Category Archives: รวมรีวิว

รีวิว Maleficent: Mistress of Evil

รีวิว Maleficent: Mistress of Evil

รีวิว Maleficent: Mistress of Evil

รีวิวหนังดัง นี่คือการกลับมาของ Maleficent หลังจากที่ห่างหายกันไปนานถึง 5 ปี ในที่สุด ปี 2019 ก็ได้ปลดปล่อยภาคต่อสุดอลังการมาแล้วครับ เป็นหนังสร้างปรากฏการณ์ของดิสนีย์ ที่หยิบนิทานคลาสสิก Sleeping Beauty (เจ้าหญิงนิทรา) มาตีความใหม่ แล้วประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด กวาดรายได้ไปแบบถล่มทลายถึง 758 ล้าน จากทุนสร้าง 180 ล้าน แล้วแองเจลินา โจลี่ ก็ได้บทบาทที่เป็นไอคอนจดจำของฮอลลีวู้ดไปอีกยาวนาน แต่กระนั้นดิสนีย์ก็ยังเว้นช่วงไปถึง 5 ปี กว่าจะได้ฤกษ์คลอดภาค 2 ออกมาในปีนี้ เป็นปีที่หนังจากค่ายดิสนีย์อัดแน่นกันถึง 10 เรื่อง

เนื้อหาในภาคนี้ก็เขียนให้เรื่องราวห่างกับภาคแรกไว้ 5 ปีเช่นกัน ออโรร่าเติบโตขึ้นเป็นสาววัย 21 ปี เธอก้าวจากเด็กสาวมาเป็นราชินีผู้ปกครองดินแดนมัวร์เต็มตัว หลังจากหมั้นหมายกับเจ้าชายฟิลิปส์ในภาคแรก พอมาถึงภาคนี้เจ้าชายฟิลลิปส์ก็ขอเจ้าหญิงออโรร่าแต่งงานอย่างเป็นทางการ หนังไทยมาใหม่

รีวิว Maleficent: Mistress of Evil

รีวิวหนังดัง ตามเนื้อหาที่เราเห็นในตัวอย่างมาเลฟิเซนต์ไม่เห็นชอบด้วย แต่ด้วยความรักที่เธอมีต่อออโรร่าจึงยินยอมออกงานพิธีเป็นครั้งแรก ด้วยการทำหน้าที่พระมารดาของออโรร่าไปเป็นแขกรับเชิญของพระราชา และ พระราชินีแห่งเมืองอัลสตีด ระหว่างการพูดคุยบนโต๊ะอาหาร ก็เกิดเหตุให้ขัดข้องใจทำให้มาเลฟิเซนต์บันดาลโทสะ แปลงร่างเข้าสู่โหมดร้าย ทำลายข้าวของ บริวาร แล้วบินออกไป ดูหนัง

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวแค่ในช่วง 15 นาทีแรกของหนัง ที่นำมาเสนอในตัวอย่างหนัง ทำให้ดูเหมือนว่ามาเลฟิเซนต์จากนางพญาปิศาจที่เริ่มมีจิตใจอ่อนโยนมากขึ้นแล้วในภาคแรก จะกลับมาร้ายอีกครั้งแล้วทำศึกกับอัลสตีด และ ลูกสาวตัวเอง แต่หนังก็ยังวางบทบาทของราชินีอิงกริต บทบาทของ มิเชล ไฟเฟอร์ ให้ดูเคลือบแคลงเหมือนมีแผนการร้ายซ่อนอยู่ ซึ่งในหนังจริงก็ไม่ได้เก็บงำข้อสงสัยนี้ไว้เป็นไม้เด็ดแต่อย่างไร แต่เล่ากันแบบง่าย ๆ ตรง ๆ เผยตัวตนคนร้ายตั้งแต่ต้นเรื่องกันไปเลย

ลินดา วูลเวอร์ตัน มือเขียนบทจากภาคแรกกลับมาสานต่อหน้าที่เดิม แถมด้วยคู่หูนักเขียนบท โนอาห์ ฮาร์ปสเตอร์ และ มิคา ฟิตเซอร์แมน-บลู มาร่วมเขียนด้วย แนวทางของภาค 2 พาบรรยากาศหนังออกห่างไกลจากภาคแรกมาก ประเด็นแรกที่หนังเลือกเน้นในเรื่องสงครามระหว่างเมืองอัลสตีด และ “ดาร์กเฟย์” ชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ของเทพมีปีก พี่น้องของมาเลฟิเซนต์ ที่สืบเชื้อสายมาจากนกฟินิกซ์

ก็ต้องยอมรับว่าเส้นเรื่องในภาคนี้เดินหน้าไปแบบเข้มข้นดุเดือด ไม่ต้องอิงเทพนิยาย “เจ้าหญิงนิทรา” แบบภาคแรกอีกต่อไป แล้วไม่ต้องเสียเวลาแนะนำบรรดาตัวละครอีกแล้วด้วย แต่เมื่อว่าด้วย “สงคราม” ในหนังดิสนีย์ ก็ย่อมเต็มไปด้วยฉากต่อสู้ และ สังหาร ที่นับว่าสุ่มเสี่ยงพอควรกับการหยิบประเด็นนี้มาเล่นในหนังที่พะยี่ห้อ “ดิสนีย์” ซึ่งหนังก็พยายามเลี่ยงภาพที่โหดร้าย

เมื่อเหล่าดาร์กเฟย์ถูกกระสุนเหล็กยิง ก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนบรรดาสัตว์เทพในป่ามัวร์ ก็โดนจับมาทำร้ายเช่นกัน หลาย ๆ ตัวพอตายก็กลายคืนสภาพกลาายเป็นดอกไม้ใบหญ้า ด้วยภาพน่ะไม่มีความรุนแรง แต่นี่คือหนังดิสนีย์ที่ได้เรต G แปลว่าไม่จำกัดอายุ ลูกเล็กเด็กแดงอาจจะรู้สึกสะเทือนใจกับภาพ ภูติน้อยดิ้นกระแด่ว ๆ โดนสังหารต่อหน้าต่อตา

รีวิว Maleficent: Mistress of Evil

อีกประเด็นหนึ่งที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหนังดูผิดแผกจากหนังเทพนิยายดิสนีย์ที่คุ้นเคย ด้วยการเลือกเล่าถึงเผ่าพันธุ์ “ดาร์กเฟย์” ซึ่งหนังเลือกให้ความสำคัญกับเรื่องราวส่วนนี้อย่างมาก ถึงกับพาทัวร์อาณาจักรดาร์กเฟย์กันอย่างยาวนาน และ ละเอียด ดูหนัง

เล่าถึงประวัติที่มาความเป็นอยู่ พาชมสภาพความเป็นอยู่ การเลือกที่จะลงลึกถึงตัวตน การแบ่งแยกดินแดน การทำสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ เรามักจะคุ้นกับเรื่องราวเหล่านี้ในหนัง Lord of The Rings หรือ Game of Thrones มากกว่า ไม่คาดคิดที่จะได้เห็นหนังดิสนีย์มาเล่าหนังในบรรยากาศแบบนี้ และ เช่นเคย มีตัวละครที่ตายจากการทำสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์

กลายเป็นว่าจุดเด่นสำหรับภาคนี้ไม่ใช่เนื้อหา เรื่องราวของหนังที่ดูจะพาออกทะเลไปไกล แต่จุดที่น่าชื่นชมคืองานออกแบบฉาก และ ซีจีที่น่าตื่นตาตื่นใจ แทบทุก ๆ ฉากดูสวยงามอลังการนับตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องเลย ถ้ามีโอกาสเลือกดูบนจอ IMAX 3 มิติได้ขอแนะนำอย่างแรง แค่ฉากเปิดเรื่อง 5 นาที บอกเลยว่าคุ้มเงินแล้ว

มุมกล้องจากท้องฟ้าพาเราท่องเข้าไปในดินแดนมัวร์วิ่งผ่านหน้าบรรดาสัตว์ประหลาด ลงไปวิ่งเลี่ยผิวน้ำ ผ่านดอกไม้นานาพรรณ เป็นประสบการณ์ที่รื่นเริงบันเทิงใจมากเหมือนนั่งเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกเลยครับ ฉากที่ประทับใจมากคือการออกแบบสวน “มาลีสุสาน” เป็นดอกไม้สีส้มสว่างท่ามกลางความมืดขึ้นอยู่เต็มผืนดิน ชวนให้คิดถึง”เห็ดกระสือ” ใน “แสงกระสือ” นั่นแหละ แต่โปรดักชันทุนหนาของฮอลลีวู้ดเขาทำได้ตื่นตากว่าก็ไม่แปลกหรอก

อีกฉากที่ต้องซู้ดปากชื่นชมไอเดียในการออกแบบคือรังของ “ดาร์กเฟย์” ที่หยิบไอเดียเรื่องการเอากิ่งไม้มาสานทอขึ้นเป็นรังแบบนก แต่นี่เป็นรังใหญ่มีทางเดินเชื่อมกันเป็นทางยาว เป็นการผสมผสานงานตกแต่งกับธรรมชาติได้กลมกลืนกันดีจริง ฉากมุมกว้างของพระราชวังอัลสตีดก็ดูอลังการเต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ดูมีความยิ่งใหญ่สมกับเป็นอาณาจักรใหญ่แต่ก็ยังให้ความรู้สึกแบบปราสาทราชวังในเทพนิยายอยู่ ฉากพิธีอภิเษกสมรสที่ตกแต่งพระราชวังด้วยไม้เลื้อยก็สวยงามมาก เอาเป็นว่าน่าชื่นชมมันหมดทุกฉากในเรื่องเลย ทีมงานออกแบบโคตรเก่ง

รีวิว Maleficent: Mistress of Evil

จุดสำคัญที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือตัวหลักของเรื่อง มาเลฟิเซ็นต์ ต่อให้หนังภาคนี้จะมีบาดแผลมากเพียงใด เสน่ห์ของแม่ก็สามารถเรียกคนมาดูได้อย่างแน่นอน แม่สามารถพยุงหนังทั้งเรื่องได้อยู่จริง ว่ากันตั้งแต่ฉากเปิดตัวเลย แองเจลินา โจลี่ สามารถถ่ายทอดความรู้สึกให้ตัวละครมาเลฟิเซนต์ดูยิ่งใหญน่าเกรงขามเสมอ ดูหนังออนไลน์

ยิ่งทำให้ชวนคิดอยู่บ่อยครั้งว่าถ้าไม่ใช่แองเจลินา แล้วจะมีใครเหมาะสมไปกว่านี้ บางอารมณ์ที่แม่อยากจะน่ารัก เอาแค่ฉากที่พยายามยิ้มยิงฟันเอาใจลูกสาว ก็ดูน่ารักชวนขันได้จริง ในฉากรบอีรุงตุงนังเมื่อเหล่าดาร์กเฟย์กำลังตกอยู่ในสภาวะคับขัน แล้วแม่ปรากฏตัวออกมานี่ถ้าตบมือได้ต้องร้อง เย่! ไปเลย มันได้อารมณ์แบบ “แม่มาแล้ว”

จริง ๆ ถ้าเคยผิดหวังอยากเห็นการปรากฏตัวแบบอัศวินขี่ม้าขาวของ Captain Marvel ใน End Game แต่เธอไม่ได้โชว์เท่อย่างที่เรารอคอย มาเชียร์ขุ่นแม่มาเลฟิเซนต์ในภาคนี้แทน แม่มาแบบเท่ และ ไม่ผิดหวังจริง ๆ แม้กระทั่งท่าลงจอดแตะพื้น ที่ย่อเข่าแบบเบา ๆ ก็ยังดูดีเลย

Maleficent Mistress of Evil มาเลฟิเซนต์ นางพญาปีศาจ เป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ของดิสนีย์ ที่คุ้มค่าต่อการรอคอย การกลับมาอีกครั้งของตัวละครหลักนั้นทำให้คิดถึงหนังภาคแรกที่ออกฉาย รวมไปถึงเวอร์ชั่นการ์ตูนที่เคยดูสมัยเด็ก ถึงแม้ว่าพล๊อตเรื่องอาจจะไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก

สรุป Maleficent: Mistress of Evil

รีวิวหนังดัง แต่ด้วยเทคนิคการถ่ายทำ สเปเชียลเอฟเฟคสุดอลังการ และ คอสตูมแต่ละชุดที่จัดหนักจัดเต็มกันถึงเบอร์นี้ ก็เป็นส่วนผสมที่ทำให้ Maleficent Mistress of Evil มาเลฟิเซนต์ นางพญาปีศาจ นั้นเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่น่าไปดูประจำเดือนตุลาคมนี้ ดูหนังออนไลน์

สรุปว่าหนังยังสนุกอยู่ บนมาตรฐานหนังแบบเทพนิยายคาดเดาได้ง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน งานภาพสวยงาม อลังการ ขุ่นแม่ทำให้เรายิ้มได้บ่อย ๆ แต่เนื้อเรื่องออกทะเลไปไกล ดาร์กเกินขีดหนังดิสนีย์ที่เราคุ้นเคยไปพอควร มีตัวละครตาย ไม่สมควรได้เรต G อย่างที่ได้มา ผู้ปกครองถ้าพาเด็กเล็กไปดู ต้องทำหน้าที่อธิบายน้อง ๆ กันเยอะเลยล่ะครับ

คะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 สาระของเนื้อหา หรือบทหนัง ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ แต่ก็ให้อภัย และ ทดแทนได้ด้วยบทบาทของมาลิฟิเซนต์ ที่ยังคงสมบทบาท และ ทำให้เราอินไปกับบทมมาเลฟิเซนต์ได้เหมือนภาคแรก แถมยังมีมุกตลกหน้าตายมาให้ขำเป็นช่วง ๆ

คะแนนเอฟเฟคต์ 10/10 คงไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะเลยครับ เพราะว่าดิสนีย์ เค้าอลังการในเรื่องของCG และ วิชวลเอฟเฟคต์เด็ดดวงอยู่แล้ว แค่ 5 นาทีแรกก็คุ้มค่าราคาตั๋วหนังแล้วละครับ ไม่ว่าจะฉากพวกปิศาจในป่ามัวร์ หรือฉากต่อสู้ท้ายเรื่อง รับรองว่าอลังการถึงใจแน่นอน

ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้

1. แม่ก็คือแม่ ประโยคนี้ได้ยินกันหนาหูมาก ๆ หลังจบภาคนี้ เพราะถึงแม้ว่ามาเลฟิเซนต์จะไม่เต็มใจนักกับการให้ออโรร่าแต่งงานกับฟิลลิป แต่ก็เพื่อความสุขของลูก แม้จะเป็นลูกเลี้ยง แม่ทูนหัวอย่างคุณแม่มาลีก็ยังเอาใจใส่ พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองในบางอย่างเพื่อไปพบ และ เจรจาให้ลูกสาวได้แต่งงานตามใจต้องการ

2. ราชินีอิงกริตที่จิตใจมีแต่ความโหดร้าย ใช้ลูกและสามีเป็นครื่องมือ และ ใส่ร้ายมาเลฟิเซนต์ว่าทำร้ายสวามีของตน เมื่อความจริงปรากฏ นางก็ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งลูกและสามี เหมือนกรรมตามทันในความอำมหิตของนาง

หลังจากดูภาคนี้จบ ผมภาวนาให้มีหนังเรื่องดาร์กเฟย์ทำออกมาครับ เพราะไหน ๆ หนังก็ให้ความสำคัญกับเผ่าพันธุ์นี้แล้ว ก็อยากให้ทำหนังภาคแยกออกมาเลย เพราะเรื่องราวของพวกเค้าเหล่านั้นก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย

