Category Archives: รวมรีวิว

รีวิว Thor 2

รีวิว Thor 2

รีวิว Thor 2

หนังไทยย้อนยุค แอดนั้นชอบอย่างมากฮีโร่ตัวนี้ในวันนี้แอดจึงจะมาแนะนำธอร์หนังเทพเจ้าฮีโร่สุดเท่ที่อยากให้ทุกๆคนได้ดู แต่แล้วในที่สุด ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อที่ทุกคนรอคอยก็ได้เวลาเข้าโรงมาฉายให้ได้ดูกันสักที ‘Thor The Dark World’ คือ ภาคที่สองของเทพเจ้าสายฟ้าที่มีค้อนมหาประลัยเป็นอาวุธคู่กาย แต่มันก็ไม่ได้ภาคสองเสียทีเดียว เพราะมันเป็นเรื่องราวต่อจาก ‘The Avengers’ มาอีกทีหนึ่งนั่นเอง

ใครๆ ก็รู้ว่า Marvel Studios คือเจ้าของแฟรนไชส์ของธอร์ (Thor) และ ซูเปอร์ฮีโร่อีกหลายๆ ตัว แต่ธอร์ดูจะเป็นตัวที่อยู่ในโลกที่ประหลาดสุดแล้ว เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นถึงเทพเจ้า (แม้ผู้กำกับมักจะมองว่าพวกนี้เป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำกว่ามนุษย์ก็ตามที) และ พวกเขาก็ร่วมอยู่ในระบบสุริยะเดียวกันกับเรา แต่ผมยังเดาไม่ได้ว่า ดาวของพวกเขาคือดาวไหนเท่านั้นเอง ดูหนัง

กลับมาต่อกันที่ภาคสองของหนังฮีโร่มาร์เวล Thor กันนะครับ หลังจากที่ภาคแรกสร้างตำนานบทใหม่ และ ความประทับใจไปทั่วโลก และ ภาคนี้ธอร์จะกลับมาสานต่อความมันส์ในรูปแบบที่ดาร์คกว่าเก่า และ ในภาคนี้ก็มีเรื่องราวต่อจากภาพยนตร์ The Avengers นั่นเองครับ

รีวิว Thor 2

รีวิวหนังดัง หนังเล่าต่อจากภาคแรก เมื่อธอร์ (Chris Hemsworth) ที่ร่วมมือกับทีมอเวนเจอร์ส โดยการปกป้องโลกรวมถึงดินแดนทั้ง 9 จากศัตรูที่ต้องการจะยึดจักรวาล เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเหมือนความสงบสุขจะตามมา ก็ใช่ว่าเรื่องจะจบ จักรวาลยังมีศัตรูที่ร้ายกาจอยู่นั่นคือมาเลคิธ (Christopher Eccleston) เขาต้องการให้จักรวาลต้องพบความสิ้นหวัง และ เข้าสู่ความมืดอีกครั้ง มีฤทธิ์ร้ายกาจชนิดที่ว่า โอดิน (Anthony Hopkins) ราชาแห่งแอสการ์ดก็ไม่สามารถต่อกรได้ ธอร์เมื่อรู้เรื่องเข้าก็ดับเครื่องชนทันทีโดยได้รับความร่วมมือจากโลกิ (Tom Hiddleston) น้องชายที่เคยเป็นคู่ปรับกันในภาคแรก และ ทำให้เขาได้มีโกาสพบกับ เจน ฟอสเตอร์ (Natalie Portman) หญิงคนรักอีกครั้ง

เปิดเรื่องมาก็ซัดกันนัวเลยครับ เพราะไม่ต้องมาเสียเวลาเล่าเรื่องภูมิหลังของนักแสดงนำอีก หนังเกริ่นให้เห็นว่า มาเลคิธต้องการใช้พลังที่เรียกว่าอีเธอร์ อำนาจของอีเธอร์จะสามารถทำให้จักรวาลกลับสู่ความมืดมิดได้อีกครั้ง แต่ในครั้งแรกแอสการ์ดสามารถยับยั้ง และ นำอีเธอร์ขุมพลังเจ้าปัญหาไปซ่อนไว้ เพราะมันทำลายไม่ได้

ภาคนี้ต้องการสื่อว่าดาร์คสมชื่อ หนังให้น้ำหนักไปกับการทำสงคราม เลยทำให้หนังมีความเข้มข้นน่าตื่นเต้นกว่าภาคแรก เพราะศัตรูใหม่ที่กำลังคลืบคลานเข้ามา มีพลังอำนาจร้ายกาจ แน่นอนว่าถูกใจแฟนธอร์แน่นอน เพราะธอร์จะไม่ได้เกรียนแตกเหมือนภาคแรกอีกต่อไป เขาคือธอร์ชายที่เติบโต และ มีคุณสมบัติที่จะเป็นราชา และ ภาคนี้หนังจะเน้นไซไฟผสมผสานกับวามแฟนตาซีมากขึ้นกว่าเก่า

ไม่ใช่แค่ความแฟนตาซีไซไฟอย่างเดียวนะครับที่จะมีให้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ หนังยังแทรกมุกตลกโปกฮาตามฉบับมาร์เวลมาด้วย แต่มันอาจจะดูเหมือนตลกร้าย แต่ก็เป็นตลกร้ายที่ทำให้ขำได้ไม่ขาดสายแน่นอน และ ที่มาสร้างสีสันได้เป็นอย่างดีก็คือทอม ฮิลเดลตัน ที่มาเป็นคู่กัดกับธอร์เหมือนเดิม เหมือนพี่น้องทะเลาะกันทั่วไปเลยครับ จากเดิมที่ผมชอบโลกิอยู่แล้ว ภาคนี้ผมชอบมากกว่าเดิมอีก เพราะหนังกำลังทำให้เรารู้จักโลกิมากยิ่งขึ้น ในภาคแรกที่โลกิพยายามที่จะยึดบัลลังค์ และ มีความแค้นต่อธอร์ มีความเย็นชาเหมือนไร้หัวใจ แต่ที่จริงแล้วโลกิเหมือนมีนิสัยชอบเก็บงำความรู้สึก ไม่แสดงออกให้เห็นถึงความอ่อนแอ

รีวิว Thor 2

ฉากสงครามที่มีมากขึ้นในภาคนี้แสดงให้เห็นถึงเนื้อเรื่องที่เข้มข้น แต่ฉากเครื่องบินที่บินกันเต็มน่านฟ้าแอสการ์ดคือความแอ็คชั่นแฟนตาซีที่ผู้กำกับเน้นความสวยงามเป็นพิเศษ แต่ก็ยังไม่สุดเท่าไหร่นัก

คะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 หนังเข้มข้นขึ้นเพราะศัตรูตัวฉกาจที่ยากจะรับมือ และ เราจะได้เห็นพี่น้องที่เคยตีกันกลับมาร่วมแรงร่วมใจอีกครั้ง ทำให้เสน่ห์ของหนังมีเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ภาคนี้เราอาจจะไม่เห็นฉากโรแมนติคเท่าที่ต้องการ แถมหนังต้องการให้ครบทุกรสชาติเพื่อให้เกิดความดราม่ามากยิ่งกว่าเก่าโดยการที่มีตัวละครสำคัญตาย

