมกันก็ตาม

คืนนั้นเธอถูกข่มขืน และ ถูกกล่าวหาว่าสร้างเรื่องที่ถูกข่มขืนขึ้นมา แถมยังโดนฟ้องข้อหาแจ้งความเท็จ เธอสูญเสียความไว้ใจจากคนรอบตัว สูญเสียโอกาสในสังคม สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง และ ต้องอยู่กับความรู้สึกไร้ค่า สงสัยในตัวเองตลอดเวลา จนกระทั่ง 3 ปีผ่านไป ผลการสืบสวนของตำรวจในคดีข่มขืนจากอีกฝั่งหนึ่งของประเทศ ได้ยืนยันว่าทั้งหมดที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง คืนนั้นเธอถูกข่มขืนจริงๆ และ โจรข่มขืนคนนั้นยังก่อคดีกับคนอื่นนอกจากเธอ

รีวิว Unbelievable

นั่นคือเรื่องราวของ มารี แอดเลอร์ (Marie Adler) ตัวละครในซีรีส์ ‘Unbelievable’ ที่เพิ่งเข้าฉายใน Netflix เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซีรีส์ 8 ตอนเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากงานเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ An Unbelievable Story of Rape โดย Ken Armstrong และ T. Christian Miller ที่ถ้าคุณกดเข้าไปอ่าน คุณจะพบว่าเรื่องราวเหลือเชื่อในซีรีส์เรื่องนี้ถอดมาจากเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง

เรื่องเริ่มด้วยคดีของเด็กผู้หญิงที่ถูกข่มขืน แต่ขาดหลักฐานที่แน่นหนา มีเพียงคำให้การที่ไม่ชัดเจนของเหยี่อที่กำลังสับสน ประกอบกับเด็กมีแนวโน้มจะเป็นเด็กมีปัญหา สุดท้ายเลยกลายเป็นการกล่าวหาว่าเด็กกุเรื่องขึ้นมาว่าถูกข่มขืน ซ้ำร้ายยังโดนฟ้องข้อหาแจ้งความเท็จ ทั้งที่ปกติตำรวจก็ไม่ค่อยจะให้คดีแบบนี้ขึ้นโรงขึ้นศาลเท่าไรนัก ผ่านไปสามปี ปรากฏว่ามีเหตุการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้นอีกในที่อื่นๆ แต่ครั้งนี้มีตำรวจสองสาวที่กัดไม่ปล่อย ตามหาหลักฐาน และ ปะติดปะต่อข้อมูล จนสุดท้ายจับโจรข่มขืนต่อเนื่องคนนี้ได้

เป็นความจริงในโลกความจริงที่ว่า คดีล่วงละเมิดทางเพศมักไม่ได้รับความสนใจ และ ให้ความสำคัญเท่ากับอาชญากรรมประเภทอื่นๆ ดูจากสถิติล่าสุดในสหราชอาณาจักรฯ พบว่ามีเพียง 919 รายจาก 60,000 คดีที่ถูกตัดสินโทษ (1.5%) ขณะที่ในสหรัฐฯ ยิ่งเลวร้ายกว่า เมื่อพบว่ามีเพียง 5 จาก 1,000 คดี (0.5%) เท่านั้นที่ผ่านการตัดสินคดี ส่วนที่เหลือ

บ้างถูกมองเป็นกรณีสมยอม หรือไม่ก็ถูกกล่าวหาว่าโกหก เนื่องจากขาดหลักฐานที่ชัดเจน ความหละหลวมนี้ยังส่งผลให้การข่มขืนเป็นความผิดที่ ‘คิดว่าทำได้’ และ การล่วงละเมิดทางเพศกลายเป็นเหตุที่เกิดเป็นปกติ ขนาดที่ตัวละครในซีรีส์อย่างแม่หรือเพื่อนแม่หลายคนก็เผยว่าเคยเจอมาเหมือนกัน ดูหนัง