รีวิว Maleficent 1

รีวิว Maleficent 1

รีวิว Maleficent 1

รีวิวหนังดัง สวัสดีครับ ตัวร้ายบางตัวนั้น ก็ไม่ไช่ตัวร้ายอย่างที่คิด หากเรามองเขาไปลึกๆ เราอาจจะรู้ว่าเขานิสัยเป็นยังไง เป็นคนแบบไหน ซึ่งวันนี้เราก็จะมาแนะนำภานยตร์ที่มาจากการ์ตูน Disney เป็นตัวละครที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีกับแม่มดสาวมีเขา ชุดสีดำ มีเวทมนตร์ที่เมื่อไหร่ที่เธอเสกจะเปล่างแสงสีเขียว และ แน่นอนค่ะ เรื่องนี้ที่เราเห็นเธอจะอยู่ในนิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิททรา แต่เมื่อเรามาเรื่องราวของเธอแล้วจะรู้ว่าเธอนั้นไม่ได้เป็นแม่มด แต่เป็นนางฟ้าปีกหักนั้นเอง ฮือ ซึ่งเราจะมารู้ที่ไปที่มาพร้อม ๆ กันค่ะ ว่าทำไมเธอจึงกลายเป็นนางฟ้าปีศาจกันได้น้า หนังไทยย้อนยุค

รีวิว Maleficent 1

รีวิวหนังดัง ภาพยนตร์เล่าถึงเรื่องราวที่ไม่เคยถูกเปิดเผยของ ‘มาเลฟิเซนท์’ สุดยอดตัวร้าย ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของ ดิสนีย์ จากภาพยนตร์แอนิเมชั่นคลาสสิคปี 1959 เรื่อง เจ้าหญิงนิทรา (สลีปปิ้ง บิวตี้) ภาพยนตร์จะเปิดเผยเรื่องราวที่ทำให้เธอกลายเป็นคนไร้หัวใจ และ ทำให้เธอ เคียดแค้นทารกน้อยที่ชื่อ “ออโรร่า” ทีมงานเบื้องหลังฝีมือดีของภาพยนตร์เรื่องนี้ประกอบไปด้วย ดีน เซมเลอร์ ดูหนังออนไลน์

มาเลฟิเซนต์อาศัยอยู่ในเมืองมัวส์ ซึ้งเป็นเมืองที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ และ สวยงาม ในเมืองมัวส์นั้นมีแต่สิ่งวิเศษและน่าอัศจรรย์ แต่พระราชาที่อยู่เมืองมนุษย์ได้กระหายอำนาจมาก ถึงขนาดต้องการยึดทุกอย่างเป็นของตน เช่นเดียวกันพระราชาก็อยากจะยึดเมืองมัวส์เป็นของตัวเอง

มาเลฟิเซนต์เป็นนางฟ้าที่มีปีก และ เขา พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากเธอไปแล้ว มีเพียงแค่มาเลฟิเซนต์ที่อยู่ในเมืองมัวส์กันเหล่าสัตว์วิเศษ ๆ ต่าง อยู่มาวันนึงทำให้เธอได้พบกับมนุษย์ชื่อสเตฟานที่เข้ามาในเมืองมัวส์ แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรสเตฟานพร้อมทั้งเห็นแหวนที่สเตฟานนั้นสวมอยู่ได้โยนทิ้งไปเพราะมันเป็นอันตรายต่อตัวมาเลฟิเซนต์ จึงทำให้เธอเชื่อใจ และ ตกหลุมรักสเตฟาน ทั้ง 2 คนรักกันในที่สุด

รีวิว Maleficent 1

จนอยู่มาวันนึงสเตฟานก็หายไปจากเธอ เธอดูแลปกครองเมืองมัวส์จากอันตรายตลอด จนวันนึงสเตฟานได้กลับมาแต่หักหลังเธอด้วยการขโมยปีของเธอไป เพื่อตัวเองจะได้เป็นกษัตรย์ มาเลฟิเซนต์โกรธแค้นจนกลายเป็นอีกคนนึง เมืองมัวส์ไม่ได้สดใสเลย มาเลฟิเซนต์คอยให้ทาสกาคอยไปสืบข่าวของสเตฟานอยู่ตลอด จนมีข่าวว่าสเตฟานนั้นได้กำเนิดพระธิดา เธอจึงคอยรอโอกาสแก้แค้นจนเด็กประสูติ

เธอได้สาปแช่งพระธิดาออโรร่าให้กลายเป็นวเจ้าหญิงนิททราเมื่อเด็กอายุครบ 16 ปี ต้องโดยนามทิ่มที่นิ้วมือ และ หลับ ทำให้สเตฟานวิตกกังวลและส่งลูกสาวไปอยู่แดนไกล ระหว่างนั้นออโรร่าที่กำลังโตมาอย่างสง่างามโดยมีมาเลฟิเซนต์คอยมองดูตลอด เรื่องราวคร่าว ๆ ประมาณนี้ ถ้าอยากรู้รายละเอียดสามารถไปดูได้เพิ่มเติมเลยนะคะ ดูหนัง

สรุปคะแนนและความรู้สึกหลังรับชมของผู้เขียน

ภาพยนตร์ของ Disney ต้องยอมรับ่ว่าเรื่องภาพฉาก และ CG เขาทำออกมาละเอียด และ สวยจริง ๆ ฉากสวยทั้งเรื่องเลยค่ะ เราชอบ และ อยากสนับสนุนภาพยนตร์ที่ออกแบบทำมาแบบนี้มาก ๆ ทั้งการเลือกนักแสดงอีกด้วย เลือกออกมาได้เยี่ยม เนื้อเรื่องกับภาพยนตร์บอกเล่าออกมาได้ดี ครบ ระหว่างดูไม่ทำให้น่าเบื่อเลยค่ะ ทำให้รู้สึกอยากดู และ โฟกัสกับการรับชม

สำหรับคะแนนเราให้ 9.5 / 10 เพราะว่ามีบางฉากรู้สึกยังไม่สุดค่ะ เช่น ตอนสเตฟานเห็นเจ้าหญิงออโรร่ากลับมาแต่ท่าทีดีใจหรือตกใจยังรู้สึกไม่ค่อยเหมือนพ่อที่ไม่ได้เจอหน้าลูกมา 16 ปีแล้ว ทั้ง ๆ ที่ระหว่างเรื่องจะมีฉากสื่อออกมาเสมอว่าสเตฟานกังวลเรื่องลูกมากแค่ไหน ตอนที่ออโรร่าฟื้นขึ้นเพราะจุมพิตจู่ ๆ ก็เรียกมาเลฟิเซนต์เลย เหมือนยังไม่ค่อยสมเหตุสมผลกับคนที่ตื่นมาเท่าไหร่ ในความคิดเห็นส่วนตัวเรานะคะ แต่รวม ๆ ยกให้เป็นเดอะเบสภาพยนตร์ในใจเลยค่า

รีวิว Maleficent 1

มือถ่ายภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ (‘แดนซ์เซส วิธ วูลฟ์’,’อิน เดอะ แลนด์ ออฟ บลัด แอนด์ ฮันนี่’), นักออกแบบงานสร้าง แกรี่ ฟรีแมน (‘เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน’,’เดอะ บรอน ซูพรีเมซี’), ออกแบบเสื้อผ้าโดยดีไซน์เนอร์ผู้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง 2 รางวัลออสการ์ แอนนา บี. เชปเพิร์ด (‘ชินด์เลอร์ส ลิสท์’, ‘เดอะ เปียนิสต์’), แล ะรวมไปถึง เมคอัพ อาร์ติสท์ เจ้าของ 7 รางวัลออสการ์ ริค เบเกอร์ อีกด้วย

นำแสดงโดย นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ ‘แองเจลินา โจลี่’ กำกับการแสดงโดย ‘โรเบิร์ต สตรอมเบิร์ก’ เจ้าของ 2 รางวัลออสการ์สาขาผู้ออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม ( ‘อวตาร’, ‘อลิซในแดนมหัศจรรย์’) ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัวในฐานะผู้กำกับเป็นครั้งแรกของเขา อำนวยการสร้างโดย โจ รอธ ‘เมลิฟิเซนท์’ เขียนบทโดย ลินดา วูลเวอร์ตัน (‘เดอะ ไลอ้อน คิง’, ‘บิวตี้ แอนด์ เดอะ บีสท์’) และ ที่อำนวยการสร้างบริหารโดย แองเจลิน่า โจลี, ดอน ฮานน์, แมทท์ สมิธ และ พาลาค พาเทล ร่วมด้วย ดูหนังออนไลน์

สำหรับเรื่องของพล็อตเรื่องเราคิดว่าโอเคเลยนะ เพราะมันเป็นภาพยนตร์ที่สื่อให้เราเห็นความเป็นมาของตัวร้าย บางทีตัวร้ายเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจร้าย แต่เป็นเพราะมีสิ่งที่ทำให้เขาต้องร้ายต่างหาก หลังดูเสร็จ เราก็มองการ์ตูนตัวร้ายของดีสนีย์เปลี่ยนไปเลย กลายเป็นรักตัวละครนี้แทนด้วยซ้ำ

สรุป Maleficent 1

รีวิวหนังดัง เป็นตำนานใหม่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดในการดูตัวละครเปลี่ยนไป มุมมองใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามามากขึ้น ประทับใจดีสนีย์มาก ๆ เขาเก่งในการสร้างเรื่องออกมาให้อลังการจนกลายเป็นภาพยนตร์ได้อ่ะ การเดินเรื่องก็สมเหตุสมผล ถึงจะตอนหลังจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลแล้วบ้างอย่างที่เคยบอกไป ส่วนที่ไม่ประทับใจแทบไม่มีเลย สำหรับในเรื่องนะ จะเป็นในเรื่องของการแสดงมากกว่า อย่่างตอนออโรร่าที่ฟื้นมาเรียกแม่ทูลหัวทันทีนั้นแหละ เราก็เคยบอกไปแล้ว

น่าเสียดายที่หนังมีความยาวเพียง 97 นาที ดำเนินเรื่องไปอย่างเป็นเส้นตรง ไม่ได้รีบร้อนหรือเชื่องช้าอะไร เพียงแต่รายละเอียดของเรื่องราวนั้นอาจจะไม่ได้มีมากนัก อีกทั้งก็ยังเกาะกับความเป็นแฟนตาซีที่พัฒนามาจากนิทาน เรื่องราวจึงไม่ได้ไปไกลจนหมดสิ้นความเป็นนิทานนัก ดูหนัง

ชื่อภาพยนตร์: Maleficent / กำเนิดนางฟ้าปิศาจ
ผู้กำกับภาพยนตร์: Robert Stromberg
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Linda Woolverton, Charles Perrault (based from the story “La Belle au bois dormant” by), Jacob Grimm & Wilhelm Grimm (based from the story “Little Briar Rose” by), Erdman Penner (based from the motion picture “Sleeping Beauty”, story adaptation by)
นักแสดงนำ: Angelina Jolie, Elle Fanning, Sharlto Copley
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Family, Fantasy, Romance
ความยาว: 97 นาที
เรท: ไทย/ท , USA/PG
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 12 มิถุนายน 2557
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: Moving Picture Company (MPC), Roth Films, Walt Disney Pictures

รีวิว FAST & FEEL LOVE เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ

รีวิว FAST & FEEL LOVE เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ

รีวิว FAST & FEEL LOVE เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ

รีวิวหนังดัง ในภาพยนตร์ เป็นหนังใหม่ที่ มาแรงแสงทางโค้งสมชื่อจริงๆ หนังเรื่องนี้นั้น เป็นหนังไทยที่ฉีกจากหนังไทยหลายๆเรื่องที่ผ่านๆ มาเลย บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ เกา คนที่หมกมุ่นอยู่กับอาชีพ กับ กีฬา จนลืมสิ่งรอบข้างไปเสียหมด เรื่องนี้เป็น ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุด ของผู้กำกับ ที่มีสไตล์เอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ไทย อย่าง เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ หนังไทยnetflix

โดย หนัง Fast & Feel Love เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ ได้นักแสดงระดับ A-List อย่าง ญาญ่า อุรัสยา มาประกบกับ นัท ณัฏฐ์ กิจจริต พระเอกที่กำลังเป็นที่น่าจับตามองในฝีมือการแสดงซึ่ง ฉายแสงความเฉียบมาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว อาทิ ในหนัง ดูหนัง อาชีวะยุค 90s ในเรื่อง 4Kings

รีวิว FAST & FEEL LOVE เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ

รีวิวหนังดัง เรื่องย่อ หนัง Fast & Feel Love เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ นั้น ถือเป็นหนังเรื่องเล่าที่เฉพาะกลุ่มมากๆ ผู้คนเล็กๆ อย่างชีวิตของตัวละคร เกา (แสดงโดย นัท ณัฏฐ์ กิจจริต ) ซึ่งรับบทในเรื่อง เป็น แชมป์ Sport Stacking (กีฬาสแต็ค) หรือแชมป์กีฬาเรียงแก้ว ซึ่งมันไม่ได้ Mass เลยในสังคมไทย

แต่หนังก็ชี้ประเด็นว่า กีฬาเฉพาะกลุ่มแบบนี้ มันมีความหมาย มันมีคุณค่าในตัวของมันเองเสมอๆ มันไม่สนเพศ มันไม่สนวัย แต่มันสนแค่ “สถิติ สถิติ และสถิติ” แค่นั้น ซึ่งหากมองให้ชัด ทุกการกระทำเล็กๆ ของทุกอย่างในสังคม

แม้ว่ามันจะไม่มีผลกระทบในวงกว้าง แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มีความหมายกับคนบางกลุ่ม และมันได้รับความนิยมจากคนบางกลุ่ม อย่างเช่นกีฬา Sport Stacking (กีฬาสแต็ค) หรือ กีฬาเรียงแก้ว นั่นเอง …ทุกอย่างย่อมมีคุณค่าในตัวเอง

ตัวรสชาติของภาพยนตร์ Fast & Feel Love เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ เต็มไปด้วย การยั่วล้อ ตลกร้าย เสียดสีหนังดังต่างๆ แต่อีกนัยหนึ่ง มันก็เหมือนกับการ “คาราวะ” หนังเหล่านั้นที่ เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เอามาล้อเลียนด้วย ทั้งหนังตระกูล Fast & Furious ,The Dark Knight รวมถึงการ ตัดต่อย้ำๆ ซ้ำๆ ขยี้ แบบย้อนไทม์ไลน์แบบหนัง Doctor Strange ในฉากเช็ดม่านมูลี่ ดูหนังออนไลน์

การที่ ตัวละคร เกา (แสดงโดย นัท ณัฏฐ์ กิจจริต ) มุ่งมั่นทำสิ่งที่ตัวเองรัก อย่างเล่นกีฬาเรียงแก้ว บางทีมันอาจไม่เหมาะกับค่านิยมสังคมไทยเลย ที่กรอบสังคมเอาแต่มุ่งมั่นให้แทบทุกคนเดินไปตามแป้นพิมพ์ เบ้าหลอมสังคมไทย ที่ต้องมีอาชีพที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม ชีวิตจะต้องการอะไรไปมากกว่า การได้ทำสิ่งที่รัก พร้อมๆทั้งเป็นอาชีพได้อีกล่ะ…

รีวิว FAST & FEEL LOVE เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ

ในระหว่างที่ ตัวละคร เกา มุ่งมั่นเพื่อจะเป็นแชมป์โลกกีฬาเรียงแก้วนั้น ต้องบอกว่า เขาโชคดีที่มี แฟน(ภรรยา) อย่าง เจ (รับบทโดย ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์) ที่คอยสนับสนุนทุกอย่างในชีวิต , คอยทำงานบ้านให้ , คอยใช้ สกิลต่างๆในการจัดการชีวิตประจำวัน จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ซ่อมปั้มน้ำ เป็นต้น

โดยที่ เกา ไม่ต้องจัดการเรื่องต่างๆในชีวิตเลย ขอแค่โฟกัสแค่การเล่น Sport Stacking (กีฬาสแต็ค) หรือ กีฬาเรียงแก้ว เท่านั้นก็พอ

แต่ในขณะเดียวกัน ตัวละคร เจ ก็มีความฝันกับเขาเหมือนกัน นั่นคือ การเป็นแม่คน การมีลูก ซึ่งมันอาจจะดูเหมือนไม่ใช่ความฝันยิ่งใหญ่อะไร แต่เราทุกคนก็ไม่ควรไปปรามาส ความฝันของใครก็ตาม (จริงไหม?) …แต่ดูเหมือนว่า เกา จะตอบสนองความฝันของเจ ไม่ได้เลย

เรื่องราวความรัก และ การไล่ล่าความฝันของคนเนิร์ดๆ แบบตัวละคร เกา และคนธรรมดาๆ แบบตัวละคร เจ ซึ่งคอยจะสนับสนุนคู่รักทุกอย่าง ต้องเดินมาถึงจุดทางแยก ที่เป็นปมสำคัญของเรื่อง และมันสามารถนำพาผู้ชม ให้เห็นภาพของ ตัวละคร เกา ชีวิตคนเนิร์ดๆ ที่จะค่อยๆเติบโตเป็น “ผู้ใหญ่” ที่ต้องรับผิดชอบอะไรหลายๆอย่าง ดูหนัง

เมื่อ หนัง Fast & Feel Love เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ ดำเนินเรื่องเดินทางมาถึงจุดทางแยกของเรื่อง มันช่างเป็นการตั้งประเด็นคำถามว่า ความสำเร็จของใครสักคนนั้น มันอาจจะต้องมาพร้อมกับปัจจัยและสิ่งแวดล้อมที่จะสนับสนุนให้บุคลากรสักคนสามารถพัฒนาตัวเองและเดินไปถึงเส้นชัยที่วางเอาไว้ ใช่หรือไม่ ?