คะแนนเอฟเฟคต์ 10/10 ภาคนี้หนังได้คะแนนเอฟเฟคต์เต็มไปเลยครับ หนังเน้นที่ความดาร์คของดวงดาว อารมณ์ดาร์คบลูนะครับ ไม่ได้ไซไฟแฟนตาซีโดดเด่น แต่ว่าภาพสวยถูกใจแน่นอน ฉากการต่อสู้ในต่างดาวคือจิตนาการใหม่ ๆ ที่ทีมงานต้องการสื่อนั่นเอง และ สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของเอฟเฟคต์ในภาคนี้คือซากปรักหักพังของยานอวกาศที่อยู่บนดาวที่ธอร์จะสู้กับศัตรู

หนังเรื่องนี้มีฉายในหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น 4DX, IMAX 3D รวมทั้ง Digital ที่มีระบบเสียงแบบ ATMOS ผมเองมีโอกาสได้ชมในแบบ IMAX 3D ซึ่งก็พบว่า ได้ความสะใจของจอฉายขนาดใหญ่ แต่ระบบเสียงยังไม่หนำใจนัก ขณะที่ภาพในแบบ 3D ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นประทับใจมากเท่าไร แต่ถ้าพูดถึงระบบความเนียนของ CG ก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควรแหละครับ เว็บหนัง

สรุปใน Thor 2

รีวิวหนังดัง ในด้านของเนื้อเรื่องนั้น ก็จัดได้ว่าภาคนี้เน้นหนักไปที่การสงครามมากขึ้น ทำให้เรื่องราวดูตื่นเต้น และ เข้มข้นมากขึ้น มีฉากแอ็คชั่นมากขึ้น ซึ่งดู ๆ ไปก็อาจจะรู้สึกได้ว่า เหมือนกำลังดู Star Wars ภาคเทพเจ้าอยู่ยังไงยังงั้น แถมยังมีนางเอกเป็น Natalie Portman ยิ่งใช่เข้าไปใหญ่เลยนะเนี่ย

และ เมื่อหนังเป็นช่วงสงคราม ชุดเกราะจีงดูเก่า ๆ ไม่เงาวิ้งอย่างภาคแรก ทั้งนี้เพราะภาคใหม่นี้เป็นฝีมือการกำกับของ Alan Taylor ผู้มีเครดิตมาจากงานกำกับ Game of Thrones นั่นเอง สเปเชี่ยลเอฟเฟกตส์อลังการตระการตา ภาคนี้ เราได้เห็นว่า หนังแอ็คชั่นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีมุขตลกติดมาด้วย ทำให้เราสนุกสนานกับการติดตามเนื้อเรื่องยังไง จริง ๆ แล้ว เป็นส่วนผสมที่เคยใช้จนประสบความสำเร็จมาแล้วใน Iron Man นั่นแหละ

โลกิ กลายเป็นตัวละครที่แย่งซีนทุกตัวในภาคนี้ เขาสร้างสีสันให้กับเรื่องราวทุกช่วง มันคงจะหมดสีสันไปเลยทีเดียวหากไม่มีตัวละครนี้ แถมยังปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นตัวละครที่กวนตีนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ช็อตดราม่ากลับไม่สามารถทำเราอินได้เท่าไหร่ เว็บดูหนัง

รีวิว Thor 2

ตามสไตล์หนังของมาร์เวล นั่งรอดูจนหมด End Credit คุณจะได้พบกับของแถมปรากฏอยู่ 2 จุด หลังรายชื่อตัวละครที่มาพร้อมกับกราฟิกสไตล์ภาพวาด 3 มิติ และ ท้ายสุดหลังเครดิตคนทำงานอันมากมายมหาศาลก็จะพบได้อีกจุด

ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์

1. โลกิผู้เย็นชาก็มีหัวใจ ภาคนี้โลกิต้องพบกับความสูญเสียคนที่เขารักที่สุด นั่นทำให้เราได้เห็นมุมอ่อนแอของโลกิว่าเขาก็มีหัวใจ มีความรัก และ ความรู้สึก เพียงแค่เขาไม่ต้องการให้ใครเห็นความอ่อนแอ

2. สายสัมพันธ์ของพี่น้อง ภาคนี้ธอร์ และ โลกิหันหน้ามาคุยกันในฐานะพี่น้องมากขึ้น ทำให้เราได้เห็นมุมที่อบอุ่นของทั้งคู่ เพราะทั้งคู่เคยตีกันในภาคแรก และ ภาคนี้ก็กลับมาร่วมมือกันสามัคคีกันครับ

ภาคนี้หนังจะเน้นความดาร์คหน่อยนะครับ แต่หนังแฝงความเข้มข้น และ สาระไว้หลาย ๆ อย่าง เราจะได้เห็นธอร์ชายหนุ่มที่มีความสุขุมนุ่มลึกมากกว่าเดิม เพราะภาคที่แล้วเขาใจร้อน และ เกรียนเหลือเกิน

ชื่อภาพยนตร์: Thor: The Dark World / ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าโลกาทมิฬ
ผู้กำกับภาพยนตร์: Alan Taylor
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Christopher Yost (screenplay), Christopher Markus (screenplay), Stephen McFeely (screenplay), Don Payne (story), Robert Rodat (story), Stan Lee (comic book), Larry Lieber (comic book), Jack Kirby (comic book)
นักแสดงนำ: Chris Hemsworth, Natalie Portman, Tom Hiddleston, Anthony Hopkins, Christopher Eccleston
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Fantasy
ความยาว: 112 นาที
เรท: ไทย/ , USA/PG-13
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 7 พฤศจิกายน 2556
ผู้สร้าง/สตูดิโอ/ผู้จัดจำหน่าย: Marvel Entertainment, Marvel Studios

รีวิว Thor 1

รีวิว Thor 1

รีวิว Thor 1

หนังไทยย้อนยุค กราบสวัสดีครับ นักอ่าน Marvel comic ทุกท่านทั้งหลาย วันนี้แอดจะมาแนะนำหนัง มาเวล สุดมันอย่างเทพสายฟ้าธอร์นั้นเอง นเนื่องจากผมได้รับอภินันทนาการ จาก Star Movies Thailand เป็นบัตรชม Thor 3D รอบพิเศษมาเมื่อคืน ผมและ Doc Holliday ก็ได้ไปดูมาเรียบร้อย ทีนี้ก็ขอพูดถึงซะหน่อย อาจจะมี Spoil นะครับ

ในช่วงแรกที่ Thor โปรโมทผมชอบมากในเรื่องชุดการแต่งกายของ Thor ที่มันดูไม่โบราณจนเกินไป และ มาดเท่ ๆ ของพระเอกแต่พอได้เห็นตัวอย่างแรกผมชักจะลังเล ว่าจะไปดูดีไหม เพราะทุกอย่างมันดูธรรมดามาก ไม่ดึงดูดเหมือนตัวอย่างหนังทั่วไป และ ตัวอย่างหลาย ๆ อันที่ออกมาก็ตอกย้ำความคิดผมว่า ไม่ไปดูมันล่ะ ดูหนัง

รีวิว Thor 1

รีวิวหนังดัง พอเข้าสู่มนุษย์โลก ความสนุกก็เริ่มมาไม่หยุดหย่อนครับ มีการใส่มุขตลกฮา ๆ ที่เราจะเห็นได้ใน Iron Man และ ความเฉิ่ม ๆ ของ Thor ที่ยังคงกร่างไม่เลิกเมื่อมาถึงโลก หนังเริ่มตัดสลับไปมา ระหว่างโลก และ Asgard แต่ไม่สะดุดหรืออึดอัดเหมือนช่วงแรกครับ ลงตัวพอดี การอธิบายตำนานเทพเจ้าให้เป็นวิทยาศาสตร์ ผมว่าโอเคเลยล่ะ ในหนังมีฮีโร่รับเชิญหนึ่งคนขอไม่บอกว่าเป็นใครให้ไปลุ้นในหนังเอา และ มีมีการเอ่ยชื่อ Tony Stark และ Bruce Banner แบบอ้อม ๆ ให้เราต้องอมยิ้ม