สรุปใน Unbelievable

รีวิวหนังดัง แต่ Unbelievable ไม่ได้มัวเสียเวลาแฉความล้มเหลวของระบบยุติธรรมในเรื่องนี้มากนัก เพียงแต่สอดแทรกเนื้อหา และ บทสนทนาที่มากพอจะทำให้คนดู ‘รู้กันว่า’ สิ่งนี้เกิดขึ้น และ เป็นอุปสรรคสำหรับการให้ความเป็นธรรมกับเหยื่อจากคดีล่วงละเมิดทางเพศ ส่วนเรื่องราวของซีรีส์นั้นกลับมุ่งไปที่การจัดการกับอุปสรรคนี้ และ ‘get the job done’ (ทำงานให้ลุล่วง) มากกว่า เนื้อหาที่ครอบครองเวลาส่วนใหญ่ของซีรีส์เลยเป็นขั้นตอนการทำงานของตำรวจที่เต็มไปด้วยคำถาม ข้อสันนิษฐาน และการตามหาความจริง

สิ่งที่น่าสนใจคือเราจะได้เห็นการสอบสวนบนพื้นฐานของข้อมูลตลอดเรื่อง ยิ่งดูไปหลายๆ ตอน จะเห็นว่าทีมสอบสวนใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ตรงหน้า ประกอบกับความความช่างสงสัยและการตั้งคำถามที่เกิดขึ้นตลอดเวลา มาขุดหาข้อมูลต่อเรื่อยๆ โดยไม่ด่วนสรุป และแม้จะมีเทคโนโลยีล้ำๆ แต่ตัวละครก็จะย้ำเสมอว่า “The data I generate is as good as the data I’ve received.” (ข้อมูลที่ฉันสร้างมาจากการสืบสวนนั้นดีเท่ากับข้อมูลที่ฉันได้รับมา)

ข้อมูลที่สำคัญส่วนหนึ่งนั้นมาจากคำให้การของเหยื่อ ซึ่งซีรีส์ก็ให้เวลากับการพูดคุยกับเหยื่อค่อนข้างมาก รวมถึงให้ความสำคัญกับการใช้คำพูดและน้ำเสียงของตำรวจสอบสวน การอธิบายขั้นตอนการดำเนินการสอบสวนต่างๆ อย่างละเอียด การให้พื้นที่และเวลาสำหรับเหยื่อในการอธิบายเพื่อเก็บข้อมูล การช่วยปะติดปะต่อความทรงจำในช่วงเวลาที่ยากลำบากและอยากจะลืมเลือน จน The Guardian ถึงกับบอกว่าซีรีส์นี้อาจเป็นวิดีโอฝึกหัดสำหรับตำรวจที่ต้องไปสอบสวนคดีล่วงละเมิดทางเพศได้เลย แนวคิดในการรับฟังและให้พื้นที่กับคำพูดของเหยื่อนี้ ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากบทความต้นทางที่นักสืบในคดีที่เกิดขึ้นจริงบอกว่า กฎของการสืบสวนของเธอคือ “listen and verify” (ฟังและยืนยัน)

นอกจากนี้ ซีรีส์ยังมีการอธิบายกระบวนการสืบสวนสอบสวนยากๆ ให้เข้าใจง่าย เช่น การตรวจโครโมโซมวาย หรือการรันซอฟต์แวร์หาป้ายทะเบียนรถ ผ่านตัวละครเด็กฝึกงานในทีมที่น่าจะเป็นเหมือนเราคนดูที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการสืบสวนสอบสวนมากนัก แต่หัวหน้าก็จะคอยอธิบายขั้นตอนยากๆ ให้ฟังเมื่อถึงเวลา

รีวิว Unbelievable

อย่างไรก็ตาม โลกคู่ขนานของกระบวนการยุติธรรมก็ถูกนำมาตีแผ่ในเรื่องนี้ด้วย เพราะในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายดำเนินไป กลายเป็นว่าขั้นตอนการบังคับใช้นั้นกลับเป็นอาวุธในการทำร้ายเหยื่อ อย่างการซักถามเหยื่อเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายรอบเพื่อค้นหาความจริง หรือการรื้อคดีเก่าเพื่อหาหลักฐานให้คดีใหม่ ทำให้เหยื่อต้องเล่นซ้ำความทรงจำอันบอบช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า จนมีหนึ่งในตัวละครถึงกับพูดว่า “ครั้งแรกเธอโดนทำร้ายโดยโจรข่มขืน แล้วเธอก็โดนข่มขืนซ้ำอีกครั้งด้วยกระบวนการยุติธรรม”