ความสำเร็จของคนเรา บางทีมันอาจจะต้อง “แลก” ด้วยอะไรบางอย่าง อย่างเช่นในเรื่องนี้ มันอาจจะต้องแลกตัว “เวลา”ในชีวิตของคนดูแลเกาอย่างเจ ใช่ไหม ?

สรุปหนัง FAST & FEEL LOVE เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ

รีวิวหนังดัง นอกจากนี้ ภาพยนตร์ Fast & Feel Love เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ ยังพูดถึงการอัพเลเวล การเติบโตเป็น “ผู้ใหญ่” แบบเร็วที่สุด และไวที่สุดด้วย นั่นคือ การจะเติบโตได้ มันอาจจะต้องผ่านการเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด และ มันอาจจะต้องเสียอะไรบางอย่างไป

ส่วนเรื่อง ความรัก แม้มันจะมีกลิ่นและรสแบบโรแมนติกเล็กๆ แต่ มันก็สะท้อนความจริง ที่เกิดขึ้นกับทุกคน ว่าแท้จริงแล้ว บางทีคู่รักกัน มันอาจไม่หอมหวาน ไม่ได้เป็นความรักไร้เงื่อนไข ใดๆ อย่างที่ใครๆฝันหา …

แต่ระหว่างตัวละคร เกา กับ เจ มันไม่ใช่รักแบบไร้เหตุผล แต่มันคือรัก ที่เป็นรูปแบบความรักแบบผู้ใหญ่จริงๆ ที่มี “เงื่อนไข” ชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้อง – ความรักที่แท้จริงในชีวิตคนจริงๆ มันคือการ ดีลบางอย่างของคนสองคนที่สมประโยชน์ต่อกัน…ใช่ไหม ?

รีวิว FAST & FEEL LOVE เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ

และที่สำคัญที่สุด ที่หนัง ภาพยนตร์ Fast & Feel Love เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ ถ่ายทอดประเด็นคำถามได้ดี นั่นคือ ชีวิตคนเราจะฝันธรรมดาไม่ได้เลยหรือ ? การเป็นแบบคนธรรมดาๆ แบบเจ ไม่ได้เลยหรือ…ซึ่งในความเป็นจริง ชีวิตใครก็ชีวิตมัน ใครฝันอะไรก็ทำได้ตามใจอยู่แล้ว อย่าไปกังวลกับกรอบของสังคมที่คอยขีด คอยเป็นแส้โบยตีว่า ถึงอายุเท่านั้น เท่านี้ ต้องมีนู้น มีนี้… ดูหนังออนไลน์
.
ตัวหนัง เร็วโหด เหมือนโกรธเธอ พาคนดูให้ไป ทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆในชีวิตมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ ความฝันที่เราเคยมีและทุ่มเทเวลาให้กับมันอย่างเต็มเปี่ยม …แต่ในทางกลับกัน ในเวลาเดียวกัน บางครั้ง เราอาจจะต้องเจียดเวลาที่เคยมี ไปให้กับสิ่งอื่นๆบ้าง…เพื่อให้ชีวิตมัน สมดุล…

 

รีวิว Black Widow

รีวิว Black Widow

รีวิว Black Widow

รีวิวหนังดัง นี่คืออีกหนังเรื่องนึงที่นักแสดงนำเป็นผู้หญิง สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ สำหรับแฟนหนังในจักรวาลมาร์เวลนั้น ต้องไม่มีใครไม่รู้จักนาตาชา อย่างแน่นอน แฟนมาเวลนั้น ย่อมต้องติดตามหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่จากค่ายนี้ มาหลายต่อหลายเรื่อง ครับ และ พวกเขาย่อมต้องรู้จักคาแรกเตอร์ซูเปอร์ฮีโร่หญิงแกร่งนาม นาตาชา โรมานอฟฟ์ เป็นอย่างดี ชื่อในวงการของเธอคือ Black Widow ที่ผู้คนจดจำ และ เฝ้าหวังให้เธอได้มีหนังภาคแยกเป็นของตนเอง และ วันนี้ ความหวังนั้นกลายเป็นความจริงแล้ว หนังไทยมาใหม่

รีวิว Black Widow

รีวิวหนังดัง นาตาชา โรมานอฟ หรือ แบล็ค วิโดว์ กับภารกิจลับที่หายไประหว่างช่วงเวลาของหนัง ‘Civil War’ และ ‘Infinity War’ เพื่อสะสางปมอดีตที่บูดาเปส และ การฝึกในเรดรูมก่อนที่จะเข้าร่วมทีมอเวนเจอร์ส พร้อมกับต้องเผชิญหน้าเพื่อน และ ครอบครัวเก่า ๆ ตั้งแต่สมัยฝึก KGB เพื่อการเป็นสายลับ และ นักฆ่า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถูกเล่าถึงเป็นครั้งแรกในจักรวาลหนังมาร์เวลด้วย

ตามจริงแล้วตัวหนังนับว่ามีข้อจำกัดที่น่าเห็นใจอยู่แล้ว ซึ่งอันนี้เห็นได้ตั้งแต่ก่อนชม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตัวละคร แบล็กวิโดว์ นั้นได้มีบทสรุปสุดท้ายไปแล้วจริง ๆ ใน ‘Avengers: Endgame’ (2019) ซึ่งทำให้การหาเรื่องมาสร้างหนังเดี่ยวของตนเองที่ฉายภายหลังนั้นทำได้อย่างยากลำบากขึ้นทั้งยังมีเงื่อนไขมากมาย ดูหนังออนไลน์

ทั้งในแง่ต้องเป็นการอำลาที่ทรงเกียรติน่าจดจำสำหรับแฟน ๆ และ สำหรับตัว สการ์เลตต์ โจแฮนสัน (Scarlett Johansson) ที่มีสัญญาแสดงหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยที่มีความผูกพันกับตัวละครนี้ และ ร่วมสร้างความสำเร็จให้หนังจักรวาลมาร์เวลมาร่วม 10 ปี ด้วย นับจากที่เธอปรากฏตัวครั้งแรกใน ‘Iron Man 2’ (2010) และ อีกแง่คือด้านธุรกิจที่หนังต้องสานต่อบางอย่างเป็นมรดกการตลาดให้มาร์เวลสร้างรายได้ต่อไป ซึ่งถ้าหากสมดุลไม่ดีก็จะพังทั้ง 2 จุดประสงค์ที่คนทำหนังต้องการ

โดยส่วนตัวมองว่าหนังพยายามกับฟังก์ชันส่งมอบไม้ต่อเสริมธุรกิจจนทำลายความสำคัญของการส่งท้ายตัวละครมากไปนิดหนึ่ง คือถ้าใครมีแบล็กวิโดว์เป็นโอชิหรือเป็นเมน คงต้องแอบน้อยใจนิดหนึ่งจริง ๆ นี่ก็แอบน้อยใจนิด ๆ ในฐานะที่รอคอยให้แบล็กวิโดว์มีหนังเดี่ยวอย่างเรื่องนี้มานาน

รีวิว Black Widow

หนังเลือกไปเล่าเรื่องในช่วงเวลาที่เป็นช่องว่าง คือหลังทีมอเวนเจอร์สแตกจากหนัง ‘Captain America: Civil War’ (2016) และ ก่อนการบุกของธานอสใน ‘Avengers: Infinity War’ (2018) ซึ่งโรมานอฟได้รับการติดต่อจากครอบครัวสายลับโซเวียตในอดีตที่เธอแทบจะลืมเลือนไปแล้วให้กลับไปช่วยเหลืออีกครั้ง ซึ่งด้วยความที่หนังเว้นช่วงฉายมานานจนการขายหน้าหนังเผยรายละเอียดออกมาเยอะมาก ประกอบกับหนังก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากนัก เราแทบจะเดาเรื่องได้เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว

ทั้งเรื่องผู้รับสืบต่อบทบาทของสายลับแม่หม้ายดำคนใหม่อย่าง เยเลนา เบโลวา ที่แสดงโดยดาราสาวน่าจับตามองอย่าง ฟลอเรนซ์ พิวจ์ (Florence Pugh) ที่คงจะมีบทบาทต่อไปในทางใดทางหนึ่ง ด้วยอายุนักแสดงที่ยังอยู่ในช่วงที่ไต่ระดับความดัง และ เดวิด ฮาร์เบอร์ (David Harbour) จะมารับบท เรดการ์เดียน ที่เป็นซูเปอร์โซลเยอร์เหมือน สตีฟ โรเจอร์ แต่เป็นของฟากฝั่งโซเวียตแทน เรายังจะได้เห็นความเก๋าของดาราตัวแม่อย่าง ราเชล ไวซ์ (Rachel Weisz) ในฐานะครอบครัวปลอม ๆ ของโรมานอฟในวัยเด็กด้วย เราได้เห็นบางส่วนของฉากการปะทะขนาดใหญ่ และ เปิดตัวร้ายอย่าง ทาสก์มาสเตอร์ ซึ่งคุ้นเคยดีสำหรับแฟนเกม และ แฟนคอมิกของมาร์เวล ดูหนัง

คือเห็นมามากพอสมควร เมื่อไปชมหนังจริง มันเลยเหลือที่ว้าวน้อยลงกว่าที่ควร แต่ก็ใช่ว่าหนังจะไม่สามารถเซอร์ไพรส์เราได้เลย เพราะมันยังซ่อนเนื้อหาหลาย ๆ อย่างที่ทำเอาอึ้งเหมือนกัน แต่ก็สมเหตุสมผลตามเนื้อเรื่องในหนังที่ได้วางมา มันจึงยังคุ้มค่าการซื้อตั๋วไปรับชมในโรงอย่างมาก อย่างน้อยฉากแอ็กชั่นขนาดใหญ่ที่ควรได้ความอลังของโรงหนังเข้าปรนเปรอประสบการณ์รับชมของเรานั้น มันก็ถือว่าคุ้มอยู่ไม่น้อย

ถ้านับเฉพาะฉากแอ็กชั่นใหญ่ที่หนังประเคนมาให้ นับแบบคร่าว ๆ 2 ฉากใหญ่ และ ฉากสู้ย่อยๆ ที่มันไม่แพ้กันอย่างการปะทะกันครั้งแรกของแบล็กวิโดว์กับทาสก์มาสเตอร์ หรือการสู้กันแบบเน้นสไตล์บู๊อลเวงของแบล็กวิโดว์กับเบโลวา ก็ถือว่าสมศักดิ์ศรีบทส่งท้ายของแบล็กวิโดว์อยู่นะ

รีวิว Black Widow

และ การถ่ายทอดมุมมองของตัวละครหลักที่เป็นสาว ๆ กันค่อนเรื่องนั้น ก็ได้ผู้กำกับหญิงรุ่นใหญ่ที่เข้าใจเรื่องนี้ดีอย่าง เคต ชอร์ตแลนด์ (Cate Shortland) ซึ่งเคยมีผลงานอินดี้ว่าด้วยเรื่องผู้หญิงที่คุ้นตาคอหนังบ้านเราดีอย่าง ‘Somersault’ (2004) มาแล้ว ซึ่งเธอก็เอากลิ่นอายทั้งมู้ด และ การถ่ายภาพจากผลงานเก่า ๆ มาใช้ใน ‘Black Widow’ ได้เข้ากันดี โดยไม่ขัดกับความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ขายแอ็กชั่นแต่อย่างใด ดูหนังออนไลน์

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีที่ผิดหวังเลย อย่างแรกคือในเส้นเรื่องหลักมันธรรมดา หักแบบไม่หัก เดาได้เยอะมาก เซอร์ไพรส์ใหญ่ๆ แทบจะเรียกได้ว่ามีไม่ได้อย่างที่หนังมาร์เวลอื่น ๆ เคยหยิบยื่นให้เรา แถมฉากหลังเอนเครดิตยังจำเป็นต้องผ่านตาซีรีส์ทางดิสนีย์พลัสอย่าง ‘The Falcon and the Winter Soldier’ (2021) มาก่อนเสียอีก ไม่งั้นมี เอ๊ะ มึน ๆ ออกจากโรงแน่นอน

และ แม้แต่ขนาดปมใหญ่ของเรื่องมันก็หยิบมาจากแค่ บทพูดหนึ่งที่โลกิเคยพูดกับแบล็กวิโดว์ใน ‘Avengers’ ภาคแรก ที่ว่า ‘ลูกสาวของเดรคอฟ, เซาเปาโล, ไฟไหม้โรงพยาบาล’ ที่ว่ากันตามตรงใครจำได้บ้าง มันเลยเหมือนอยู่ดี ๆ ตัวร้ายระดับโลกอย่างเดรคอฟก็มาปรากฏตัวไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในเรื่องนี้เสียเฉย ๆ คือถ้ามันยิ่งใหญขนาดท้ายเรื่อง อย่างน้อยก็น่าจะมีการปูความสำคัญของเขามากกว่านี้ให้สมบทตัวร้ายประจำตัวของแบล็กวิโดว์เสียหน่อย

หนังยังโชคร้ายซ้ำซ้อนนอกจากในแง่ความคิดสร้างสรรค์ นั่นคือในแง่การตลาดเพราะดันมีกำหนดเข้าฉายในช่วงที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลกจนโรงหนังต้องหยุดให้บริการกันหมด และ พอตัดสินใจลงสตรีมมิ่งก็กลายเป็นดาบสองคมเข้าอีกเพราะต้องเผชิญปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ตามมา ซ้ำหนักเข้าไปอีกในเรื่องปัญหาวุ่นวายในการคิดค่าตอบแทนที่เหมาะสมจนเป็นดราม่าระหว่างโจแฮนสันกับทางดิสนีย์ เรียกว่าบรรยากาศรอบตัวหนังไม่ได้ชวนให้รู้สึกดีในการรับชมเลย ดูหนัง