หลังจากได้ยินเสียงตอบรับในทำนองชื่นชม ต่อภาพยนตร์เรื่องนี้หนาหู ประกอบกับซื้อบัตรล่วงหน้าไว้ใบนึง เมื่อหนังเข้าฉาย ก็ต้องตามไปดูจนได้ ‘Thor’ หรือ ‘ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า’ จึงได้เป็นภาพยนตร์เรื่องล่าที่ข้าพเจ้า นายแพท จ่ายเงินเข้าไปดูในโรงมาในวันนี้

ผมเดินทางจากบ้านด้วยรถไฟฟ้า มุ่งหน้าสู่โรงภาพยนตร์อลังการ Paragon Cineplex เจ้าเก่าเจ้าเดิม จากที่คิดว่าจะชมโรงธรรมดา ไป ๆ มา ๆ คนซื้อตั๋วกันเยอะจนต้องหลีกไปชมในโรง Digital 3D แทน เอาน่า แพงหน่อย แต่ก็ได้ลองดูกับแว่นตา 3 มิติก็แล้วกัน…

รีวิว Thor 1

หนังจากหนังสือการ์ตูนในเครือมาร์เวลมักจะมีแต่ซูเปอร์ฮีโร่ แต่ครั้งนี้ ธอร์ดูเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ เพราะเขาดูเป็นบุตรของเทพเจ้า เรื่องราวมันจึงดูเป็นหนังแฟนตาซีกึ่งเทพนิยายเสียมากกว่า จนดูงง ๆ ว่า ถ้าเอามารวมกันเป็นทีม ‘The Avengers’ มันจะลักลั่นเกินไปหรือเปล่า

Thor (Chris Hemsworth) บุรุษหล่อร่างกายกำยำ ชนิดที่ผู้หญิงทุกคนที่ได้ดูต้องเข็ดฟันกันไปตาม ๆ กัน เขาเป็นทายาทของเทพเจ้า Odin (Anthony Hopkins) บิดาผู้ปกครองแอสการ์ด และ บิดาของธอร์นี่ล่ะ ที่หวังรวมอาณาจักรทั้งเก้าให้เป็นหนึ่ง บุกไปยังดินแดนน้ำแข็งนามโยธันไฮม์ ขนาดยึดอาวุธของพวกมันมาเก็บไว้ได้ แต่บุตรชายที่มีสองคนต่างหากที่จะเป็นตัวแปร

ทั้งธอร์ และ โลกิ ต่างก็บุตรชายผู้ถูกคาดหวังให้สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ต่อจากผู้พ่อ แต่ผู้รับสืบทอดมีได้เพียงคนเดียว ดูท่าทางธอร์จะได้รับความไว้วางใจให้สืบทอดมากกว่า แต่ความหุนหันพลันแล่น กระทำการใดๆ โดยไร้ความยั้งคิด นั่นทำให้บิดาของเขาหวั่นใจจะส่งต่อบัลลังก์ให้ ขณะที่โลกิก็ดูจะหวังในบัลลังก์นี้เช่นกัน ต่อหน้านั้นดูจริงใจต่อธอร์ แต่สหายทั้งหลายก็ไม่มีใครไว้ใจทายาทผู้เจ้าเล่ห์คนนี้เลย

ความหุนหันพลันแล้วของธอร์ ทำให้เขาเลือกบุกดินแดนที่เอาชนะได้ยาก ซึ่งนั่นเป็นการก่อสงครามใหญ่ครั้งใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้ราชาโอดินคิดว่า เขายังไม่เหมาะในเวลานี้ จึงเนรเทศเขาไปยังโลกเพื่อให้ปรับปรุงนิสัยเสียก่อน พร้อมอาวุธค้อนมหาประลัยที่จะยังใช้ไม่ได้หากไม่ถึงเวลา เว็บหนัง

และ บนโลก เขาได้พบกับนางเอก Jane Foster (Natalie Portman) นักวิทยาศาสตร์สาวสวยกระทบใจเทพเจ้าขุนค้อน… ด้วยพล็อตที่อาจเรียกได้ว่า ไม่มีอะไรมากนัก เน้นย้ำไปที่เรื่องราวบนโลกของเทพเป็นหลัก และ ใช้โลกมนุษย์เป็นเหมือนสถานกักกันให้เทพ “ได้คิด” ความสัมพันธ์ของพระ และ นางที่ดูไร้น้ำหนักเกินไป ที่จะทำให้เทพสักตนเกิดพัฒนาการทางความคิด แต่นั่นกลับส่งผลต่อเรื่องทั้งหมดหลังจากนั้น

สรุป Thor 1

รีวิวหนังดัง ในส่วนของการดำเนินเรื่อง ทำได้ไม่น่าเบื่อ ติดตามเรื่องได้เรื่อย ๆ มีมุขตลกขำ ๆ แซมบ้าง ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ดี แต่เรื่องความสนุก กลับไม่มีคำตอบในด้านนี้ให้มากนัก ฉากแอ็คชั่นที่ควรสร้างมาให้คนดูได้ลุ้นก็มีไม่มากนัก เพราะใช้เวลาไปกับการดำเนินเรื่องเสียมากกว่า หรือมาก็เพียงช็อตสั้น ๆ แล้วก็ไปต่อ หากในด้านของ CG หรืองานด้านภาพนับว่า ทำได้เนียนสวยไร้ที่ติจริง ๆ

แม้เราอาจจะไม่ได้รู้จักผลงานของผู้กำกับฯ Kenneth Branagh คนนี้มากนัก (แต่เขามีชื่อในทั้งด้านงานแสดง และ กำกับฯ เลยเชียวนะ) และ เราอาจไม่ได้รู้จักพระเอกหุ่นล่ำ Chris Hemsworth คนนี้เท่าไหร่ แต่การแสดงของนางเอกระดับออสการ์อย่าง Natalie Portman ในเรื่องนี้ ก็สะกดใจคนดูไปได้อย่างเพียบ นอกจากความสวย ยิ้มหวาน ๆ แล้ว ช็อตเปิ่น ๆ เขิน ๆ อาย ๆ เธอก็ทำได้อย่างดี และ เป็นสีสันหนึ่งของหนังเรื่องนี้ไปอย่างปฏิเสธไม่ลง

รีวิว Thor 1

แต่ช็อตที่น่าประทับใจที่สุด กลับเป็นช่วงเครดิตปิดท้าย ภาพของเอกภพในรูปแบบ 3 มิตินั้นสวยสดงดงามยิ่ง ขณะที่ฉาก 3 มิติในตัวหนังกลับไม่มากนักที่น่าสนใจ ยิ่งช่วงไหนเป็นแค่ช็อตเล่าเรื่องธรรมดา ๆ ซึ่งก็กินไปเกือบครึ่งเรื่อง ความจำเป็นของ 3 มิติยิ่งแทบไม่เห็น หากคุณเลือกดูหนังเรื่องนี้ รอบ และ โรง 3 มิติหาใช่สิ่งจำเป็นไม่ต่ออรรถรสการรับชม เว็บดูหนัง

อย่าลืมดูหนังจนจบเครดิต แล้วจะพบกับอีกฉากที่ซ่อนไว้ เพื่อนำไปสู่ภาพยนตร์เรื่องถัด ๆ ไปของ Marvel