ช่องว่างของระบบเองก็ถูกเล่าผ่านซีรีส์เรื่องนี้ ด้วยการที่คนร้ายทั้งในซีรีส์และในคดีจริงให้สัมภาษณ์หลังถูกจับกุมว่า เขาเรียนรู้วิธีทำงานของตำรวจผ่านตำราที่หลุดออกมาในตลาดมืด ทำให้รู้วิธีจัดการกับหลักฐานหรือแม้แต่หนังสืบสวนอย่าง CSI ที่ในซีรีส์เองก็แซวว่า แค่ดูก็รู้แล้วว่าตำรวจทำงานยังไง แถมรู้ด้วยว่าไม่มีการสื่อสารกันระหว่างตำรวจต่างพื้นที่ และไม่มีการเชื่อมข้อมูลกัน ทำให้ผู้ต้องหาเห็นช่องว่างและวางแผนที่จะลงมือข้ามเขตเพื่อไม่ให้ถูกจับได้

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือที่เราได้ยินประโยค Good Cops, Bad Cops กันบ่อยๆ แต่จากซีรีส์เรื่องนี้ แน่นอนว่าตัวอย่างของตำรวจที่ดีนั้นถูกเล่าผ่าน 2 นักสืบสาวที่ทำงานอย่างจริงจัง กัดคดีนี้ไม่ปล่อย และทุ่มเทสู้เพื่อเหยื่ออย่างแท้จริง แต่ในส่วนของตำรวจเลวนั้น ซีรีส์ทำให้เราเห็นว่าอาจจะไม่ต้องถึงขั้นเก็บส่วย รับสินบน คอร์รัปชั่น หรือทำความผิดร้ายแรงอะไรขนาดนั้น

แต่การเป็นตำรวจที่ละเลยหรือผ่อนปรนต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรืออาจจะทำพลาดเพียงครั้งเดียว แต่ผลแห่งความผิดพลาดครั้งนั้นได้สร้างความเสียหาย ทำลายชีวิตคนอื่นทั้งชีวิตหรืออีกหลายชีวิต แบบที่ปล่อยให้โจรข่มขืนหลุดจากคดีแรกไปได้ แล้วกลายเป็นโจรข่มขืนต่อเนื่องจนมีเหยื่อที่ต้องรับกรรมอีกหลายคน ตำรวจที่บกพร่องในหน้าที่แบบนี้ก็อาจจะกลายเป็นตำรวจเลวแม้ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

แม้ในเรื่องนี้จะไม่มีการขยี้เรื่องของการโทษเหยื่อ (victim blaming) มากนัก แต่คำให้การของเหยื่อต่อศาลในตอนท้ายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตั้งคำถามว่าพวกเธอทำผิดอะไร ทำไมต้องเป็นเธอ การรดน้ำในสนามหญ้าหน้าบ้านนั้นผิดไหม การนั่งอ่านหนังสือริมหน้าต่างผิดหรือเปล่า ก็ดูจะเป็นการโทษตัวเองที่แสนจะเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน

สุดท้ายแล้ว Unbelievable จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวของเด็กผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่ากุเรื่องข่มขืน แต่ยังเป็นซีรีส์ที่แสดงให้เห็นถึงทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรม ความละเลยเพิกเฉย และเสียงที่ดังไม่เท่ากันในสังคม รวมถึงความสูญเสียที่เกิดจากการกระทำชั่วข้ามคืน แต่ส่งผลกับโลกทั้งใบและชีวิตทั้งชีวิตของพวกเธอผู้เป็นเหยื่ออีกด้วย เว็บดูหนัง