สรุป Black Widow

รีวิวหนังดัง แต่ก็อย่างที่บอก ในฐานะแฟนมันคือสิ่งที่ต้องทำในการไปร่วมอำลาตัวละครนี้ในโรงภาพยนตร์อยู่ดีนะ หรือใครจะรอชมบนดิสนีย์พลัสกลางเดือนนี้ก็คงไม่ว่ากัน แต่ใครอยากอิ่มเต็มอรรถรสทั้งภาพ และ เสียง ลองให้หนังมาร์เวลเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกที่คุณได้ฉลองการที่โรงหนังกลับมาให้บริการ ก็เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องไม่น้อยล่ะนะ

หนังพาผู้ชมไปเจอกับทัศนียภาพของหลากหลายที่ทั่วยุโรป พวกเขาจะได้เห็นนาตาชา โรมานอฟฟ์ ในลุคที่แตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงเวลา แม้หนังจะค่อนข้างไร้มุกตลก แต่อย่างน้อยก็ยังมีหนึ่งมุกที่ชวนให้ขำได้ นั่นคือ มุกท่าทางที่เธอมักทำประจำตอนกระโดดลงพื้น

อย่างไรก็ดี แบล็ค วิโดว์ ภาคแยกภาคเดียวภาคนี้ก็ถือเป็นเรื่องดี ที่ทำให้แฟนมาร์เวลได้เห็นตัวละครโปรดของตนได้กลับมาโลดแล่น และ เล่าเรื่องที่เขายังไม่เคยเห็นอีกครั้ง ภารกิจที่อยู่นอกเหนือจากการเป็นอเวนเจอร์ส เห็นชีวิตในวัยเด็ก เห็นความสัมพันธ์กับคนที่เธอเรียกว่าครอบครัว

บทอำลาของอเวนเจอร์สสาวสุดแกร่งที่หลายคนชื่นชอบ หนังที่เล่าเรื่องในวัยเด็ก กับครอบครัวที่ได้อยู่ด้วยกัน พลัดพรากจากกัน ก่อนจะกลับมาเจอกันอีกครั้ง พร้อมกับภารกิจสะสางชำระแค้น เป็นภาคแยกที่มาช้าไปนิด ทำให้เล่าเรื่องอะไรได้ไม่มากนัก สุดท้ายจึงได้อะไรที่วนอยู่ทางเดินเก่าๆ แต่ก็พอจะเป็นบทอำลาที่งดงามให้กับเธอได้

ชื่อภาพยนตร์ Black Widow / แบล็ค วิโดว์
ผู้กำกับ Cate Shortland
ผู้เขียนบท Eric Pearson
นักแสดง Scarlett Johansson, Florence Pugh, David Harbour, Rachel Weisz, Ray Winstone, O-T Fagbenle, William Hurt, Olga Kurylenko
แนว/ประเภท Action, Adventure, Sci-Fi
เรท PG-13
ความยาว 134 นาที
ปี 2021
เข้าฉายในไทย 1 ตุลาคม 2021 [ในโรง], 6 ตุลาคม 2021 [ใน Disney+ Hotstar] ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย Marvel Studios, Truenorth Productions

รีวิว Ant-Man

รีวิว Ant-Man

รีวิว Ant-Man

รีวิวหนังดัง สำหรับหนัง Antman ผมคิดว่าหนังนั้นจะไม่ได้สนุกอะไรมากมาย คิดว่าคงจะเหมือนหนังทั่วไปๆ แต่เอาจริงๆผมไม่ค่อยได้คาดหวังอะไรกับมันมาก เพราะหนังเรื่องนี้มีปัญหามาตลอดตั้งแต่ก่อนสร้าง ยันเรื่องที่ ผกก เลย และเขียนบทคนเก่าอย่าง Edgar Wright ออกไป การถ่ายทำ การผลืตหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีอุปสรรคเยอะมากแต่!!!! หนังกลับทำออกมาได้ที่กว่าที่ผมคาดไว้เยอะมาก ถึงแม้จะไม่ได้อลังการณ์เท่า Age of ultron แต่หนังมันกลับกลมกล่อมและลงตัวมาก หนังไทยnetflix

รีวิว Ant-Man

รีวิวหนังดัง ในภารกิจใหม่สุดเร่งด่วน เพื่อต่อกรกับวายร้ายพลังสุดเทพอย่าง โกสต์ (ฮันนาห์ จอห์น คาเมน) ที่มีพลังทะลุทุกสิ่ง กับวายร้ายเจ้าพ่อค้าอาวุธอย่าง ซอนนี่ เบิร์ช (วอลตัน ก็อกกินส์) ซึ่งอีกด้านเขากับโฮปก็ต้องตามหา เจเน็ต (มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์) แม่ของโฮปกลับมาจากมิติควอนตัมให้จงได้ สก็อตต์ต้องกลับมาสวมชุดใหม่อีกครั้ง และเรียนรู้ที่จะต่อสู้เป็นทีมไปพร้อมกับ เดอะ วอส์พ เพื่อหาคำตอบในอดีตของ เจเน็ต และ ดร. พิม ที่เป็นปริศนาสำหรับพวกเขา

จะว่าไปหนังมาร์เวลนั้น ถึงจะยืนเนื้อหาในความเป็นซูเปอร์ฮีโร่และพลังพิเศษต่าง ๆ แต่ถ้าลองจับสังเกตกันดี ๆ เราจะเห็นว่าฮีโร่แต่ละตัวต่างก็มีสูตรหรือแนวหนังที่ใช้ต่างกัน ทั้งนี้ต้องชื่นชม เควิน ไฟกี ประธานมาร์เวลและผู้ดูแลจักรวาลหนังมาร์เวลทั้งหลาย ที่ชาญฉลาดพอในการวางแพลนประสบการณ์ให้ผู้ชมได้รับรสที่หลากหลายตลอดเวลา ดูหนัง

พูดอีกอย่างคือไม่ให้ผู้ชมที่ดูหนังมาร์เวลกันปีละ 1-3 เรื่อง ไม่เกิดอาการเลี่ยนหนังฮีโร่เกินไปนั่นเอง ดังนั้นเราจึงมีหนังก้าวพ้นวัยแบบปัญญาวัยรุ่นว้าวุ่นอย่าง สไปดี้ หนังดราม่าการเมืองอย่าง ซีวิลวอร์ และ แบล็กแพนเธอร์ หรืออย่าง แก๊งพิทักษ์อวกาศ ที่กลายเป็นหนังตลกแบบนอสตัลเจีย ส่วน ธอร์ ภาคล่าสุดก็อวตารตัวเองกลายเป็นหนังตลกติ๊งต๊องไปเรียบร้อย

และแน่นอนสำหรับ Ant-Man and the Wasp ที่ใช้ชื่อไทยได้ตร๊งตรงจนสิ้นคิดอย่าง แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ ถ้าจะให้พูดว่าเป็นหนังแนวไหน นี่คือหนังสไตล์รอมคอม หรือ โรแมนติกคอเมดี้

รีวิว Ant-Man

ที่ว่าด้วยพ่อหม้ายลูกติดที่พยายามคืนดีกับแฟนสาวคนใหม่ ที่ดันมีคุณพ่อสุดเฮี้ยบซึ่งดันเกลียดขี้หน้าเขาอยู่ด้วย เป็นโครงหลัก ส่วนพลังพิเศษต่าง ๆ มาเป็นเพียงน้ำจิ้มและอุปสรรคให้ความสัมพันธ์ของพระ-นาง ตลอดจนกับลูกสาวพระเอก และกับว่าที่พ่อตา เจริญงอกงามขึ้นเท่านั้นเอง ดูหนังออนไลน์

ดังนั้นใครชอบแนวหนังรักตลก ๆ ที่เดินเรื่องแบบซิทคอม เต็มไปด้วยสถานการณ์ชวนหัวปั่นและฮา นี่คือหนังซูเปอร์ที่เป็นคำตอบของคุณเลยครับ ส่วนแฟนมาร์เวลทั่วไปนี่อาจไม่ใช่หนังที่ตอบโจทย์ความเข้มข้น ไม่ได้มีฮีโร่ดัง ๆ ที่คุ้นเคยจากแก๊งอเวนเจอร์สมาแจม (เพราะช่วงเวลาเดียวกันนี้กำลังไฝว้กับพวกธานอสอยู่) แถมไม่ได้มีส่วนเชื่อมโยงสำคัญอะไรส่งผลกระทบยังหนังรวมพลอย่าง Avengers 4 ที่แว่ว ๆ ว่าอาจใช้ชื่อภาคว่า End Game ด้วย

ด้วยความที่เป็นหนังสแตนด์อะโลน ไม่ต้องไปเข้าใจหนังเรื่องอื่น ๆ ในจักรวาลมาร์เวลมาก จึงสามารถเริ่มต้นดูที่ภาคนี้ได้เข้าใจเลยเช่นกัน (เหมาะกับการพาแฟนสาวที่ชอบรอมคอมมาเริ่มติดหนังมาร์เวลมาก ๆ ฮะ) นี่จึงเป็นหนังที่ดึงทักษะออกมาได้สูงสุด สำหรับผู้กำกับผู้ช่ำชองกับแนวรอมคอม อย่าง เพย์ตัน รี้ด (Bring it on, Yes Man, The Break-Up) ซึ่งรับหน้าที่ตั้งแต่ภาคแรกได้อย่างดี

ด้านดาราก็ได้ทีมเดิมที่ตอนนี้รู้สึกว่าเคมีเข้าคู่ลงตัวกันมาก ๆ แล้ว ไม่ค่อยมีจุดขัดเขินแบบภาคแรก และที่สำคัญตัวละครฝั่งพระเอกแต่ละกลุ่มดูมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันที่น่าสนใจขึ้น อย่างเช่น หลุยส์ กับ ดร. พิม ที่เห็นอาการขยาดของ ดร. พิม ได้ชัดและสร้างสถานการณ์ตลกขบขันใหม่ ๆ ขึ้นได้อีก เป็นต้น

นอกจากนี้หนังยังมีดาราสมทบที่มากฝีมือมาแจมในภาคต่อนี้มากขึ้นด้วย ทั้ง มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ ในบทของ เจเน็ต หรือ เดอะวอส์พ รุ่นแรก และ ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ในบทของ ดร. บิลล์ ฟอสเตอร์ หรือฉายา โกไลแอธ ฮีโร่ขยายร่างรุ่นแรก ซึ่งต่างก็เป็นดาราที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ และผ่านงานแสดงในหนังฮีโร่มาก่อนแล้วทั้งสิ้น ก็ทำให้หนังภาคนี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในการปั้นแต่งตัวละครด้วย

ในขณะที่ฝ่ายเขียนบทก็ได้ดารานำอย่าง พอล รัดด์ ที่เคยร่วมเขียนบทในภาคแรกมาสานต่อบทบาทอีกในภาคนี้ โดยร่วมกับทีมเขียนบทจาก Spider-Man: Homecoming ซึ่งก็เหมาะเจาะอีกเช่นกันเพราะ หนังดึงความเป็นปุถุชนฮีโร่บ้าน ๆ ที่สัมผัสได้ อย่าง สก็อตต์ แลง พระเอกที่ถูกรัฐกักบริเวณเป็นเวลา 2 ปีจากการไปช่วยกัปตันอเมริกาในซีวิลวอร์

รีวิว Ant-Man

ทำให้เขาไม่สามารถออกนอกบริเวณบ้านตัวเองได้ ทุกครั้งที่ออกไป กำไรไฮเทคที่ข้อเท้าจะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่อย่าง มิสเตอร์วู (ในคอมมิคคือเอเจ้นท์ผู้รวมทีมเหล่าฮีโร่สายลับลอบเร้นด้วย) เข้ามาตรวจสอบ แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับแฟนและพ่อของเธอที่กำลังยั้วะเขาเต็มอัตราจากการเอาพลังไปใช้โดยไม่ปรึกษา

ทำให้เขาต้องรักษาสมดุลในการเป็นนักโทษที่ดีที่ใกล้วันได้รับอิสรภาพเพื่อจะได้เป็นพ่อที่ดีให้ลูก กับการเป็นแฟนที่ดีในภารกิจช่วยเหลือแม่ของแฟนในมิติควอนตัมกลับมา ซึ่งอันหลังก็วุ่นวายน่าดูเพราะนอกจาก พ่อค้าอาวุธที่พยายามจะแย่งพลังมดมาใช้แล้ว ยังมีศัตรูลึกลับที่มีพลังทะลุทุกสิ่งได้ไล่ล่าเพื่อแย่งชิงแล็บของ ดร. พิม ด้วย

ความพิเศษของหนังแอนท์แมนคือ การเล่าปัญหาของฮีโร่อย่าง สก็อตต์ แลงก์ ที่เอาจริง ๆ เขาก็คือคนธรรมดาที่ได้พลังจากอุปกรณ์ ไม่มีพลังเหนือมนุษย์ติดตัวแบบกัปตันอเมริกา หรือไม่มีปัญญามีความร่ำรวยล้นฟ้าแบบ โทนี่ คือถ้าไม่มีอุปกรณ์เขาก็สู้ใครแทบไม่ได้ ดูหนัง

เขาเป็นแค่คนที่ตกงานติดสถานะอาชญากรที่อยากกลับไปมีชีวิตปกติให้ลูกสาวของเขาได้ภูมิใจ ปัญหาของแลงก์จึงเป็นปัญหาแบบมนุษย์ปุถุชนที่เราสัมผัสได้ง่าย เอาใจช่วยได้ง่าย ไม่ต้องไปผูกกับเหตุการณ์ระดับโลกแบบหนังมาร์เวลช่วงหลังเลย เพราะความเป็นหนังครอบครัวแบบนี้ก็ได้ใจคนดูทั่วไป และคนดูหน้าใหม่ได้ไม่ยากเย็น ยิ่งแอนท์แมนเป็นจำพวกฮีโร่ตกกระไดพลอยโจน และเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ก็ยิ่งเห็นอกเห็นใจเขาได้ง่าย

บทสรุป Ant-Man

รีวิวหนังดัง สถานการณ์ขัดแย้งกันเองเหล่านี้ จึงสร้างความขบขันได้มากมาย ซึ่งพัฒนาขึ้นมากจากภาคแรก เพราะในภาคแรกเป็นการใช้ตัวละครอย่างหลุยส์ในการเรียกเสียงฮาเสียมากกว่า แต่กับภาคนี้มันมีความตลกทั้งแบบเดิมและแบบที่คนทั่วไปอินได้ง่ายอย่างตลกสถานการณ์ เช่น การที่พระเอกต้องรีบกลับบ้านให้ทันก่อนเจ้าหน้าที่วูจะจับได้ว่าเขาแอบออกไปเป็นแอนท์แมน

จนอาจทำให้ต้องติดคุกยาวต่อไป เป็นต้น ทำให้กลายเป็นความบันเทิงที่ลงตัวมากขึ้น แม้หลาย ๆ ฉากอาจเรียกได้แค่เสียง หึหึ แต่กับบางฉากต้องบอกว่ากรามค้างจริง ๆ โดยเฉพาะฉาก แอนท์แมนแอ๊บแมน นี่ตลกมาก

และนี่คือหนังเรื่องที่ 20 ของจักรวาลหนังมาร์เวล ที่กลายเป็นหนังชุดซูเปอร์ฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคใหม่ไปเรียบร้อย และแม้จะเป็นหนังที่มาเข้าโรงหลังจาก Avengers: Infinity Wars (2018) ก็ตาม แต่น่าจะจัดเข้าชุดเฟส 3 เช่นเดียวกับ Captain America: Civil War (2016), Spider-Man: Homecoming (2017) และ Black Panther (2018) เสียมากกว่า