ชื่อภาพยนตร์ : Thor / ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Kenneth Branagh
ผู้เขียนบทภาพยนตร์ : Ashley Miller (screenplay), Zack Stentz (screenplay), Don Payne (screenplay), J. Michael Straczynski (story), Mark Protosevich (story)
นักแสดงนำ : Chris Hemsworth, Tom Hiddleston, Natalie Portman, Anthony Hopkins, Jaimie Alexander
แนว/ประเภท : Action, Fantasy, Adventure
เรท : USA PG-13 , ไทย น15+
ความยาว : 114 นาที
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย : 28 เมษายน 2554
ปี : 2011

รีวิว Iron Man 3

รีวิว Iron Man 3

รีวิว Iron Man 3

หนังไทยnetflix หนังไอร่อนแมนสุดมันนััน จนตอนนี้ก็ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วอย่างภาค 3 นั้น หรือก็คือภาคสุดท้าย กันแล้วนะครับ ต้องบอกว่าสำหรับแอดมินนั้น นี่คือภาคที่ดีที่สุดของไอรอนแมน เลยก็ว่าได้ เพราะว่าหนังมีครบทุกรส ไม่ได้ดราม่าโดดหรือแอ็คชั่นโดดเหมือนเดิมแล้ว 1 ปีเต็ม ๆ ! นับตั้งแต่วันที่ Avengers ฉาย แฟน ๆคอมิคนั่งจ้องปฏิธินกันอย่างใจจด ใจจ่อ รอการมาเยือน ของหนังเรื่องนี้ ผมก็เป็๋นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

จนวันที่ 1 พฤษภาคมนี้มาถึง เราแฟน ๆ ไออ้อนแมนทุก ๆ คนก็ร่วมแห่กันไป ยังหน้าโรงภาพยนตร์ทั้งโดยที่นัดหมาย และ ไม่ได้นัดหมาย วาดหวังไว้อย่างสูง ถึงหนังที่กำลังจะได้รับชม ผ่านไปสองชั่วโมงนิด ๆ ทุก ๆ คนก็ออกจากโรงภาพยนตร์ คนส่วนมาก เดินออกมา พร้อมรอยยิ้ม แต่มีผมเพียงคนเดียว หรืออย่างไรที่เดินออกมาพร้อม…..สีหน้า poker face

นับเป็นภาคที่ 3 แล้ว สำหรับมหาเศรษฐี หนุ่มหน้าแก่พร้อมชุดเกราะ รบสุดไฮเทค เหตุการณ์ในเรื่องนั้น เป็นผลกระทบ ที่ตามมาจากเหตุการณ์ใน Avengers โดยตรง หลังจากที่เอเลี่ยน Chitauri บุกถล่มนิวยอร์ก นอกจากมันจะสร้างบาดแผลทางกายให้กับโลกแล้ว

รีวิว Iron Man 3

มันยังได้สร้างบาดแผล ทางใจให้กับโทนี่ สตาร์กด้วย สุดยอดอัจฉริยะถึงกับต้องหัวหดเมื่อได้รู้ว่าในจักรวาลแห่งนี้ ยังมีสิ่งที่ตนไม่รู้ สิ่งที่เหนือกว่าตนอีกมากมาย สร้างปมสำคัญ อันนึงให้กับโทนี่ในภาคนี้ได้ เป็นอย่างดี และการโจมตีของพวกชิทอรินั้น ยังสั่นคลอนอเมริกาอีกด้วย จึงเป็น เหตุให้เจมส์ โร้ดส์ต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Iron Patriot เพื่อสร้างสัญลักษณ์ แห่งความหวังให้ประชาชน ว่าประเทศของตน ยังมีที่พึง เป็นมนุษย์เหล็กรักชาติผู้นี้เสมอ

ภาคนี้ยังมีเปิดตัววายร้าย ตัวใหม่ของเรื่อง ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน Mandarin จอมขมังเวทย์ตัวฉกาจ ศัตรูคู่อาฆาตของโทนี่จากในคอมิคมาสู่จักรวาลภาพยนตร์ของมาร์เวล แมนดารินมาได้ค่อนข้างเก๋า ด้วยการเปิดตัวอย่างเทพด้วยการแฮ็ก ทีวีทั่วประเทศแสดงแสนยานุภาพของตน

แสดงตน เป็นผู้ก่อการร้ายสุดเจ๋ง พร้อมด้วยวายร้ายของเรื่องอีกคน Aldrich Killian บอสใหญ่ของ A.I.M. ผู้พัฒนาโปรเจ็ก Extremis ที่ใช้ในการดัดแปลงดีเอ็นเอของมนุษย์ธรรมดาให้เหนือมนุษย์ได้ ทั้งสองร่วมกันระดมพลถล่มโทนี่อย่างสนุกสนาน เรียกได้ว่าเล่นซะเละทีเดียว เว็บหนัง

รีวิว Iron Man 3

รีวิวหนังดัง หนังเล่าเรื่องโทนี่ สตาร์ค/ไอรอน แมน (Robert Downey Jr.) เศรษฐีหนุ่ม และ นักปัญญาประดิษฐ์ ที่เสียรู้ให้กับศัตรูตัวใหม่ที่กำลังคลืบคลานเข้ามา และ ทีสิ่งที่ทำให้โทนี่เดือดสุด ๆ ก็คือพวกศัตรูเหล่านี้กำลังต้องการทำลายชีวิตของเขา และ คนที่เขารัก

โทนี่จึงออกตามหาพวกนี้เพื่อมารับผิดชอบสิ่งที่ทำ งานนี้หนักหนาสาหัสมากเพราะโทนี่ต้องงัดเอาไม้เด็ดทุกสิ่งออกมาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง และ คนที่ตัวเองรัก และ พยายามหาคำตอบว่าที่ผ่านมาเขาถูกหุ่นยนต์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาครอบงำหรือเปล่า

สิ่งที่ผมได้เห็น และ สัมผัสในภาคจบนี้ก็คือสิ่งที่โทนี่พยายามพัฒนามันขึ้นมาครับ ลำดับแรกก็คือชุดเกราะที่ต้องพัฒนา และ ปรับปรุงใหม่ เพราะว่ายิ่งเจอศัตรูที่แข็งแก่งเท่าไหร่ โทนี่ก็ต้องพัฒนาชุดเกราะของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นตามไป และ อีกหนึ่งสิ่งที่คาดไม่ได้คือ การใช้สติปัญญาแก้สถานการณ์เมื่ออยู่ภายใต้ชุดเกราะ

คงจะสังเกตเห็นกันใช่ไหมครับว่าเวลาที่โทนี่แกอยู่ในชุดเกราะ แกจะมีAutoBot ที่ชื่อว่าจาร์วิสอยู่เคียงข้างเสมอ คอยบอกกล่าวสถานการณ์และแนะนำตักเตือนโทนี่โดยเปรียบเสมือนสมองของโทนี่เลยก็ว่าได้ แต่โทนี่เองก็ไม่ได้ว่าอยู่ในชุดเกราะตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหากเขาเผชิญหน้าศัตรูในช่วงเวลาที่เขา เป็นมนุษย์ธรรมดา

รีวิว Iron Man 3

เขาจะหาทางรอด และ แก้สถานการณ์อย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า โทนี่ไม่ได้มีพลังเหนือมนุษย์เหมือนกัปตันอเมริกา และ ไม่ได้เป็น เทพเจ้าเหมือนธอร์ สิ่งที่เขาต้องใช้ให้เป็น ประโยชน์ที่สุดคือการแก้สถานการณ์นั่นเอง เพราะบอกเลยครับว่าตัวร้ายภาคนี้ไม่ได้กระจอกงอกง่อยเหมือนภาคที่ แล้ว ๆ มาแน่นอน