รีวิว Father Stu

รีวิว Father Stu

รีวิว Father Stu

วันนี้มารีวิวหนังฝรั่ง วันนี้มารีวิว หนังไทยnetflix เรื่อง Father Stu เป็นหนังชีวิต จากเหตุการ์ณจริง ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงของการเดินทางที่ไม่น่าจะเป็นไปได้จากนักมวยสู่นักบวช เป็นโครงการที่หลงใหลใน Mark Wahlberg และ Mel Gibson ทั้งคู่เป็นชาวคาทอลิกผู้เคร่งศาสนา และบางครั้งปัญหาของโปรเจ็กต์ความรักก็คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่พวกเขาต้องการจะเล่าไม่จำเป็นต้องเป็นข้อความที่พวกเขาต้องการนำเสนอ ดูได้ที่ เว็บดูหนัง

รีวิว Father Stu

รีวิวหนังดัง และพ่อ Stu ตัวจริงเริ่มต้นชีวิตในฐานะ Stu Long ลูกชายของพ่อที่ไม่เหมาะสมซึ่งส่วนใหญ่ไม่อยู่ (Mel Gibson เป็น Bill) และแม่ที่มีความหมายดี แต่ไร้ประสิทธิภาพ (Jacki Weaver เป็น Kathleen) เราเหลือบมอง Stu ในช่วงเวลาสั้นๆ ในวัยเด็ก พยายามขอความเห็นชอบจากพ่อของเขาในขณะที่เขาเลียนแบบเอลวิส เพรสลีย์ จากนั้นเราก็ข้ามไปที่ Stu

ซึ่งปัจจุบันเล่นโดย Wahlberg ในฐานะนักมวยที่มีอาการบาดเจ็บมากกว่าถ้วยรางวัล และ ถ้วยรางวัลมากกว่าเงิน สตูมีความมุ่งมั่นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางการอุทิศตนเพียงคนเดียวไปยังเป้าหมายที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาตัดสินใจไปฮอลลีวูดเพื่อเป็นดาราภาพยนตร์ ที่นั่นเขาเห็นสาวสวยคนหนึ่งชื่อคาร์เมน (เทเรซา รุยซ์)

ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับคริสตจักรคาทอลิก ตอนแรก เขาแสร้งทำเป็นสนใจที่จะเข้าใกล้เธอ แต่ในที่สุด หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์อย่างร้ายแรง เขาตระหนักว่าเขาได้รับเรียกสู่ฐานะปุโรหิต

มีฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่สตูซึ่งกำลังศึกษาแต่ยังไม่ได้บวช ไปเยี่ยมเรือนจำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกของเขา พร้อมด้วยเพื่อนเซมินารีที่อยู่ในภาพยนตร์เพียงเพื่อเปรียบเทียบ ในขณะที่ Stu เป็นคนใจร้อน มั่นใจ และตรงไปตรงมา แต่ใจกว้าง นักเซมินารีอีกคนก็ขยัน มีสติสัมปชัญญะ

รีวิว Father Stu

และ เมื่อพูดถึง Stu ก็วางตัว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Stu สามารถเชื่อมต่อกับชายในคุกได้ง่ายกว่านักเรียนที่ศักดิ์สิทธิ์กว่าเจ้าอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่ฉากแรกนี้แสดงให้เราเห็นว่าหลวงพ่อสตูเชื่อมโยงกับผู้อื่นอย่างไรในการแบ่งปันความเชื่อของเขานั้นใช้เวลานานมากกว่าจะมาถึง

และ จบลงอย่างรวดเร็ว ปฏิสัมพันธ์ของเขากับพระคุณเจ้าเคลลี่ที่ดื้อรั้นและขี้สงสัย อธิการของเซมินารี (มัลคอล์ม แมคโดเวลล์) ก็ไม่น่าพอใจเช่นกัน เพราะเราไม่เคยเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไรหลังจากที่สตูเกลี้ยกล่อมให้เขาลงทะเบียนเรียน