เพราะหนังเล่าช่วงเวลาระหว่างผลกระทบจากเหตุการณ์กระทบกระทั่งแตกหักระหว่างกัปตันอเมริกา และไอออนแมน ยาวมาถึงก่อนช่วงการบุกโลกของธานอสในอินฟินิตี้วอร์ เป็นสำคัญ ต้องบอกว่าน่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้สร้างผลกระทบกับหนังเรื่องอื่นไม่มากนัก แต่ช่วงท้ายหรือตอนจบของหนังก็ได้ทิ้งก้อนปริศนาสำคัญที่น่าจะส่งผลเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ต่อหนังแอนท์แมน ดูหนังออนไลน์ หรือแม้แต่จักรวาลมาร์เวลในอนาคตก็เป็นได้ ถ้าสิ่งที่ผมมโนอยู่เกิดขึ้นจริงว่าแอนท์แมนจะได้รับพลังใหม่ กลืนกับอีกตัวละครสำคัญในจักรวาลคอมมิค

ข้อดี
** ความสนุกเป็นหัวใจใหญ่เลย สนุกมากกก จนจุดอ่อนจะช่างมันเลยก็ได้
** มีแนวทางของตัวเอง แตกต่างจากฮีโร่ตัวอื่น ทำให้จดจำง่าย
** การออกแบบย่อร่างและขยายร่างที่เป็นพลังหลัก เอามาใช้ได้คุ้มมาก
** หนังมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ๆ กว่าภาคเก่า ตัวละครมีเสน่ห์มาก ลงตัวกว่าเดิมมาก
** เหมือนไม่ค่อยทิ้งปมอะไร แต่ก็แอบซ่อนสิ่งชวนคิดที่กระทบจักรวาลมาร์เวลไว้ด้วย

ข้อเสีย
** ตรรกะอ่อนบ้าง ตามสภาพหนังรอมคอมเน้นความสนุก
** ใครชอบความเข้มข้นแอ๊กชันสะบั้นหั่นแหลกทุก ๆ นาที อาจไม่ได้ขนาดนั้น หนังเน้นการเล่าเรื่องมากกว่า

 

รีวิว Captain Marvel

รีวิว Captain Marvel

รีวิว Captain Marvel

รีวิวหนังดัง หลังจากที่แอดมินได้กลับไปดูหนังมาเวลเรื่องนี้อีกครั้งนั้น ทำให้แอดรุ้สึกอยากรีวิวมาทันทีครับ ถึงแม้ว่าในตัวหนังนั้น จะดัดแปลงจากคอมิก Kree-Skrull War ปี 1971 มาเยอะ ของ รอย โธมัส แต่ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า Captain Marvel นั้น ก็ได้เลือกที่จะเซ็ตเรื่องราวของตัวเองขึ้นใหม่ และ ที่สำคัญมันยังตอบสนองกับแนวคิดเฟมินิสต์ที่ข้นขลั่กทั้งเรื่อง ทั้งที่มาของพลังพิเศษ หรือ เรื่องราวภูมิหลังที่อย่างกับหลุดมาจากโฆษณาเพื่อนหญิงพลังหญิง ไปจนรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยอย่างการแอบใส่ฉากที่ เวียส หรือ คารอล เดนเวอร์ ปล่อยพลังทำลายสแตนดี้หนัง True Lies ของเจมส์ คาเมรอน ในร้านบล็อคบัสเตอร์ หนังไทยมาใหม่

รีวิว Captain Marvel

รีวิวหนังดัง เวียส สตาร์ฟอร์ซ นักรบสาวแห่งเผ่าครี ได้ออกปฏิบัติการสู้รบกับเผ่าสโควล์ เธอพลาดท่าถูกเผ่าสโควลล์จับตัวได้และโดนจับไปค้นหาความทรงจำ ซึ่งมันทำให้ เวียส มองเห็นภาพที่เธอเห็นอยู่บ่อยครั้งในความฝันมันคือชีวิตบนโลกที่เธอจำไม่ได้เลย เมื่อเธอได้สติและหนีรอดจากเผ่าสโควล์ได้ เวียส มุ่งหน้าไปที่ดาวโลกด้วยกระสวย เพื่อไปค้นหาความจริง ดูหนัง

และได้พบกัน นิค ฟิวรี่ เจ้าหน้าที่หน่วยซีลด์ ที่ในตอนนั้นยังไม่ปิดตาข้างหนึ่ง ยังมีเจ้าหน้าที่โคลสัน ที่ยังเป็นเด็กใหม่ขององค์กรซีลด์อีกด้วย งานนี้เวียสและนิค ได้ร่วมกันค้นหาความจริงไปด้วยกัน และรู้ต่อมาว่าชื่อจริงของเวียส คือ แครอล เดนเวอร์ ก่อนที่ความทรงจำเธอจะหายไป หลังจากนี้เธอและนิคจะต้องช่วยกันค้นหาความจริง ซึ่งเกี่ยวพันกับใครบางคนที่กุมความลับเรื่องเครื่องสร้างพลังงานมหาศาล เพื่อยุติสงครามระหว่างเผ่าสโควล์และเผ่าครี ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

หนังให้กลิ่นไอของยุค 90 ที่ใครหลายๆ คนคุ้นเคย ยังคงมีการใช้เพจเจอร์ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งในสมัยนี้คงไม่มีให้เห็นแล้ว เพลงที่ใช้ประกอบเป็นเพลงยุคนั้นด้วยเช่นกัน โดยหนังเป็นเรื่องราวภูมิหลังก่อนที่จะมีมนุษย์ต่างดาว หรือยอดมนุษย์ปรากฎบนโลก รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการอเวนเจอร์ส ซึ่งในเรื่องนี้มีฮีโร่หญิงเป็นตัวเอก ก็บอกเลยว่าเป็นหนังที่สนุกไม่แพ้ฮีโร่ชายเลย ทำให้หนังมีจุดขายที่ดี ยิ่งฉากแอคชั่น นักแสดงและทีมงานก็สร้างออกมาได้มันส์มาก กระตุ้นต่อมความตื่นเต้นออกมาแบบไม่สามารถกระพริบตาได้เลย

สำหรับการแสดงของ บรี ลาร์สัน ก็ถือว่าไม่ได้เสียยี่ห้อดาราออสการ์นะครับ เธอสามารถทำให้เราเชื่อได้ทั้งด้านที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ความดิบเถื่อน ไปจนถึงด้านที่เปราะบาง เมื่อเธอพบความจริงที่สั่นสะเทืิอน ความเชื่อของเธอไปตลอดกาล ยิ่งได้ แซมมวล แอล แจ็คสัน ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้เรื่องราว ได้เป็นอย่างดีมาคอยรับส่งมุกกับเธอก็ยิ่งทำให้หนังดูสนุก โดยแทบไม่ต้องพึ่งพาฉากแอ็คชั่นมาคอยปลุกคนดูมากนัก รวมถึงนักแสดงสมทบทุกคนก็ทำหน้าที่ได้ดี จนกลายเป็นหนังมาร์เวลที่ภาพรวมทางการแสดงค่อนข้างแข๋็งแรง เรื่องหนึ่งในจักรวาลของหนังเลยทีเดียว

รีวิว Captain Marvel

สิ่งที่ดูจะถูกใจ และ แอบดักแก่ผมอยู่มิใช่น้อยคงหนีไม่พ้นการเล่นกับเซ็ตติ้งในปี 1995 ตั้งแต่ซีนบนโลกซีนแรกที่จงใจให้แครอล ตกลงมากลางร้านบล็อคบัสเตอร์แล้ว เดินผ่านเชลฟ์หนังแอ็คชั่น ดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งนับ ๆ ดูก็แอบมีหลายเรืื่อง ในความทรงจำอยู่นะครับ ฮ่าาาา

แต่โดยนัยยะแฝงแล้ว การที่ Captain Marvel จะเป็นหนังเรื่องแรกของตระกูล Disney ที่ไม่ได้ลงสตรีมมิงทาง Netflix ยังเป็นการเสียดสีคู่แข่งตัวเองในอนาคตอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะหากจำกันได้ Netflix นี่แหละที่เริ่มบริการเช่าดีวีดีออนไลน์จนทำให้บล็อคบัสเตอร์ อยู่ไม่ได้ ดูหนังออนไลน์

และ การที่หนังไปเซ็ตเริ่มที่บล็อคบัสเตอร์เองก็เหมือนเป็นเทียบเชิญศึกไปถึง Netflix ว่าตัวเองพร้อมลงแข่งในนามดิสนีย์พลัสไม่นานเกินรอ หรือการเล่นตลอกกับยุคสมัย ทั้งอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ในยุคโมเด็มที่ทั้งอืด ทั้งไม่เสถียร หรือการปรากฎตัวของเครื่องมือสื่อสารยุคก่อนทั้งเพจเจอร์ และ โทรศัพท์หยอดเหรียญก็เรียกความทรงจำวัยหวานได้เป็นอย่างดี

แุถมยังทำให้เรารู้สึกเลยว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ มาไกลเหลือเกินจนบางครั้งเราก็หลงลืมสิ่งเหล่านี้ไม่ต่างจากนางเอกที่หลงลืมตัวเองในนามแครอล เดนเวอร์ไปหมดสิ้น นั่นทำให้การเซ็ตติ้งดังกล่าวไม่ได้ไร้ความหมายแต่กลับส่งเสริมการเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี เป็นธรรมเนียมที่หนังมาร์เวลจะแยกการเมืองไม่ออก

และแน่นอนว่าศัตรูหมายเลขหนึ่งก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล โดนัลด์ ทรัมป์ นั่นเองโดยคราวนี้ ประเด็นผู้อพยพที่กลายเป็นจุดพลิกผันของหนังยังทำให้เราสืบย้อนไปมองประวัติศาสตร์อเมริกาว่าด้วย อารยะชนกับเผ่าพื้นเมือง ซึ่งหนังทำตรงนี้ออกมาได้เข้มข้นมาก มันสามารถกินความไปถึงความหมายหรือผลพวงของสงครามต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

หรือแม้แต่ตัวละครซูพรีมอินเทลลิเจนต์ที่ถอดแบบมาจากคนที่ แครอล นับถือเอง ก็ยังมีแนวคิดเหมือน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ที่พยายามคิดค้นอาวุธที่จะหยุดทุกสงครามก่อนจะพบว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ จนทำให้หนัง Captain Marvel กลายเป็นหนังที่อิงการเมือง และ ประวัติศาสตร์มากที่สุดในจักรวาลมาร์เวลแล้วล่ะครับ ดูหนังออนไลน์

อีกจุดที่เชื่อได้เลยว่าเหล่าทาสแมวจะต้องเสียอาการคงหนีไม่พ้นการปรากฎตัวของน้องกู๊ส ซึ่งจากตัวอย่างเราจะเห็นน้องกู๊สโผล่มาเหมือนตัวประกอบผ่าน ๆ แต่บอกเลยว่านางแอบขโมยซีน และ โปรยเสน่ห์ให้คอหนังได้หลงไหลกับความลำไยบีมของนางกันแบบไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน ก่อนที่หนังจะเฉลยว่าแท้จริงแล้วความอันตรายของนางค่ืออะไรเท่านั้นแหละ โอ้โหทั้งโหด มันส์ ฮา แบบไม่กล้าสปอยล์เลย ที่สำคัญนางยังเป็นไฮไลต์เด็ดสำหรับช่วงเอนด์เครดิตด้วยน้าาาาา

สิ่งเดียวที่ขอเตือนแฟน ๆ หนังมาร์เวลไม่มีอะไรมากแค่อย่าดื่มน้ำเยอะก็พอ เพราะตามธรรมเนียมแล้ว เราจำเป็นมากที่จะต้องดูเอนด์เครดิต 2 ตัวให้หมด ซึ่งหนังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 4 นาที โดยส่วนตัวมองว่าเอนด์เครดิตคราวนี้ทำไม่ยืดเยื้อเท่าไหร่ รอไม่นานมาก ส่วนใครเป็นแฟนมาร์เวล เชื่อว่าอาจจะต้องดูเกิน 1 รอบเพราะหนังซ่อนอีสเตอร์เอ็กไว้เต็มไปหมด ส่วนใครคิดถึงคุณปู่ สแตน ลี หนัง Captain Marvel จะพิสูจน์ให้เราเห็นว่า คุณปู่ไม่ได้จากเราไปไหนจริงๆ

การแสดงของฮีโร่สาวสุดแกร่ง ต้องยอมรับเลยว่า บรี ลาร์สัน แสดงออกมาได้ดีสมบทบาท เธอทำให้เห็นว่า ความแข็งแกร่งเป็นเช่นไร แม้ว่าจะล้มมาแล้ว กี่ครั้งก็ตาม ส่วนซามูเอล ที่รับบทนิค ฟิวรี่ ก็ยังคงกวนบาทาไม่ใช่น้อยเช่นเคย ด้วยการถาม-ตอบกวน ๆ ตามสไตล์แบบที่เราคุ้นเคย แล้วที่ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ ขวัญใจทาสแมวทั้งหลาย คือ กูส แมวตัวสีส้มที่เมื่อมีบทเมื่อไรก็แย่งซีนไปได้ตลอด มีความอ้อนเก่ง ยิ่งกับนิค ฟิวรี่ด้วยแล้ว คือเป็นมิตรกันสุด ๆ

บทส่งท้าย Captain Marvel

รีวิวหนังดัง แอดมินเทคะแนนให้กับ Captain Marvel ที่ 8/10 ยกให้เป็นหนังสนุกที่น่าติดตาม ฉากแอคชั่นใส่มาให้เยอะพอสมควร เอฟเฟคอลังการตระการตา แสงสีเสียงเลิศ ๆ เสียงประกอบตื่นเต้นเร้าใจ ดังกระหึ่ม ซีจีเนียน ไม่ลอย เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาด ไม่ดูไม่ได้แล้ว และ ตอนนี้สามารถรับชมภาพยนตร์ผ่านช่องทาง DISNEY+ Hotstar ได้แล้ว จัดหนักไปเลย 2 ชั่วโมงเต็ม ถือว่าภาคนี้เป็นการเปิดตัวของฮีโร่หญิงที่แกร่งที่สุดในจักรวาล เพื่อสานต่อภาคต่อ ๆ ไป สำหรับวันนี้แอดมินก็ต้องขอตัวจบการรีวิวหนังสนุก ๆ ไว้เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่กับการรีวิวหนังปี 2021 ที่จะไม่ทำให้ผิดหวัง สวัสดีค่ะ ดูหนัง

รีวิว Captain Marvel

จุดเด่น
– เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่จำเป็นต้องดูหนังมาร์เวลมาก่อนก็สนุกได้
– บรี ลาร์สัน และ แซมมวล แอล แจ็คสัน รับส่งมุกได้อย่างไหลลื่น
– งานสเปเชียลเอฟเฟกต์วางใจได้ ใช้ ILM ของจอร์จ ลูคัส ทำทั้งเรื่อง
– น้องแมวกู๊สน่ารักมาก

จุดสังเกต
– บางทีกัปตันมาร์เวลก็เก่งไปนิด จนไม่ค่อยเห็นจุดอ่อนนางให้น่าเอาใจช่วยเท่าไหร่