แน่นอนว่า เป็นเรื่องปกติของหนังมาร์เวลที่จะต้องมีการแทรกมุกตลกขำขันให้คนดูคลายเครียด แต่มัน เป็นมุกตลกแบบตลกร้าย ซึ่งการดูมุกตลกร้ายมันต้องตั้งใจดูจริง ๆ และ บางครั้งก็อาจจะต้องทำความเข้าใจกับมุกด้วย บางทีมุกก็แบมาไวเกิน ตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็ไม่ได้ฝืดนะครับ

สาเหตุที่บอกว่ามันจะมาไม่ทันตั้งตัว เพราะบางทีหนังกำลังดำเนินฉากเครียดอยู่ จู่ ๆ ก็มีมุกตลกแทรกเข้ามาซะอย่างนั้น แล้ว แบบนี้ใครมันจะไปตั้งตัวทัน ถ้านี่คือจุดด้อยก็อาจจะเรียกได้นะครับ เหมือนจังหวะในการแทรกมุกเพื่อเปลี่ยนอารมณ์คนดูกะทันหัน มันอาจจะทำให้มึนงงแทนที่จะฮาสำหรับบางคน

ซิกเนเจอร์ของภาคนี้คือถ้าโทนี่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูโดยที่ตัวเองไม่มีชุดเกราะ เขาจะทำอย่างไร เรื่องนี้เลยน่าสนใจขึ้นทันที และ กลับทำให้ผมนึกย้อนไปในช่วงภาคแรกที่เข้าถูกจับตัวไป แล้ว ใช้ปัญญาประดิษฐ์ สร้างหุ่นยนต์ แล้ว หนีออกมาได้ แต่ว่าแน่นอนหนังคงไม่เอามุกเดิมมาเล่น

รีวิว Iron Man 3

คราวนี้หนังฉีกออกไปอีกมุมหนึ่ง นั่นก็คือการเป็น ฮีโร่ไม่ได้ว่าจำเป็น จะต้องมีเกราะป้องกัน เขาสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้าย และ อยู่รอดได้แม้ว่าจะไม่ต้องพึ่งชุดเกราะก็ตาม เพราะเขาคือไอรอนแมน ความเป็นไอรอนแมนอยู่ที่จิตใจไม่ใช่ชุดเกราะ ดูหนัง

ตัวอย่างของหนังแสดงให้เห็นแต่ความดาร์ก มากถึงมากที่สุด ว่าฮีโร่ของเราคนนี้จะโดนยำเละ ว่าฮีโร่คนนี้ต้องล้มลุกคลุกคลาน ให้อารมณ์เหมือน The Dark Knight Rises ของ Nolan ไม่มีผิด แต่เมื่อได้ดูจริงๆ แล้ว หนังไม่ได้ดาร์กหรือซีเรียสแบบที่คิดเลย

ยังคงเหมือนภาคก่อนๆแต่แตกต่างานิดเดียว ในภาคนี้เราจะได้เห็นโทนี่สวมเกราะน้อยลง เห็นเขามีการพัฒนาด้วยตัวของเขาเองมากขึ้น โทนี่ที่หยิ่งผยองได้เรียนรู้ว่าตนไม่ได้แกร่งล้นฟ้า แต่ก็เป็นแค่ชายในชุดหุ่นกระป๋องเท่านั้น

สรุป Iron Man 3

รีวิวหนังดัง บ่นมามากพอสมควร ถ้ามาพูดในด้านการรีวิวบ้าง บอกเลยว่าหนังสนุกมากครับ รู้สึกว่าทุกอย่างมันลงตัวมากๆ บทพูดไม่เยอะน่ารำคาญ ฉากแอ็คชั่นเยอะแต่พองาม ไม่เยอะเกิน CGI เรียบเนียน ยังไม่นับมุกตลกมากมายที่ใส่ลงมาในหนังอย่างจุใจ เอาให้ฮาก๊ากกันไปเลย (แต่ผมยังคิดว่าอเวนเจอร์สตลกกว่านะ)

มีการหักมุมที่พอทำให้อ้าปากหวอได้ มีปมปัญหาที่สร้างความน่าสนใจให้กับหนัง บอกได้เลยว่าเป็น หนึ่งในหนังมาร์เวลที่สนุกที่สุด เปิด Phase 2 ของจักรวาลหนัง MCU ได้ดีเยี่ยม ถ้าในฐานะคนดูหนังธรรมดาๆผมให้คะแนนคือ 8/10 เลยนะ

คะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 หนังมีครบทุกรสเลยครับ ทั้งดราม่า แอ็คชั่น แถมแทรกข้อคิดที่น่าฉงนสงสัย ว่าเกราะเหล็กที่เขาใส่สามารถป้องกันภัยเขาจากศัตรูทั้งมวลได้หรือไม่ หรือว่าจิตใจของเขาต่างหากคือไอรอนแมนที่แม้จริง โดยไม่จำเป็น ต้องมีชุดเกราะเขาก็คือไอรอนแมน

คะแนนเอฟเฟคต์ 9/10 บอกเลยว่าภาคนี้จัดเต็มในส่วนของเอฟเฟคต์ และ ความอลังการในการต่อสู้ เพราะว่าศัตรูคนใหม่ของไอรอนแมนนั้นบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา และ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนเพราะอย่างฉับไวของโทนี่อีกด้วย นี่อาจจะเป็น จุดขายให้กับแฟน ๆ ชาวเกราะเหล็กเลยว่า โทนี่มีเกราะมากมายหลายรูปแบบที่ไว้พร้อมรับมือศัตรู และ แน่นอนว่าแต่ละเกราะนั้นสวยเท่ และ เด็ด ๆ ทั้งนั้น

ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้

1. ไอรอนแมนคือหัวใจของโทนี่ ไม่ใช่ชุดเกราะ อาจจะมีข้อกังขาว่าระหว่างโทนี่ที่เป็น ผู้สร้างเกราะขึ้นมา เขากำลังถูกเกราะครอบงำหรือไม่ หรือว่าเขาเป็น ไอรอนแมนด้วยหัวใจของเขา ต่อให้ไม่มีชุดเกราะแต่สติปัญญา และความเฉลียวฉลาดของเขาก็ทำให้เขาถูกเรียกว่าไอรอนแมนด้วยเช่นกัน

2. การทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก โทนี่ต้องพยายามพัฒนาตัวเอง และ ชุดเกราะของเขาเพื่อปกป้องตัวเอง และ คนที่เขารัก เพราะศัตรูที่กำลังคลืบคลานเข้ามา และ ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหนหรือจะร้ายกาจเพียงใด โทนี่ต้องเตรียมพร้อม และ ตื่นตระหนกอยู่เสมอ

เป็นการจบภาค 3 แบบไร้ที่ติ และ ข้อกังขาจริง ๆครับสำหรับไอรอนแมน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมีแฟนคลับทั่วโลกขนาดนี้ เพราะนอกจากหนังจะมีหุ่นยนต์ เป็นจุดขายแล้ว หนังกำลังจะสื่อว่าต่อให้ไม่ เป็นเทพหรือมีพลังวิเศษก็สามารถ เป็นฮีโร่ได้ เว็บดูหนัง