วิธีที่คุณพ่อสตูเป็นนักบวชสำคัญกว่าวิธีที่เขาไปถึงที่นั่น แต่การไปถึงที่นั่นเป็นวิธีที่ภาพยนตร์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไป และแม้แต่พรสวรรค์ของดาราหนังและรอยยิ้มที่ไม่อาจต้านทานของ Wahlberg ก็ไม่สามารถทำให้ส่วนนั้นของภาพยนตร์ใช้งานได้ ความท้าทายในการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตในภาพยนตร์ความยาว 2 ชั่วโมงคือการเลือกช่วงเวลาที่มีความต่อเนื่องมากที่สุด

และขจัดส่วนที่เบี่ยงเบนความสนใจจากธีม สตูในชีวิตจริงต้องเผชิญกับความยุ่งยากและความท้าทายมากมาย แต่ดูเหมือนว่าบทจะได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความสนุกสำหรับกิบสันและวอห์ลเบิร์กที่จะแสดง นอกจากนี้ยังมีการหมกมุ่นอยู่กับการเสียเนื้อหนังมากกว่าที่จะขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้าโดยทำให้การพัฒนาทางจิตวิญญาณของ Stu กระจ่างแจ้ง ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022

ฉากอื่นๆ ทำให้ความคืบหน้าของเรื่องยุ่งเหยิงและไม่เหมาะกับการพรรณนาถึงคุณค่าของสตูอย่างที่หนังคิด เขาไม่เคยรับผิดชอบในการทำร้ายคาร์เมนหลังจากที่เธอคิดว่าพวกเขาจะแต่งงานกัน เซมินารีอีกคนหนึ่งสารภาพกับคุณพ่อ Stu ว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าถูกเรียกให้เข้าสู่ฐานะปุโรหิตจริงๆ

แต่การสนทนาถูกนำเสนอเป็นชัยชนะบางอย่างสำหรับ Stu มากกว่าเป็นวิธีที่ Stu จะให้คำแนะนำแก่บุคคลที่ขอความช่วยเหลือจากเขา นอกจากนี้เรายังได้รับการต้อนรับจาก Stu ตัวจริงในเรื่องเครดิตและฉากพิเศษที่น่ายินดีน้อยกว่ากับ Wahlberg เพื่อเตือนเราถึงการผจญภัยที่โง่เขลาของ Stu ก่อนรับสาย

นักบุญออกัสตินกล่าวอย่างมีชื่อเสียงว่า “ให้พรหมจรรย์และความต่อเนื่องแก่ฉัน แต่ยังไม่ถึงเวลา” นั่นดูเหมือนจะเป็นแนวทางของ Wahlberg (ผู้ให้เงินสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อเขาไม่สนใจสตูดิโอ) และ Gibson (ซึ่งคู่รักโรแมนติกอย่าง Rosalind Ross เขียนและกำกับการแสดง อาจเป็นเหตุผลที่เขาได้รับอนุญาตให้แสดงเกินเลยไปตลอด) ดูหนัง

บทสรุปใน Father Stu

รีวิวหนังดัง ดังที่บางครั้งเราเห็นผู้คนที่ยึดมั่นในศาสนาที่มีโครงสร้างสูง กิบสันและวอห์ลเบิร์กมีความสนใจในส่วนที่ “ยังไม่เป็น” ของเรื่องที่ทำบาปมากกว่า ซึ่งแสดงด้วยความเพลิดเพลินที่เพิ่มขึ้นซึ่งไม่สมดุลกับฉากการไถ่บาป สิ่งนี้บ่อนทำลายข้อความที่พวกเขาพยายามส่ง คุณพ่อสตูเข้าใจวิธีเชื่อมต่อกับผู้คลางแคลงและผู้ไม่เชื่อ แทนที่จะเข้าถึงผู้ฟังในวงกว้าง Wahlberg และ Gibson เทศนากับคณะนักร้องประสานเสียง

กระนั้น”ฉันกำลังเรียกมันว่าตอนนี้ Wahlberg กำลังได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สำหรับบทบาทของเขาในฐานะ Father Stu ของเขา” เป็นเวลาหกปีที่ Wahlberg ถูกผลักดันให้เล่าเรื่องของ Father Stu ว่าเขาให้ทุนกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตนเอง เขาบอกว่าเขาใช้เงิน “หลายล้านเหรียญ” เพื่อสร้างมันขึ้นมา ไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