ประเภทภาพยนตร์ : แนวแอคชั่นซูเปอร์ฮีโร่
ผู้กำกับภาพยนตร์โดย : แอนนา โบเดน, ไรอัน เฟล็ก
ผู้เขียนบทภาพยนตร์โดย : เม็ก เลอโฟฟว์นิโคล เพิร์ลแมนเจนีวา รอเบิร์ตสัน-ดวอเร็ตลิซ ฟลาไฮฟ์คาร์ลี เมนซ์แอนนา โบเดน ไรอัน เฟล็ก
บริษัทผู้สร้างโดย : มาร์เวล สตูดิโอ
คะแนนจาก IMDB : 6.8

รีวิว Red Notice

รีวิว Red Notice

รีวิว Red Notice

รีวิวหนังดัง หนังแอ็คชั่นที่ไม่ได้มีแต่ฉากบู๊ แต่ยังคงความสนุกความฮา ครบรส และนี่คือ หนึ่งในพล็อตหนังบล็อกบัสเตอร์ที่มักได้รับความนิยมที่สุดได้แก่หนังแนวแอ็กชันจารกรรมที่ว่าด้วยเหตุการณ์ปล้นซ้อนแผน และ แม้ว่าหนังหลายเรื่องมักจะจบที่การถ่ายเอกสารบทหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้มาผสมปนกันไม่ต่างจากวลีเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ด้วยความสนุก เสน่ห์ของตัวละคร และ ฉากแอ็กชันยิ่งใหญ่อลังการก็มักจะทำให้หนังแนว ๆ นี้ได้เงิน และ ความนิยมจนได้สร้างภาคต่ออยู่เนือง ๆ ดูหนังออนไลน์

รีวิว Red Notice

รีวิวหนังดัง ‘Red Notice’ เลือกเปิดเรื่องด้วยฉากปล้นสุดอลังการที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งอิตาลีที่พาเราไปรู้จักกับเจ้าหน้าที่จอห์น ฮาร์ตลีย์ (รับบทโดย ดเวย์น จอห์นสัน Dwayne Johnson) กับ สารวัตรเออร์วาชี แดช (รับบทโดย ริทู อาร์ยา Ritu Arya) ที่ได้ตามจับตัวโนแลน บูธ (รับบทโดย ไรอัน เรย์โนลด์ส Ryan Reynolds) ยอดโจรสมองเพชรที่ขโมยไข่คลีโอพัตราสำเร็จเป็นใบแรกจากจำนวน 3 ใบ แต่แล้วฮาร์ตลีย์ก็ถูกบิชอป (รับบทโดย กัล กาด็อต Gal Gadot) ยอดโจรสาวหลอกจัดฉากจนต้องเข้าคุกไปพร้อมกับบูธ ทั้งคู่เลยต้องจำใจร่วมมือกันแหกคุกเพื่อออกล่าไข่คลีโอพัตราตัดหน้าบิชอป และ ล้างมลทินให้กับฮาร์ตลีย์ ดูหนังออนไลน์

ดูจากพล็อตแล้ว ‘Red Notice’ แทบจะเดินตามสูตรหนังจารกรรมทุกอย่างต่างกันเพียงแค่พอหนังต้องมีดเวย์น จอห์นสัน หรือเดอะร็อกแล้วก็เหมือนการดำเนินเรื่องต่าง ๆ ดูจะเป็นไปเพื่อรองรับมุกตลก ขายเสน่ห์นักแสดง และ ฉากแอ็กชันสุดระห่ำเป็นหลัก มากกว่าให้คนดูติดตามแผนอันชาญฉลาดหรือการหักมุมหักเหลี่ยมเฉือนคมไปมาเหมือนหนังจารกรรมในตำนานอย่าง ‘The Thomas Crown Affair’ ที่ผู้กำกับนำมาเป็นแรงบันดาลใจ

ซึ่งการวิเคราะห์ของผมมีข้อมูลประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ อย่างแรกดเวย์น จอห์นสันมีเครดิตเป็นเอ็กเช็กคิวทีฟโปรดิวเซอร์ (Executive Producer) ของหนัง และ การเลือก รอว์สัน มาร์แชล เธอร์เบอร์ (Rawson Marshall Thurber) ที่เคยร่วมงานกับจอห์นสันมาทั้ง ‘Central Intelligence’ และ ‘Skyscraper’ มาเขียนบท และ กำกับหนัง ต้องยอมรับอย่างนึงว่าเธอร์เบอร์ได้ทำให้ ‘Red Notice’ เต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนผสมผสาน และ ขายเสน่ห์นักแสดงดังที่กลายเป็นจุดขายสุดแข็งแรงของหนังโดยเฉพาะการรวมนักแสดงซูเปอร์ฮีโรทั้ง 2 ค่ายไว้ในหนังเรื่องเดียว หนังไทยnetflix

รีวิว Red Notice

ดังนั้นต่อให้เราดูไปแล้วรู้สึกว่าพล็อตเรื่องมันคุ้นแบบบอกไม่ถูก แถมจุดหักมุมก็ไม่ได้เกินคาดเพราะเชื่อว่าใครดูหนังแนวนี้มาเกิน 10 เรื่องก็น่าจะพอเดาออกตั้งแต่ครึ่งเรื่องแล้วแถมฉากโจรกรรมก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นหรือน่าเอาใจช่วยนักดังนั้นความบันเทิงหลักของ ‘Red Notice’ เลยมาจากการได้ดูดาราซุปตาร์โปรยเสน่ห์ใส่กันมากกว่า ซึ่งหนังก็เล่นหนักถึงขึ้นให้ตัวละครโนแลน บูธของไรอัน เรย์โนลด์สมีความเป็นแพนเซ็กช่วล (Pansexual) หรือความปรารถนาแบบไม่สนเพศ คล้ายตัวละครเดดพูลที่เรย์โนลด์สสวมบทบาทจนบรรดาสาววายดูแล้วน่าจะมีกรี๊ดกร๊าดกันไม่มากก็น้อยเวลาที่เห็นเขาอยู่ร่วมจอกับจอห์นสัน

ส่วนกัล กาด็อต ไม่ต้องพูดอะไรมากอยู่แล้วเพราะไม่ว่าเธอจะปรากฎกายในชุดราตรีสีแดงสุดร้อนแรงหรือชุดผจญภัยทะมัดทะแมง ทุกพื้นที่ก็พร้อมเป็นรันเวย์ให้เธอเสมอ และ แม้บทบิชอปของเธอจะดูไม่ค่อยมีบทบาทอะไรในเรื่องเป็นชิ้นเป็นอัน แต่หากขาดกาด็อตตัวหนัง ‘Red Notice’ คงขาดเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้คนดูติดหนึบอยู่หน้าจอ และ พูดคำว่า ‘สวยมาก’ ได้สิ้นเปลืองที่สุดในชีวิตขนาดนี้ ดูหนัง

สำหรับนักแสดงอีกคนที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น ริทู อาร์ยา นักแสดงที่มีเชื้อสายอินเดีย และ เริ่มทำให้คนดูคุ้นหน้าจาก ‘The Umbrella Academy’ ซีซัน 2 ซีรีส์จากคอมิกดังทางเน็ตฟลิกซ์ที่คราวนี้มารับบทตำรวจสายสืบที่ดูมีหน่วยก้านดีไม่น้อยเลย เสียดายเพียงแค่หนังดันไปขายเสน่ห์ของ 3 ดารานำเป็นหลัก และ หนักมือมาก ๆ เลยกลายเป็นว่าการแสดงของเธอที่ไม่ธรรมดากลายเป็นเพียงวิวข้างทางไปอย่างน่าเสียดาย

มีเนื้อเรื่องที่เป็นสูตรสำเร็จ ที่พอจะเดาทางได้ แต่ทำไมเวลาดูไปเรื่อย ๆ แอดมินถึงได้ร้องเฮ้ย!! ขึ้นมาบ่อยครั้ง ซึ่งมันก็มีจุดหักมุมให้เรารู้สึกพีคในพีคในพีคได้อยู่บ้าง หนังก็ออกแบบมาให้เป็นหนังที่ดูเพื่อความบันเทิง ดูสนุก ไม่เครียด ดูได้เพลิน ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางที่เซฟสุด ๆ ทำออกมาได้มาตรฐานหนังแอคชั่นติดคอมเมดี้ของ Netflix ไปเลยเต็ม ๆ

สรุปใน Red Notice

รีวิวหนังดัง แค่นักแสดงนำก็กินขาดไปแล้ว กับดาราฮอลลีวูดตัวท็อปแห่งวงการทั้ง 3 คน อย่าง ดเวน์ จอห์นสัน , ไรอัน เรย์โนลส์ และ กัล กาด็อท ที่ทำให้หนังมีจุดยืนที่แสนเฟอร์เฟค ด้วยการแสดงที่แสนจะมีเสน่ห์แพรวพราว โปรยเสน่ห์ใส่กันไม่มีว่างเว้น ซึ่งบทบาทของแต่ละคนก็สามารถดึงเอาจุดเด่นออกมาได้ดี โดยดเวย์น ได้รับบทเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอระดับสูงที่เราเองก็แสนจะคุ้นเคยกับภาพจำที่รับบทตำรวจมาตลอด ไรอัน ซึ่งรับบทเป็นหัวขโมย ซึ่งก็ใส่เต็มความมุกเยอะดูเป็นหนุ่มเสเพล ส่วนนักแสดงสาวพราวเสน่ห์อย่างกาด็อท รับบทเป็น บิชอป จอมโจรสาวที่สุดแสนจะเก่งกาจมากฝีมือ และ เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของทางการ เรียกว่าเลือกตัวนักแสดงมาได้ถูกคนมาก ๆ แม้ค่าตัวนักแสดงจะเกินตัวไปก็เถอะ หากใครได้ดูก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่แหละ

รีวิว Red Notice

ถือว่า Red Notice เป็นหนังแอคชั่นโจรกรรมที่มีเนื้อเรื่องสูตรสำเร็จ ดูได้เพลิน ๆ เพื่อความบันเทิงล้วน ๆ องค์ประกอบของหนังไม่ได้มีความแปลกใหม่ ฉากแอคชั่นมีมาให้ต่อเนื่อง แต่ไม่จัดเต็ม ไม่สมกับเป็นหนังที่มีนักแสดงระดับตำนานแบบนี้ และ ทุนสร้างก็สูงเกินโดยใช้ทุนอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านเหรียญฯ ฉากต่าง ๆ ถือว่าออกแบบออกมาได้ดี CG ยอดเยี่ยมมีความสมจริง ฉากแอคชั่นตู้มต้าม ไล่ล่ากันแบบไม่มีใครยอมใคร นักแสดงนำสามารถดึงดูดผู้คนในการรับชมได้มากกว่าหนัง ซึ่งหากใครเป็นแฟน ๆ ของเหล่านักแสดงนำนี้ ก็บอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะการแสดงที่ยอดเยี่ยม และ เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว ทำให้หนังดูมีความน่าสนใจดูแล้วไม่เบื่อ ดูหนัง

แอดมินขอเทคะแนนให้กับ Red Notice ที่ 7/10 ถือเป็นหนังขายเสน่ห์ของดารานำ และ ทำออกมาได้ดี ฉากแอคชั่นเทียบชั้นหนังโรงได้ เป็นหนังโจรกรรมที่ดูเบาไปนิดหากจะกล่าวถึงในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย และ หนังโจรกรรมที่ผ่าน ๆ มาดูเจาะเข้าไปในห้องลับได้ยากกว่านี้ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ใครหลาย ๆ คนเอะใจอยู่ไม่น้อยกับความเข้าห้องไปขโมยไข่คลีโอพัตราใบที่ 2 อย่างง่ายดาย การสลับฉาก และ เล่าเรื่องคล้าย ๆ หนังเก่าปี 2000 เล่าเรื่องได้ไหลลื่นไม่มีสะดุด เอาเป็นว่าหนังทำออกมาได้ดีน่าสนใจในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ก็อยากให้ทุกคนได้รับชมหนังเรื่องนี้ เพราะมันก็ไม่ได้แย่จนเกินไป สำหรับวันนี้แอดมิน ต้องขอจบการรีวิวหนังสนุก ๆ ไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่กับการรีวิวหนังเรื่องต่อไป สวัสดีค่ะ

จุดเด่น
– ขายเสน่ห์ทั้งดเวย์น จอห์นสัน กัล กาด็อต และ ไรอัน เรย์โนลด์ส ได้แพรวพราวมาก
– ฉากแอ็กชันดูดี เทียบชั้นหนังโรง

จุดสังเกต
– พลอตเรื่องคล้ายหนังจารกรรมเรื่องอื่น ๆ เดาง่ายมากว่าจะหักมุมไปทางไหน
– ภารกิจการปล้นดูง่ายไปหน่อย และ ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าที่ควร

ประเภทภาพยนตร์ : Action, comedy
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Rawson Marshall Thurber
ผู้เขียนบทภาพยนตร์ : Rawson Marshall Thurber
ค่ายหนัง/สตูดิโอ : Flynn Picture CompanySeven Bucks ProductionsBad Version, Inc.
คะแนนจาก IMDb : 6.4

รีวิว Mothering Sunday

รีวิว Mothering Sunday

รีวิว Mothering Sunday

รีวิวหนังดัง วันนี้แอดมินมาแนะนำหนังรักๆของทางอังกฤษ หนังเรื่อง Mothering Sunday เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่กำลังเป็นที่พูดถึงไม่น้อย ไม่ว่าจะด้านดีหรือร้าย แอดมินก็อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองไปสัมผัสกันเอง เป็นภาพยนตร์ของอังกฤษที่กำกับโดย Eva Hussonจากบทภาพยนตร์โดย Alice Birchซึ่งสร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันโดย Graham Swift มันดาราโอเดสซาหนุ่ม , Josh โอคอนเนอร์ ,โอลิเวียโคลแมน และ โคลินเฟิร์ ธ หยิบเอามาเล่า และ รีวิวกันเบา ๆ ในวันนี้ก็คือหนังเล็ก ๆ ที่เพิ่งจะลงจอให้เช่าชมกันที่ทรูไอดีในสัปดาห์นี้

นี่คือหนังโรแมนติกดราม่า จากอังกฤษที่ชื่อว่า “Mothering Sunday” อาจจะเป็นหนังที่อยู่นอกสายตาของผู้ชมไปสักหน่อย เพราะตัวหนังก็ไม่ได้มีกระแสโด่งดัง และนักแสดงที่เรียกคนดู แต่ปรากฏว่า ความละเมียดละไม และ ความสวยงามของหนังเรื่องนี้ กลายเป็นเสน่ห์ อันชวนหลงใหลได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่มาพร้อมกับการแสดง ที่น้อยแต่มากของทั้งทีมแคสติ้งเรื่องนี้ จะมีการฉายรอบปฐมทัศน์โลกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 ดูหนังออนไลน์

รีวิว Mothering Sunday

รีวิวหนังดัง Mothering Sunday ดัดแปลงมาจากนวนิยายโรแมนซ์ขายดีของ “เกรแฮม สวิฟต์” ที่มีชื่อเดียวกัน เล่าเรื่องราวของแม่บ้าน ประจำตระกูล ของบ้านนีเวน อย่าง เจน แฟร์ไชล์ด ที่มีชีวิตแสนเรียบร้อยในฐานะลูกจ้างในบ้านของนายท่านกับนายหญิง ในช่วงหลังสงครามโลกครั้ง 1 แต่ปรากฏว่า เบื้องลึกเบื้องหลัง ในวันหยุดงานที่แสนธรรมดานั้น เธอแอบซ่อนความลับ ในความสัมพันธ์ระหว่าง ชายคนหนึ่ง ที่มีฐานะ ที่สูงศักดิ์กว่า นั่นก็คือ พอล เชอร์ริ่งแฮม ทั้งแอบนัดกันไปมีสัมพันธ์ ลึกซึ้งสุดสวาท ในวันก่อนที่เขาจะต้องอำลาจากไป เพื่อเข้าพิธีแต่งงานกับคู่หมายที่เป็นหญิงอีกคน