รีวิว Iron Man 2

รีวิว Iron Man 2

รีวิว Iron Man 2

หนังไทยnetflix สวัสดีครับวันนี้แอดมินจะมารีวิวหนังฮีโร่หุ่นเหล็กบินได้สุดยอดฮีโร่สุดฮิตของเด็กๆ แอดก็ชอบเช่นกัน อย่างเรื่องไอร่อนแมน ของทางค่าย Marvel ที่มีชื่อว่า IRON MAN 2 มหาประลัยคนเกราะเหล็ก ภาค 2 กำกับการแสดงโดย จอน แฟฟโรว์ เป็นหนังแนวแอคชั่นซูเปอร์ฮีโร ที่สร้างรายได้ถึง 623.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำแสดงโดย

โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ( โทนี่ สตาร์ค ),กวินเน็ธ พัล โทรว์ ( เปปเปอร์ พอต )ดอน ชีเดล ( เจมส์ โรดส์ นายทหารเพื่อนสนิทของโทนี่ สตาร์ค ) มิกกีย์ รูร์ก ( ไอแวน แวนโก้ ) สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ( นาตาชา โรมานอฟ ) ซามูเอล แอล. แจ็กสัน ( นิค ฟิวรี่ ) จอน ฟาฟาโร ( แฮปปี้ โฮแกน บริการ์ดคนสนิทของโทนี่ สตาร์ค ) แซม ร็อคเวล ( จัสติน แฮมเมอร์ ) และ ดาราฝีมือดีอีกมากมายที่จะมาสร้างความสนุกสุดมันส์ให้กับคุณในหนังแอคชั่นเรื่องนี้ เว็บหนัง

รีวิว Iron Man 2

รีวิวหนังดัง หลังจากภาคแรกของไอรอนแมนเมื่อปี 2008 ได้สร้างเสียงชื่นชมมากมายมา แล้ว นั้น มาถึงปี 2010 ที่ Ironman 2 มหาประลัยคนเกราะเหล็ก 2 ได้ลงจอฉาย ยังคงเป็น ภาพยนตร์ ที่สร้างการรอคอยจากแฟน ๆ หนังฮีโร่เป็นอย่างดี

แอดมินจึงขอหยิบยก ภาพยนตร์ เรื่องนี้ขึ้นมารีวิวแม้จะเป็นหนังปี 2010 แต่หนังก็ยังเป็นที่น่ารับชมอยู่ในปัจจุบัน

รีวิว Iron Man 2

สำหรับคนที่ยังไม่เคยรับชมภาคแรกก็อาจจะต้องทำความเข้าใจอยู่สักพักหนึ่ง หรือคนที่เคยดู แล้ว ก็คงต้องรื้อฟื้นความทรงจำอยู่บ้างเล็กน้อย คงจะจำได้บ้างว่าตอนจบของภาคแรกนั้น พระเอกของเราประกาศตัวต่อหน้าสื่อว่าเป็นไอรอนแมน

แล้วหนังก็จบลงมาถึงภาคต่อเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นแอดมินขอรีวิวหนังสนุก ๆ เรื่องนี้ต่อนะครับ โดย ภาพยนตร์ เรื่องนี้ได้ผู้กำกับการแสดงอย่าง จอน แฟฟโรว์ และ ได้นักแสดงนำอย่าง โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ มารับบท โทนี่ สตาร์ค, กวินเน็ธ พัล โทรว์ รับบท เปปเปอร์ พอต, ดอน ชีเดล รับบท เจมส์ โรดส์, มิกกีย์ รูร์ก รับบท ไอแวน แวนโก้, สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน รับบท นาตาชา โรมานอฟ, ซามูเอล แอล แจ็กสัน รับบท นิค ฟิวรี่, จอน ฟาฟาโร รับบท แฮปปี้ โฮแกน และ นักแสดงอีกมากมายที่มาสร้างผลงานสุดมันส์อลังการเรื่องนี้

IRONMAN 2 มหาประลัยคนเกราะเหล็ก จะเป็นการดำเนินเนื้อเรื่องต่อจากภาคที่ แล้ว หลังจากที่โทนี่ได้ยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นไอรอนแมน ก็ทำให้คนทั่วโลกถึงกับตกตะลึง และ ชื่นชมในความฉลาดปราดเปรื่องของโทนี่

รีวิว Iron Man 2

ที่สามารถสร้างชุดเกาะที่มีประสิทธิภาพได้จะมีก็แค่สองพ่อลูกชาวรัสเซีย ซึ่งเคยมีความแค้นกับ (ฮาเวิร์ด สตาร์ค) พ่อของโทนี่ สตาร์ค เท่านั้น ที่ไม่ชอบ หลังจากที่ได้เห็นข่าวโทนี่ทางทีวี ไอแวน แวนโก้ นักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย ก็ได้เตรียมสร้างอาวุธมหาประลัย เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับทำร้ายโทนี่ทันที ทางฝ่ายโทนี่หลังจากที่ได้ประกาศ ตัวว่าตัวเองนั้นเป็นไอรอนแมนก็ได้ถูกทางรัฐบาลกดดัน

เรื่องชุดเกาะอย่างหนักบวกกับต้องต่อสู่กับอาการข้างเคียงจากเตาปฏิกรณ์อาร์คในอกเขา ซึ่งกำลังค่อย ๆ ฆ่าเขาอย่างช้า ๆ โทนี่รู้ตัวว่าจะอยู่ได้อีกไม่นานเขาจึงแต่งตั้ง (เปปเปอร์ พอต) เป็น CEO ของบริษัท

ตอนนั้นนิค ฟิวรี่ หัวหน้าหน่วยชิลล์เห็นว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ของโทนี่ไม่สู้ดีจึงได้ส่ง (นาตาชา โรมานอฟ) สายลับแสนสวยมากความสามารถเข้ามาแทรกซึมอยู่กับ (เปปเปอร์ พอต ) เพื่อคอยดูการเคลื่อนไหว และ คอยประเมินนิสัยใจคอของโทนี่ และ บริษัทเพราะเห็นแก่ (ฮาเวิร์ด สตาร์ค) พ่อของโทนี่

รีวิว Iron Man 2

หลังจากได้ยกบริษัทให้เปปเปอร์ พอต ดูแลแล้ว โทนี่ก็พยายามหาความสุขด้วยการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และ ไร้สาระไปวัน ๆ โดยไม่กล้าบอกเรื่องที่ตัวเองกำลังจะตายกับเปปเปอร์ พอต วันหนึ่งโทนี่ได้ไปแข่งรถที่สนามแห่งหนึ่ง เพราะเป็นคนดังจึงทำให้มีนักข่าวไปถ่ายทอดสดออกอากาศ

ผลเสียก็คือ เมื่อแวนโก้ ได้เห็นข่าวว่าโทนี่แข่งรถอยู่จึงได้รีบไปทำร้ายโทนี่ทันที เมื่อไปถึงสนามแข่งแวนโก้ได้เข้าจู่โจมโทนี่ ด้วยอาวุธร้ายแรงที่เขาสร้างขึ้นทันที โชคยังดีที่โทนี่เอาชุดเกาะติดตัวไปด้วย ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายแวนโก้ก็ฝ่ายพ่ายแพ้ และ ได้ถูกจับเข้าคุก ดูหนัง

แต่ปัญหายุ่งยากก็ยังไม่หมดไป เพราะได้มีคนกลุ่มหนึ่งได้ช่วยแวนโก้ออกมาจากคุกได้สำเร็จโดยยื่นข้อเสนอให้กับแวนโก้ว่า จะต้องสร้างหุ่นยนต์ที่ทรงประสิทธิภาพให้เขาเป็นการแลกเปลี่ยน