Wahlberg ได้รับ 30 ปอนด์สำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา “Father Stu” เพื่อเพิ่มน้ำหนัก นักแสดงเริ่มต้นด้วยแผนอาหารเริ่มต้น 7,000 แคลอรีต่อวันสองสัปดาห์ จากนั้นในช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 11,000 แคลอรีต่อวัน

ซึ่ง เบคอนหลายสิบชิ้น ข้าวขาวสองชาม น้ำมันมะกอกหนึ่งถ้วยสำหรับเริ่มเช้าวันใหม่” เขากล่าว “เพิ่มไข่ สเต็กพอร์เตอร์เฮาส์ นั่นคือเจ็ดถึงแปดมื้อต่อวันของสิ่งนี้”

การเพิ่มน้ำหนักเป็นแง่มุมหนึ่งของการแสดง แต่ Wahlberg ตั้งข้อสังเกตว่าเขารู้สึกว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะแสดงให้ผู้ชมเห็นว่า Long เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดในตอนจบของชีวิตของเขา “ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับ Stu ถูกกำหนดโดยสภาพร่างกายของเขา การได้เห็นเขาสูญเสียสิ่งนั้นไปแต่การได้รับความแข็งแกร่งของชายพันคนทางจิตวิญญาณ มันช่างเหลือเชื่อ ฉันต้องการให้ผู้ชมเห็นและเข้าใจมัน” เขาอธิบาย

รีวิว Father Stu

สร้างจากเรื่องจริง Father Stu เป็นละครที่ตรงไปตรงมา ตลก และยกระดับจิตใจในท้ายที่สุดเกี่ยวกับวิญญาณที่หลงทางซึ่งพบจุดประสงค์ของเขาในที่ที่คาดไม่ถึงที่สุด เมื่ออาการบาดเจ็บทำให้อาชีพชกมวยสมัครเล่นจบลง สจ๊วร์ต ลอง (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ก็ย้ายไปแอล.เอ.

ด้วยความฝันการเป็นดารา ระหว่างทำงานเป็นเสมียนในซูเปอร์มาร์เก็ต เขาได้พบกับคาร์เมน (เทเรซา รุยซ์) ครูโรงเรียนสอนศาสนาคาทอลิกในวันอาทิตย์ที่ดูเหมือนจะไม่หลงเสน่ห์เด็กเลวของเขา ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเธอ ผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าที่คบหามายาวนานจึงไปโบสถ์เพื่อสร้างความประทับใจให้เธอ

แต่การรอดชีวิตจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ครั้งใหญ่ทำให้เขาสงสัยว่าเขาจะใช้โอกาสครั้งที่สองเพื่อช่วยคนอื่นหาทางได้หรือไม่ ซึ่งนำไปสู่ความตระหนักที่น่าแปลกใจว่าเขาตั้งใจจะเป็นบาทหลวงคาทอลิก

แม้จะมีวิกฤตด้านสุขภาพที่ร้ายแรงและความสงสัยของเจ้าหน้าที่ศาสนจักรและพ่อแม่ที่เหินห่าง (เมล กิ๊บสันและแจ็คกี้ วีเวอร์) สตูแสวงหาอาชีพของเขาด้วยความกล้าหาญและความเห็นอกเห็นใจ ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนใกล้ชิดเขาเท่านั้นแต่ยังมีคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนตลอดเส้นทาง ไปดูกันเลยที่

มาร์ค วอห์ลเบิร์กและเมล กิ๊บสันแสดงนำในเรื่องจริงที่เหลือเชื่อนี้ ที่จะทำให้คุณสะอื้นไห้เมื่อไฟเปิดขึ้น ตั้งแต่ฉากแรกจนถึงตอนจบของเครดิต มันเหมือนกับว่าคุณอยู่ในห้องที่กำลังดูพวกเขาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้