หนังเรื่องนี้ถือได้ว่า ถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามราวกับบทกวี การเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ ไล่ลำดับความสำคัญเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ผ่านความคิดของละครต่าง ๆ ของเรื่องทำออกมาได้อย่างน่าชื่นชม ต้องขอบคุณวิสัยทัศน์พลังหญิงของผู้กำกับชาวฝรั่งเศส “เอวา ฮัซซัน” กับการดัดแปลงบทของ “อลิซ เบิร์ซ” ที่กลายเป็นการลงตัวของสมการโจทย์ของหนังเรื่องนี้ที่ออกมาอย่างคมคาย และ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่บาดซึมลึกเข้าไปเรื่อย ๆ หนังไทยnetflix

รีวิว Mothering Sunday

เสน่ห์ในหนัง Mothering Sunday ก็คือการเล่าเรื่อง ที่ใส่ความซับซ้อนเข้าไปแต่ไม่ทำให้ยุ่งเหยิง กับการเล่าเรื่องในมุมมองของตัวละครหลักที่ค่อย ๆ สอดแทรกในช่วงแต่ยุคสมัยนำมาประกอบร่างกันได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังได้ไดอะล็อก และ บทหนังคำพูดต่าง ๆ ที่ร้อยเรียงออกมาเป็นอย่างดี เหมือนกับบทกวี ดูหนัง ตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น ทำให้ภาษารักของหนังเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่งดงามไปตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่ามันจะถูกแทรกด้วย ความเจ็บปวดตลอดทางก็ตาม

แน่นอนว่า ไฮไลต์เด็ดดวงที่สุดของหนังเรื่องก็คือทีมนักแสดงแบบยกแฝง เรียกได้ว่า ทุกตัวละคร และ นักแสดงถ่ายทอดออกมาได้ดีหมด “โอเดสซา ยัง” อนุภาพ และ เสน่ห์ของเธอในหนังเรื่องนี้รุนแรงมาก เป็นหนังที่เหมือนจะไม่ได้ออกแรงมาก แต่เธอสามารถพยุงหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด และ ทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยท่างท่าการแสดงที่ให้มาแค่เล็กน้อยแต่ทรงพลังเหลือเกิน เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาแนวทางการแสดงไม่เบา

ขณะที่ “จอช โอคอนเนอร์” ก็เช่นเดียวกัน ที่มอบการแสดง แบบน้อยแต่มาก แสดงออกอินเนอร์ต่าง ๆ ออกมาจากท่วงท่า มากกว่าคำพูด และ เขาก็ทำได้ดี หนังยังมี 2 ตัวเป้ง “คอลิน เฟิร์ธ” กับ “โอลิเวีย โคลแมน” ร่วมสมทบด้วย และ การแสดงของนักแสดงระดับตำนานทั้ง 2 คนนี้ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่ยืนนิ่งส่งอารมณ์ก็บาดใจผู้ชมไปถึงก้นบึ้งไปเรียบร้อยแล้ว พวกเขาคือองค์ประกอบสมทบที่ช่วยเติมเต็มความเฉียบคมให้กับหนังเรื่องนี้โดยแท้

รีวิว Mothering Sunday

ถึงแม้ว่า Mothering Sunday อาจจะเป็นหนังรักที่ค่อย ๆ พาคนดูสำรวจตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อย ๆ ด้วยจังหวะที่ไม่ได้หวือหวาอะไรสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมาถึงบทสรุป ของหนังในช่วงท้ายนั้น กลับสามารถย่ำยีหัวใจคนดูไปได้เกือบแหลกเลยทีเดียว มีหลาย ๆ องค์ประกอบที่งดงาม ในหนังเรื่องนี้ แต่ก็ทำให้ชอกช้ำไม่น้อย เมื่อดำเนินเรื่อง มาถึงปลายทาง มันกลายเป็นหนังที่ดำเนินไปด้วยความเจ็บปวดที่น่าประทับใจจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม สำหรับเนื้อหาในหนัง Mothering Sunday อาจจะไม่เหมาะกับ ผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีสักเท่าไหร่ เนื่องจากมีภาพ และ ฉากที่ไม่เหมาะสม และ วาบหวิวทางการแสดงปะปนอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเป็นส่วนประกอบ ที่เหมาะสม และ เข้ากับตัวหนังได้เป็นอย่างดี โดยไม่ได้สื่อไปในเชิง อนาจารแต่อย่างใด ดูหนังออนไลน์ เพราะสุดท้ายหนังรักเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนคลื่น ทะเลที่คอย ซัดสาดเข้าใส่ ตัวเองทีละเรื่อย ๆ มีทั้งคลื่นอ่อน ๆ ที่ยังยืนได้กับคลื่นแรง ๆ ที่พาทำให้จะล้มเซได้อยู่เช่นกัน

สรุปใน Mothering Sunday

รีวิวหนังดัง ในเดือนมิถุนายนปี 2020 ได้มีการประกาศโอเดสซาหนุ่ม , Josh โอคอนเนอร์ , โอลิเวียโคลแมน และ โคลินเฟิร์ ธได้เข้าร่วมทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้กับอีว่าฮัสสันผู้กำกับจากบทภาพยนตร์โดยอลิซเบิร์ช ในเดือนกันยายน 2020 Sope Dirisuเข้าร่วมแสดงในภาพยนตร์ โดยLionsgateจะจัดจำหน่ายในสหราชอาณาจักร

การถ่ายภาพหลักเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน 2020 ในเดือนพฤษภาคม 2021 มีรายงานว่า เกลนดา แจ็กสันจะปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูหนัง

ปล่อย
ในเดือนกันยายน 2020 Sony Pictures Classicsได้รับสิทธิ์การจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในสหรัฐฯ จะมีรอบปฐมทัศน์โลกที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Mothering Sunday อุบัติรักวันแม่

นักแสดง
– โอเดสซา ยัง รับบท เจน แฟร์ไชลด์
– จอช โอคอนเนอร์ รับบท พอล เชอริงแฮม
– Olivia Colman รับบท นาง Niven
– Colin Firth รับบท คุณ Niven
– โซเป ดิริสุ รับบทเป็น โดนัลด์
– Glenda Jackson

ประเภท: โรแมนติก / ดราม่า
ผู้กำกับ: เอวา ฮัซซัน
ภาพยนตร์ เจมี่ แรมเซย์
แก้ไขโดย เอมิลี ออร์ซินี
บริษัทผู้ ผลิต ภาพยนตร์หมายเลข 9 , Film4 Productions , สื่อแยบยล , สถาบันภาพยนตร์อังกฤษ
จัดจำหน่ายโดย ไลออนส์เกต
นำแสดงโดย: โอเดสซา ยัง, จอช โอคอนเนอร์, คอลิน เฟิร์ธ
ความยาว: 100 นาที
กำหนดฉายในไทย: 30 มิถุนายน 2022 ( ที่ TrueID )

รีวิว The Man from Toronto

รีวิว The Man from Toronto

รีวิว The Man from Toronto

รีวิวหนังดัง สวัสดีครับวันนี้แอดมินจะมารีวิวหนังบู๊สุดดังที่ควรจะดังมากกว่านี้แต่ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังเกิดการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 เป็นอย่างหนักจึงทำให้หนังนี้ไม่ประสบคามสำเร็จเท่าที่ควร นึกว่าออกฉายไปหมดแล้วเสียอีก สำหรับหนังที่โดนโรคเลื่อนมาจากช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดหนัก แต่ก็ยังไม่หมดครับ ยังมีเรื่องนี้ล่ะ The Man From Toronto หนังของค่ายโซนี่ที่วางกำหนดฉายเดิมไว้ตั้งแต่พฤศจิกายน 2020 นู่นเลย แล้วก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก สุดท้ายขายให้ Netflix ไปซะดีกว่า ซึ่งก็เพิ่งสตรีมมิงไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน นี่เอง หนังไทยnetflix

รีวิว The Man from Toronto

รีวิวหนังดัง The Man From Toronto เป็นฉายาของนักฆ่า และ นักทรมานเหยื่อรีดข้อมูล รับบทโดย วูดดี้ ฮาร์เรลสัน เขารับงานจากนายหน้าหญิงคนเดิมมากว่า 20 ปี รับบทโดย เอลเล็น บาร์กิน จนเกิดเรื่องผิดคาดในวันหนึ่งเมื่อ โทรอนโตรับงานรีดข้อมูลจากเหยื่อที่กระท่อมหลังหนึ่ง แต่เผอิญที่ เท็ดดี้ แจ็กสัน รับบบทโดย เควิน ฮาร์ต เดินทางมาที่บ้านหลังนี้ก่อนเพราะดูบ้านเลขที่ผิด เข้าใจว่าเป็นกระท่อมที่เขาจะมาพักฉลองวันเกิดให้ภรรยา ทำให้ผู้ว่าจ้างเข้าใจผิดว่าเท็ดดี้เป็นโทรอนโต ซ้ำร้ายไปกว่านั้น FBI บุกบ้านที่เกิดเหตุ

แต่ผู้ว่าจ้างส่งภาพของเท็ดดี้ไปให้หัวหน้าใหญ่เรียบร้อยแล้วว่าบุคคลในภาพนี้คือโทรอนโต FBI จึงบังคับให้เท็ดดี้เป็นสาย สวมรอยเป็นโทรอนโตรับงานต่อเนื่องจากผู้ว่าจ้างเดิม เพื่อทาง FBI จะตามรวบตัวหัวหน้าใหญ่ ขณะเดียวกันโทรอนโตตัวจริงก็ตามสืบจนรู้ตัวตนของเท็ดดี้ และ มั่นใจว่าผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอย่างเท็ดดี้ต้องทำแผนการเละไม่เป็นท่าแน่ จึงตามไปในปฏิบัติการที่ 2 เพื่อต้องการเผยตัวตน และ ทวงงานคืน และ ทำให้ทราบว่าเบื้องหลังการว่าจ้างครั้งนี้คือแผนการใหญ่ระดับชาติ ถ้าทั้งคู่ปล่อยให้บอสใหญ่ทำตามแผนสำเร็จจะมีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก

จะว่าไป หนังแนวจับคู่ คนหนึ่งบู๊คนหนึ่งฮาแบบนี้ไม่เคยห่างหายไปจากฮอลลีวูดเลย เรื่องเด่น ๆ ที่พอจำกันได้ก็มี 48 Hrs (1982), Bad Boys (1995), Rush Hour (1998), Shanghai Noon (2000), Cop Out (2000),The Nice Guys (2016), Central Intelligence (2016) และ แม้กระทั่งตัวผู้กำกับ แพทริก ฮิวส์ (Patrick Hughes) เองก็เพิ่งผ่านหนังแนวคู่หูอย่าง The Hitman’s Bodyguard ที่เพิ่งมีภาค 2 ออกมาเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ก็คงเป็นสาเหตุให้เขาเป็นตัวเลือกให้รับหน้าที่กำกับเรื่องนี้กระมัง

ถ้าพิจารณากันที่เนื้อหาแล้ว หนังสามารถไปได้ในแนวแอ็กชันจริงจัง เพราะว่ากันด้วยเรื่องของโลกนักฆ่า ให้โทรอนโตนักฆ่ามืออาชีพต้องมาเจอกับวายร้ายบิ๊กเบิ้มที่มีแผนการร้ายระดับโลก ทำให้เขาเปลี่ยนใจมายับยั้งแผนการ นายหน้าจึงต้องส่งนักฆ่าอีกหลายคนมาตามเก็บเขาแทน

รีวิว The Man from Toronto

แต่หนังเลือกที่จะมาทางคอมเมดี้ ด้วยการให้นักฆ่าต้องจับคู่กับยูทูบเบอร์ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ออกมาเป็นภาพที่เราคุ้นตากันเป็นอย่างดี ฝ่ายหนึ่งพูดน้อยต่อยหนัก หน้าตาเคร่งเครียดตลอดเวลา อีกฝ่ายเป็นหนุ่มร่างเล็กเจ้าอารมณ์พูดไม่หยุด ซึ่งก็ได้ เควิน ฮาร์ต (Kevin Hart) นักแสดงผิวดำที่ถนัดมาก ๆ กับบทอย่างนี้ เรียกว่าบทเดิมเลยก็ได้ที่เขาแสดงร่วมกับ ดเวย์น จอห์นสัน ใน Central Intelligence

เมื่อหนังถูกตีกรอบให้อยู่ในเส้นทางคอมเมดี้ และ มีเรต PG-13 จำกัดอยู่ หนังก็เลยไม่มีภาพรุนแรงให้เห็น และ คำหยาบให้ได้ยิน พอมีฉากรุนแรง หนังก็จะตัดภาพหรือให้ดูแค่สีหน้าตัวละครแค่นั้นพอ แม้โทรอนโตผู้ช่ำชองในการทรมานรีดข้อมูลเหยื่อ แต่ทุกครั้งที่จะลงมือเหยื่อก็ใจเสาะคายความลับเสียก่อน ดูหนังออนไลน์

แล้วสุดท้ายบทก็พลิกบุคลิกให้โทรอนโตกลายเป็นหนุ่มจิตใจดีไปซะงั้นในครึ่งหลังของเรื่อง บรรดานักฆ่ารายอื่น ๆ ในเรื่อง ที่วางมาดวางฟอร์มมาเสียโหด แต่ก็ต้องเจอกับกฎเหล็กว่านี่คือหนังคอมเมดี้ ก็เลยกลายเป็นตัวตลกกันเสียหมด เสียท่าได้แม้กับตัวตลกเสียงดังอย่าง เท็ดดี้ แจ็กสัน โดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ประกอบทั้งสิ้น

ผลก็คือ The Man From Toronto กลายเป็นหนังที่ให้รสชาติจืดสนิท ไปได้ไม่สุดทั้งแอ็กชัน และ คอมเมดี้ ฉากแอ็กชันก็ไม่ได้ชวนลุ้นเอาใจช่วย เพราะผู้ร้ายแต่ละคนก็ดูช่างไร้พิษสง มีดีหน่อยก็ The Man From Miami ที่ปูทางมาดูโหดมีฉากแอ็กชันยาว ๆ ให้โชว์ และ นับว่าเป็นฉากที่ดีที่สุดในหนังแล้วล่ะ

แต่บทลงเอยของไมอามี่ก็ช่างงี่เง่าสิ้นดี ฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องดูเล่นใหญ่ใส่ระเบิดตูมตามแถมเล่นเทคนิคสุดคลาสสิกให้ตัวละครวิ่งแบบสโลว์โมชันก็ดูแบบผ่าน ๆ ไปไร้อารมณ์ร่วม หันมาดูพาร์ตคอมเมดี้ของหนัง ด้วยความยาว 1 ชั่วโมง 50 นาที หนังระดมยิงมุกถี่ ทั้งด้วยการแสดงแบบตั้งใจเอาฮาของ เควิน ฮาร์ต และ บทพูดที่ออกจากปากของเขาที่ล้วนทำได้แค่เพียงรอยยิ้มมุมปากระหว่างชมเท่านั้น ไม่มีมุกไหนเลยที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้สำเร็จ

ฉากที่น่าพอใจสุดกลับกลายเป็นฉากดราม่าแค่ส่วนเล็ก ๆ ที่แทรกอยู่ในหนัง เมื่อโทรอนโต และ เท็ดดี้ได้พูดคุยเปิดใจกัน ทำให้โทรอนโตได้เปิดเผยด้านซอฟต์ของตัวเองออกมา และ ฉากที่ได้เจอกับแอน สาวสวยที่เข้าหาโทรอนโตจนทำให้นักฆ่าอย่างเขาดูเป็นหนุ่มนิ่ม และ เขินอายได้ ดูหนังออนไลน์