แต่แวนโก้ได้เปลี่ยนเหล่านั้นเป็นอาวุธสังหาร เพื่อใช้ในการฆ่าโทนนี่แทน โทนนี่จะสามารถรอดพ้นจากเหตุการณ์ร้าย ๆ เหล่านี้ไปได้หรือไม่ สามารถติดตามกันต่อได้ใน IRON MAN 2 มหาประลัยคนเกราะเหล็ก

สรุป Iron Man 2

รีวิวหนังดัง ข้อดีของหนังเรื่อง IRONMAN 2 มหาประลัยคนเกราะเหล็ก ก็คือ การดำเนินเนื้อเรื่องต่อจากภาคที่แล้ว ได้อย่างสอดคล้อง และ เข้าใจง่าย ต่อมาก็คือ ชุดเกาะในภาคนี้ทำออกมาได้ดีมาก ๆ เพราะมีการพัฒนารูปร่างที่สวย และเท่ขึ้นกว่าภาคแรก ในด้านสเปเชียลเอฟเฟกต์ และ ซีจีก็ถือทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมสวยงาม เช่น ในฉากที่โทนี่ต้องต่อสู้กับกองทัพหุ่นยนต์ ก็ทำออกมาได้อย่างตื่นเต้นเร้าใจ รวมทั้งชอบฉากการต่อสู้ของโทนี่ และ แวนโก้ในสนามแข่วรถก็ทำออกมาได้มันส์มาก

ข้อเสียของหนังเรื่อง สำหรับผู้เขียนมีข้อเดียว คือ บางฉากบางตอนดูไร้สาระเกินไป เช่น ฉากที่โทนี่จัดงานวันเกิด แล้ว ใส่ชุดเกาะเป็นดีเจเนี่ยะ มันดู แล้ว เสียลุคของคำว่า IRON MAN มาก ๆ

สรุปภาพรวมของหนังเรื่อง IRONMAN 2 มหาประลัยคนเกราะเหล็ก เป็นหนังแอคชั่นแนวซูปเปอร์ฮีโร่ที่สนุกมาก ๆ คุุ้มค่าแก่รับชมจริง ๆ แค่ค่าซีจี และ สเปเชียลเอฟเฟกต์ก็ถือว่าคนดูอย่างเราคุ้มค่า แล้ว นี่ยังไม่รวมค่าตัวของพระเอก โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (โทนี่ สตาร์ค) ซึ่งสูงปรี๊ด นอกจากนี้ในเรื่องนี้ยังต้องขอชมดารานักแสดงแต่ละคน เล่นได้ดีสมบทบาทมาก ๆ สม แล้ว ที่เป็นหนังที่สร้างรายได้มหาศาล ใครที่ชอบดูหนังซูปเปอร์ฮีโร่ของค่าย Marvel ห้ามพลาดเด็ดขาด เว็บดูหนัง

รีวิว Iron Man 1

รีวิว Iron Man 1

รีวิว Iron Man 1

หนังไทยย้อนยุค สวัสดีครับ อย่างที่รู้ๆกันดีว่า ไอร่อนแมน นั้น เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ MARVEL สุดคลาสสิก ไอร่อนแมนภาคนี้ที่แอดจะมารีวิวคือภาค 1 หนังซูเปอร์ฮีโร่ อย่างเรื่องไอหุ่นเหล็ก ไอร่อนแมน สุดมันส์ของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Marvel ที่มีชื่อว่า Iron Man นั้น (มหาประลัยคนเกราะเหล็ก) โดยกำกับการแสดงโดย จอน แฟฟโรว์ เป็นหนังแนวแอคชั่นซูเปอร์ฮีโร ที่กวาดรายได้ถล่มทลายไปถึง 585.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

นำแสดงโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ รับบท (โทนี่ สตาร์ค),กวินเน็ธ พัล โทรว์ รับบท (เปปเปอร์ พอต),เจฟฟ์ บริดเจ็ดส์ รับบท โอบาไดห์ สเตน (ลุงของโทนี่ สตาร์ค) เทอร์เรนส์ โฮวาร์ด รับบท นาวาอากาศโท เจมส์ โรดส์ (เพื่อนสนิทของโทนี่ สตาร์ค) จอน ฟาฟาโร รับบท แฮปปี้ โฮแกน (บริการ์ดผู็ซื่อสัตย์ของโทนี่ สตาร์ค) และ ดาราสมทบอีกมากมายที่จะมาสร้างความสนุกให้กับคุณในหนังแอคชั่นสุดมันส์เรื่องนี้ เว็บหนัง

รีวิว Iron Man 1

รีวิวหนังดัง โทนี่ สตาร์ค เป็นนักประดิษฐ์ และ นักอุตสาหกรรม มหาเศรษฐีพันล้าน ที่ถูกลักพาตัวไป ขณะอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง แล้ว ก็ถูกบีบบังคับ ให้คิดค้นอาวุธ ที่มีประสิทธิภาพ การทำลายล้างสูงแทน ที่เขาจะใช้สติปัญญา อันปราดเปรื่อง และแนว คิดอัจฉริยะ ประดิษฐ์ตามคำสั่ง แต่ว่าโทนี่กลับสร้างชุดเกราะไฮเทค และ หนีรอด การถูกจอง จำมาได้ พอกลับมา ยังอเมริกาโทนี่ ก็ต้องเผชิญหน้า กับอดีต และ ล่วงรู้แผนการชั่วร้าย ที่มุ่งทำลาย ล้างโลก เขาจึงต้องสวมชุดเกราะ ทรงพลัง และ ปฏิญาณว่า จะพิทักษ์โลกใบนี้ ในนาม ไอรอน แมน

เมื่ออัจฉริยะ ผู้ผลิตอาวุธฆ่าคน กลับใจขอเป็นฮีโร่ ช่วยเพื่อนมนุษย์… นั่นคือ ที่มาของฮีโร่คนใหม่ สำหรับผมครับ ยอมรับว่า ไม่เคยรู้จักฮีโร่นามนี้มาก่อนเลยในชีวิต จนมาได้ยิน และ เห็นภาพจากตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งในเว็บในโรง และ ในจอ ‘Iron Man – ไอรอนแมน’

รีวิว Iron Man 1

หลังจากซื้อ Voucher ดู 2 ฟรี 1 ของ Paragon Cineplex ไป วันนี้ ต้องขอใช้สิทธิ์เสียหน่อย จองตั๋วรอบ 17.55 น. โรงภาวาลัย แต่ถูกจำกัดว่า สลากที่จับมานี้ เขาให้ดูได้เฉพาะที่นั่งปกติราคา 140 บาท ก็เลยจำใจต้องเลือกแถวหลังสุดของราคานี้ ไม่พอ ยังต้องจ่าย VAT อีก 40 บาทอีก จะให้ฟรีก็ยังมีโน่นมีนี่เนอะ

หน้าบูดเดินกลับออกมาจากบูธขายตั๋วนิดหน่อย เอาก็เอาว่ะ ถือซะว่า ได้ดูหนังในราคาคนละ 20 บาท แม้จะไม่ฟรีอย่างที่มันบอกก็เถอะ เข้าไปในโรง อืมม ตำแหน่งแถว N นี่ก็โอนะ ไม่ถึงกับคอตั้งบ่าเกินไป นอนเอียงคอดูได้อย่างเต็มที่ นี่ถ้าหนังไม่สนุกล่ะก็ หลับในท่านั้นได้เลยนะ จะบอกให้