และFather Stu ไม่ใช่หนังพื้นฐานความเชื่อธรรมดาของคุณ แต่ได้รับเรท R สำหรับภาษาตลอด และบอกตามตรงว่าหนังเรื่องนี้อาจต้องการมัน นี่ในความคิดของฉันน่าจะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีกว่าของ Mark ในรอบหลายปีและเหมือนกันกับ Mel หนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของเขาในรอบหลายปี พวกเขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมด้วยตัวของพวกเขาเอง แต่ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่พวกเขาทำร่วมกันเป็นผลงานชิ้นเอก

อย่างที่ฉันบอกไปว่านี่คือเรท R ดังนั้นอย่าคิดว่าเป็นภาพยนตร์สำหรับครอบครัว และฉันเดาว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับความเชื่อ แต่ใช้ภาษาได้มากมาย ฉันขอแนะนำให้ดูหลวงพ่อสตู

ความรู้สึกหลังดู

ความจริงนั้นแปลกกว่านิยาย ฉันชอบหนังเรื่องนี้แต่อยากให้มีซับไตเติล บางครั้งตัวละครบางตัวก็พึมพำถึงขนาดถึงแม้จะปิดฉากสุดโต่งโดยไม่มีสิ่งรบกวนสมาธิ แต่หลายครั้งฉันก็ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังพูด ฉันเริ่มสงสัยว่ามีอะไรผิดปกติกับความสามารถในการติดตามภาพยนตร์ของฉันหรือไม่ จนกระทั่งเมื่อฉันเข้าไปในห้องน้ำ ฉันได้ยินทุกคนในนั้นพูดแบบเดียวกัน ปัญหาบางอย่างอาจเกี่ยวกับคำแสลงที่ไม่คุ้นเคย แต่ส่วนใหญ่เป็นวิธีการออกเสียงคำนั้น อย่าปล่อยให้สิ่งนั้นหยุดคุณไม่ให้เห็น ยังคงคุ้มค่าที่จะเห็น

ฉันชอบหนังเรื่องนี้มาก และ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้รับการจัดอันดับให้ต่ำเหมือนที่นักวิจารณ์ เป็นผลงานที่ดีที่สุดของ Wahlberg ในภาพยนตร์ที่ฉันเคยดู การแสดงอื่นที่ฉันชอบคือกิบสัน เขาเล่นเป็นพ่อของเขาและเป็นคนติดเหล้าเนื่องจากสูญเสียลูกชายคนสุดท้อง และ ดื่มบาดแผลออกไป เขาเล่นบทนี้ได้ดีมาก และฉันก็เห็นใจเขาจริงๆ ห่วงใยตัวละครของเขาอย่างสุดซึ้ง

และต้องการให้เขาจุดไฟความสัมพันธ์ของเขากับ Stu ลูกชายของเขาอีกครั้ง การแสดงของเขาทำให้ฉันนึกถึง Nick Nolte ใน Warrior ที่เล่นเป็นพ่อที่เมาและหัก เนื้อเรื่องโดยรวมมีความน่าสนใจและไม่เคยรู้สึกว่าถูกดึงออกมา นี่เป็นเพราะมีเวลาหน้าจอที่เหมาะสมในแต่ละส่วนสำคัญในชีวิตของเขา

สำหรับฉัน การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขารู้สึกมีพลังมากขึ้น เพราะทันทีที่คุณเข้าใจตัวละครตัวนี้มากขึ้น เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตก็เกิดขึ้นกับ Stu และเขาก็ก้าวหน้าในฐานะตัวละครมากยิ่งขึ้นไปอีก การถ่ายภาพยนตร์ค่อนข้างมาตรฐานและมีช็อตที่ดีบางส่วนที่นี่และที่นั่น

แต่ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่คุณคาดหวังสำหรับภาพยนตร์ฮอลลีวูด ฉันคิดว่าทุกคนคงจะสนุกกับภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะมันสร้างจากเรื่องจริงที่ทำให้ฉันสนใจมากขึ้นสำหรับภาพยนตร์ในธีมนี้ มันสร้างจากเรื่องจริงของนักมวยคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้เกษียณจากอาการบาดเจ็บและสมองเสียหาย เขาต้องการแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ และหยิ่งทะนงในเรื่องนี้ เว็บหนัง