ดูจบแล้วรู้สึกดีใจไปกับ เจสัน สตาแธม (Jason Statham) ที่มาทะเลาะกับผู้อำนวยการสร้างแล้วโบกมือลาโปรเจกต์ก่อนเปิดกล้องไปแค่ 6 สัปดาห์ ทีมงานจึงรีบติดต่อ วูดดี้ ฮาร์เรลสัน ให้มาเสียบบทแทน ซึ่งก็ต้องบอกว่าฮาร์เรลสันดูเหมาะดีกับบทนักฆ่าสายโหด แม้จะเข้าวัยเลข 6 แล้ว พี่แกก็ยังดูหนุ่มกว่าวัย ดูแลหุ่นดี เล่นฉากบู๊ได้ทะมัดทะแมง เพียงแต่ว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นผลงานด้านลบในเครดิตของพี่วูดดี้ซะมากกว่า ส่วน เควิน ฮาร์ต นั้นไม่มีอะไรให้พูดถึง เพราะได้บทเดิม ๆ ที่คุ้นตาผู้ชม

สรุป The Man from Toronto

รีวิวหนังดัง แนวแอคชั่น คอมเมดี้ อาชญกรรม เรื่องราวเกิดจากความเข้าใจผิดจนทำให้เท็ดดี้ต้องสวมรอยเป็นชายจากโตรอนโตนักฆ่าสุดโหด เท็ดดี้ตัวฮาของเรื่อง ชายที่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่างแต่กลับประสบความสำเร็จในการรีดเค้นข้อมูลเหยื่อซะอย่างนั้น ขณะที่ชายจากโตรอนโตก็จำต้องไว้ชีวิตเท็ดดี้ และ ร่วมมือด้วยเพราะลูกค้าดันได้รูปหน้าของเท็ดดี้ และ เข้าใจผิดว่าเท็ดดี้คือชายจากโตรอนโตไปแล้ว ดูหนัง

รีวิว The Man from Toronto

แต่การร่วมมือกันของทั้งคู่กลับก็นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีซะอย่างนั้น แม้หนังจะการดำเนินเรื่องเป็นไปตามสูตรหนังตลกแต่ก็ยังคงสนุกอยู่ดี เป็นหนังที่ดูได้เพลิน ๆ ระหว่างทานอาหารหรือก่อนเข้านอน ช่วยคลายเครียดได้เลย แม้หนังจะไม่ถึงกับฮาก๊ากสุดขีด แต่ก็ทำให้หลุดขำได้ตลอดทั้งเรื่อง และ เสียงพากย์ไทยก็ช่วยให้หนังตลกขึ้นด้วยค่ะ พากย์ไทยทำได้ดีมากจริง ๆ ดูหนัง

เอาเป็นว่า ถ้ามี The Man From Toronto อยู่ในรายชื่อหนังที่จะเลือกดู ขอให้ข้ามไปก่อนเลย เก็บเรื่องนี้ไว้ตอนที่ไม่มีอะไรจะดูแล้วจริง ๆ

จุดเด่น
– วูดดี้ ฮาร์เรลสัน ยังดูดีอยู่มากในวัย 60 ปี

จุดสังเกต
– ไม่สุดสักทาง ทั้งแอ็กชันก็ไม่ตื่นตา ชวนลุ้น คอมมีดี้ก็ไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้เลย
– ตัวร้ายในเรื่อง ปูมามีพิษสงดีแต่ก็กากล้วน ๆ ปราบง่ายหมด
– เควิน ฮาร์ต จำเจกับคาแรกเตอร์เดิม ๆ

– คะแนน 8.7/10

ชายจากโตรอนโต ก็เป็นหนังแอคชั่นคอมเมดี้อีกเรื่องที่เหมาะกับคนที่ชอบหนังบู๊ฮา ๆ ดูได้เพลิน ๆ คลายเครียดระหว่างวัน และ ขอแนะนำให้ดูแบบพากย์ไทยนะคะจะตลกขึ้นเยอะเลย สามารถดูเรื่องนี้ได้ทาง Netflix น้า

รีวิว The Exorcist

รีวิว The Exorcist

รีวิว The Exorcist

หนังไทยย้อนยุค สวัสดีครับวันนี้แอดมินมารีวิวหนังยุคเก่า ที่ยังได้รับความนิยมอย่างมากในเรื่องความนน่ากลัว นี่คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่หลอนน่ากลัวมาก ๆ และแอดมินกลัวมากๆตอนดูครั้งแรก สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงในเมืองเมาท์ เรเนียร์ รัฐแมริแลนด์ เมื่อปี 1949 เมื่อมีพิธีไล่ปีศาจในร่างของ ร็อบบี มานน์ไฮม์ เด็กชายอายุ 14 ปี อันเป็นเรื่องราวโด่งดังจนทำให้ วิลเลียม ปีเตอร์ บลาตลี ต้องหยิบยกเหตุการณ์นี้มาเขียนเป็นนิยายสยองขวัญในปี 1971 และ ติดอันดับ Best Seller จนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 1973 บลาตลีได้เสนอตัวเป็นโปรดิวเซอร์ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมีนักแสดงนำคือ เอลเลน เบอร์สติน, ลินดา แบลร์, แมกซ์ ฟอน ซีโดว์ และ เจสัน มิลเลอร์

รีวิว The Exorcist

รีวิวหนังดัง The Exorcist ว่าด้วยเรื่องของ เรแกน แม็กนีล สาวน้อยที่ถูกวิญญาณซาตานร้ายเข้าสิง คอยกัดกินจิตใจ และ ร่างกายของเธอ โดยในระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นภายในครอบครัว โดยเฉพาะกับตัวของเรแกน จนสุดท้ายครอบครัวต้องขอความช่วยเหลือจากโบสถ์ เพื่อเชิญบาทหลวงมากประสบการณ์มาช่วยไล่ผี

โดยในฉากไล่ผีที่เกิดขึ้นนั้น แต่ละซีนเรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของหนังผีหลายๆ เรื่อง หรือจะเรียกว่าเป็นซีนระดับตำนานเลยก็ว่าได้ ทั้งครีเอทีฟของความน่ากลัว การแสดงของสาวน้อยเรแกน เอฟเฟกต์บนใบหน้าที่ดูไม่เหลือเค้าเดิม จนทำให้คนตื่นเต้น และ ลุ้นระทึกกับความน่ากลัวที่ผสมผสานกันลงตัวอย่างบอกไม่ถูก ดูหนังออนไลน์

The Exorcist ทำรายได้ทั่วโลกไป 441 ล้านเหรียญสหรัฐ และ กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 10 สาขา และ ได้รับรางวัลในสาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ที่สำคัญที่สุด The Exorcist ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรก ที่หนังแนวสยองขวัญได้เข้าชิงออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

รีวิว The Exorcist

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ป๊อปคัลเจอร์ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้หนังสยองขวัญหลายต่อหลายเรื่องหลังจากนั้น และ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็ยังคงได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์สยองขวัญตลอดกาล ไม่ว่าจะโดย Entertainment Weekly, Movies.com, Time Out ล่าสุดในปี 2016 ทาง 20th Century Fox TV ได้นำเรื่องราวของ The Exorcist ไปพัฒนาเป็นซีรีส์ชื่อเดียวกันออกฉายทาง Fox TV ในเดือนกันยายนปี 2016

เดือนธันวาคมปี 1973 เอาให้ชัดกว่านั้น คือหนึ่งวันหลังวันคริสต์มาส ภาพยนตร์เรื่อง The Exorcist เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เพียงไม่กี่สิบโรงในสหรัฐอเมริกา เป็นหนังเล็กๆ ที่สร้างจากหนังสือที่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่ แต่ที่ไหนได้ หลังจากหนังเข้าฉายไม่นาน เสียงบอกต่อถึงความน่าสะพรึงกลัว และ ความรุนแรงทางอารมณ์

กลายเป็นจุดขายสำคัญที่ส่งหนังของผู้กำกับวีลเลียม ฟรีดกิน ให้กลายเป็นปรากฏการณ์หนังสยองขวัญสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชื่นชมความขนพองสยองเกล้า และ การที่หนังประจันหน้าท้าทายหลักศรัทธา และความเชื่อของศาสนาคริสต์อย่างจะแจ้ง

สุดท้ายหนังขยายโรง และ ทำเงินไปเกือบ 200 ล้านดอลล่าร์ เป็นหนึ่งในหนังผีที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล และ เป็นหนังผีเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขา Best Picture และ ยังเข้าชิงรวมทั้งหมดถึง 10 สาขา 47 กว่าปีผ่านไป The Exorcist ยังคงความสยองไม่เสื่อม และ ตอนนี้หนังผีคลาสสิกเรื่องนี้มีให้ชมใน Netflix ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา

รีวิว The Exorcist

ทำไม The Exorcist ถึงเป็นอมตะนิรันดร์กาล ทนทานต่อกาลเวลา และ ยังน่ากลัวกว่าหนังผีสมัยใหม่แทบทุกเรื่อง? ตอนออกฉาย หนึ่งในคำเตือนของโรงหนังบางแห่งคือห้ามเด็ก และ คนท้องเข้าชม มีรายงานคนดูที่เป็นลม อ้วกแตก หรือดูไม่จบต้องวิ่งหนีออกมาก่อน ดูหนัง

ในอังกฤษ หนังได้เรท X และ ถุกแบนห้ามฉายในหลายๆ จังหวัด เช่นกันหนังถูกห้ามฉายในประเทศอิสลามตะวันออกกลางแทบทุกประเทศ แม้แต่เทรลเลอร์สั้นๆ ของหนังก็ถูกแบนเช่นกันในหลายพื้นที่เพราะมัน “น่ากลัวเกินไป” (แต่หนังเรื่องนี้เข้าฉายในเมืองไทย

ผู้เขียนมีญาติผู้ใหญ่ที่ทันดูในโรง และ เล่าให้ฟังว่าคนดูหวาดกลัวหนังขนาดไหน และ เมื่อไม่กี่ปีก่อน The Exorcist กลับมาฉายที่โรงสหนังกาล่าในรอบพิเศษเพียงหนึ่งรอบในวันฮัลโลวีน) การที่หนังลงช่องสตรีมมิ่งใน พ.ศ. นี้ จีงเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ชมรุ่นใหม่ที่ไม่เคยดูหนังคลาสสิคสุดอื้อฉาวเรื่องนี้

สรุป The Exorcist

รีวิวหนังดัง เรื่องราวใน The Exorcist ไม่ซับซ้อนเลย หนังสร้างจากหนังสือที่อ้างอิงจากเรื่องจริง ว่าด้วยเด็กสาววัย 12 ปี หน้าตาน่ารัก ชื่อ เรแกน (แสดงโดยดาราเด็ก ลินดา แบลร์) ที่ถูกปีศาจเข้าสิง หนังแทบทั้งเรื่องเป็นเรื่องของการไล่ผีโดยบาทหลวงสองรูปสองวัย ที่ใช้เทคนิควิธีการต่างๆ ทั้งขู่ทั้งปลอบ ทั้งไม้แข็งไม้อ่อน ทั้งสวดภาวนา และ ขู่เข็ญ

แต่เพราะผีที่สิงเมแกนช่างโหดเหี้ยม และ เป็นอวตารของปีศาจจากขุมนรกอันชั่วร้าย บาทหลวงทั้งสองรูปพบว่า พลังของบทสวด พลังของศาสนจักร และ พลังแห่งศรัทธาทั้งหลายแหล่ที่พร่ำสอนกันมาว่าเอาชนะความชั่วร้ายทุกอย่างได้ กลับไม่สามารถทำปัดเป่าผีร้ายให้ออกจากร่าง ไม่แม้แต่จะทำให้มันระคายเคือง ปีศาจเล่นงานเมแกนแบบวายป่วง ทั้งทำให้หน้าตาเธอเละเหมือนศพ

ทำให้เธอพ่นเมือกเขียวใส่คนรอบข้าง บิดหัว หักคอ กระแทกเธอกับเตียง และ กระทำการลบหลู่ไม้กางเขนอย่างอุจาดตา ฉากผีสิงเรแกนที่หนังดีไซน์มาอย่างละเอียด เป็นหนึ่งในสาเหตุที่หนังโดนแบนจากหลายประเทศ ทำให้หนังอื้อฉาว และ ถึงขั้นถูกมองว่าเป็นหนังต่อต้านศาสนาและสรรเสริญพลังของผีห่าซาตาน ฉากเหล่านี้เป็นฉากที่ทารุณจิตใจคนดูขวัญอ่อนอย่างที่หนังผีสมัยใหม่ยังทำได้ไม่ดิบ และ ไม่แรงเท่า

ภาพในหนังอาจจะดูรุนแรง และ ยิ่งรุนแรงเพราะเหยื่อในที่นี้คือเด็กผู้หญิงวัย 12 ปี ที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า (ผู้เขียนเชื่อว่า หนังเรื่องนี้คงสร้างในสมัยนี้ไม่ได้ ด้วยค่านิยมในสังคมอเมริกาที่เปลี่ยนไป) แต่สิ่งที่รุนแรงยิ่งกว่าภาพที่เราเห็น คือการที่หนังทำให้เห็นความล้มเหลวของศรัทธา และ ลิดรอนรากฐานของความเชื่อในศาสนาคริสต์จนเปลี้ยง่อย ดูหนัง

เมื่อบาทหลวงทั้งสองจนมุม และ ตกเป็นเบี้ยล่างให้กับพลังดึกดำบรรพ์ที่ควบคุมไม่ได้ อเมริกาในปี 1973 ที่หนังออกฉาย ยังเป็นช่วงเวลาของความสั่นคลอนทางศีลธรรม เมื่อความชั่วร้ายในรูปแบบต่างๆ ถูกแสดงออกให้เห็นตำตา ทั้งคดี Watergate ของประธานาธิบดีนิสัน

ทั้งความโหดร้ายของสงครามเวียดนาม ทั้งความวิตกต่ออาชญากรรม และ อำนาจมืดต่างๆ และ สภาพสังคมที่ยังหาแสงสว่างไม่เจอ เหล่านี้ทำให้ปีศาจใน The Exorcist เป็นทั้งปีศาจจริงๆ และ เป็นภาพแทนของความตกต่ำทางศีลธรรมที่แม้แต่นักบวช และ ศาสนาซึ่งน่าจะเป็นผู้ไถ่ถอนชำระบาป กลับไร้พลังความสามารถ ล้มเหลวแม้แต่ในความพยายามจะช่วยเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

รับรองได้ว่า ถึงเวลาจะผ่านไป The Exorcist ยังคงความขนลุกขนพอง ความน่าเกลียดน่ากลัว และ ทำให้คนดูหนังที่ว่าจิตแข็งนักหนาต้องหวั่นไหวไปกับภาพ เสียง และ อารมณ์ถาโถม อิทธิพลของหนังยังส่งต่อมาถึงทุกวันนี้ในฉากสยองขวัญของหนังหลายๆ เรื่อง ทั้งไทย และ เทศ ทั้งฉากบิดหัว ฉาก “สะพานโค้ง” และ ฉากไล่ผีที่อึมครึม และ อึดอัด ไม่มีหนังผีเรื่องไหน ที่ไม่คารวะ หรืออยู่ใต้เงาสะพรึงของ The Exorcist

ถ้าไม่เคยดู ก็ไม่ต้องรอต่อไป ถ้าเคยดูแล้ว ปิดไฟตอนเที่ยงคืนแล้วดูซ้ำอีกรอบ ถ้ามั่นใจว่าดูจบแล้วจะนอนหลับได้ ดูหนังออนไลน์