‘ไอรอนแมน’ คือ ฮีโร่ตัวใหม่สำหรับผม ในสังกัดของ Marvel Comics หรือ Marvel Studios สำหรับเวอร์ชั่นหนัง นำแสดงโดย Robert Downey Jr. ผู้มีหนวดมีเคราเร้าใจสาว แถมยังมีลูกน้องสาวคู่ใจอย่าง Gwyneth Paltrow อีก ไม่เบาทีเดียว มีดารานำเป็นแม่เหล็กทั้งฝั่งหญิงฝั่งชายเลยเชียว

รีวิว Iron Man 1

ดูท่าทาง โทนี่ สตาร์ค พระเอกของเราจะเป็นพวกทะลึ่งตึงตังไม่ใช่เล่น จีบผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า เนื้อหอมซะมากมาย แต่กลายเป็นอัจฉริยะไปซะงั้น บริษัทของเขาร่ำรวยมหาศาล ผลิตอาวุธชิ้นใหม่ ๆ ให้กับกองทัพสหรัฐฯ และ คิดว่า อาวุธพวกนั้นจะช่วยคุ้มครองปกป้องทหารของพวกเขา

แต่เมื่อวันหนึ่ง เขาต้องตกไปอยู่ในวงล้อมของกลุ่มติดอาวุธนาม Ten Rings ในอัฟกานิสถาน เขาจึงได้รู้ว่า เมื่ออาวุธของเขาไปอยู่ในหมู่ศัตรู มันได้ทำร้ายผู้คนมากมาย โดยเฉพาะคนของชาติตัวเอง ถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างที่อัจฉริยะของโลกคนหนึ่งจะกระทำ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก นั่นคือ เขาได้ผลิตชุดเกราะขึ้นมา กันกระสุนได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่า มีอาวุธครบครัน และ เหาะได้ ดูหนัง

สรุป Iron Man 1

รีวิวหนังดัง ไม่บอกก็รู้ว่า นี่จะเป็นหนังฮีโร่ซีรี่ส์เรื่องถัดไป ใช่แล้ว มันไม่ได้มาแค่ภาคเดียว แล้ว ก็ไปอย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงภาคเริ่มต้นของมนุษย์เหล็กไหล(พันธุ์ตะวันตก)เท่านั้น ภาคเปิดตัวนี้ เล่าที่มาที่ไปของฮีโร่พันธุ์นี้อย่างสนุก และ ขี้เล่น ฮีโร่เรา เจ้าชู้ และ รวยอารมณ์ขันเสียนี่กระไร แจกมุกฮา ๆ ให้ได้หัวเราะร่วนกันรายทาง เรียกได้ว่า เป็นหนังฮีโร่พันธุ์อารมณ์ดีก็ว่าได้

เราได้เห็นชุดเกราะเวอร์ชั่นแรกสุดที่ยังดิบ ๆ กันอยู่เลย จนมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่เติมสีแดงสีทองเข้ามา และ มีวิธีประกอบร่างอันซับซ้อนไม่ใช่เล่น มนุษย์ฮีโร่พันธุ์นี้ไม่ได้เป็นไซบอร์ก ไม่ได้เป็นมนุษย์ดัดแปลง แต่มีหัวใจที่ไม่สมบูรณ์ ต้องใช้พลังงานพิเศษเข้ามาช่วยเหลือ

รีวิว Iron Man 1

พลังงานตรงนั้น อยู่แถว ๆ หัวใจ ที่เห็นเป็นดวงไฟสว่าง ๆ นั่นแหละ แว้บ ๆ ไปดูคลิปการ์ตูน เห็นที่มันมีฮัลค์มาเจอกับไอรอนแมน ตัวพระเอกที่เป็นไอรอนแมนก็ไม่ได้มีอะไรแบบนี้นี่นา หรือว่าเขาเติมแคแรคเตอร์เข้าไป เพื่อสร้างจุดอ่อนให้กับพระเอกในเวอร์ชั่นหนังหว่า

ข้อดีของหนังเรื่อง IRONMAN
มหาประลัยคนเกราะเหล็กก็คือ ในด้านซีจี และ สเปเชียลเอฟเฟกต์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ เช่นในฉากตอนสวมชุดเกาะ และ การบินไปในอากาศ และ ฉากการต่อสู้ในแต่ละฉาก ซึ่งทำได้ยอดเยี่ยมจับผิดไม่ได้เลย รวมไปถึงการดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ก็มีความชัดเจน

ดูแล้ว เข้าใจง่าย และ ด้านดนตรีประกอบฉากก็ทำออกได้สนุกมันส์เร้าใจ รวมทั้งการสอดแทรกมุขตลกของหนังที่มีให้ดูอยู่บ่อย ๆ ทำให้ดู แล้ว ไม่เครียด เช่น ฉากที่โทนี่ทะเลาะกับพวกหุ่นยนต์ตอนสร้างชุดเกาะดู แล้ว ตลกมาก

ข้อเสียของหนัง
ก็คือ ไม่ชอบการให้บทกับโทนี่ สตาร์คต้องมีเตาปฏิกรอาร์คอยู่ในหน้าอก มันทำให้ดู แล้ว หดหู่ และ น่าสงสารมาก ๆ จริง ๆ แล้วไม่ต้องมีก็ได้ และ ข้อเสียอีกข้อก็คือ พระเอกน่าจะเก่งกว่านี้เพราะเท่าที่ดูกว่าจะชนะได้เกือบตาย

สรุปภาพรวมของหนังเรื่อง IRONMAN มหาประลัยคนเกราะเหล็ก เป็นหนังแอคชั่นที่มันส์และ สนุกมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการดำเนินเนื้อเรื่องที่ชวนให้ติดตาม บวกกับซีจี และ สเปเชียลเอฟเฟกต์ถือว่าทำออกมาได้ดีสุดยอดมาก ๆ สม แล้ว ที่สร้างรายได้จำนวนมาก ใครคนที่ชอบดูหนังซูปเปอร์ฮีโร่ของค่ายMarvel จึงไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้เด็ดขาด เว็บดูหนัง

รีวิว Shazam

รีวิว Shazam

รีวิว Shazam

หนังไทยย้อนยุค ถ้าให้พูดถึงหนัง Marvel กับ Dc ผมคงเลือกหนังค่าย Marvel แต่เรื่องนี้ เป็นหนัง ค่าย DC ที่ทำให้หนัง DC กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่อง SHAZAM เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่สายเกรียนของค่าย DC Comics โดยตัวหนัง SHAZAM เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ฉายความสว่างให้กับค่าย DC ต่อจากหนังเรื่อง Aquaman ซึ่งก่อนหน้านี้ทางค่ายหนัง Warner Bros. Pictures ก็ได้ทำแต่หนังโทนมืด ๆ มาโดยตลอดตัวอย่างเช่น Batman v Superman ซึ่งทางค่ายหนังก็ไม่ประสบความสำเร็จในหนังชุดนี้แล้วยังจะต่อด้วยหนังรวมทีมฮีโร่ Justice League

ที่ยังคงมาในโทนมืดเช่นเดียวกันและก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย จนทางค่ายต้องวางแผนเปลี่ยนแนวทางการทำงานกันอย่างชุดใหญ่ ไม่เอาแล้วรวมทีมซุปเปอร์ฮีโร่แยกเป็นหนังเดี่ยวของใครของมันดีกว่า เดินไปในทางเดียวกับ Aquaman และ Wonder Woman ที่ได้ทั้งเสียงคำชมและรายได้ภาพยนตร์อย่างถล่มทลาย หลังจากที่ตัวผู้เขียนได้ชมภาพยนตร์เรื่อง SHAZAM จบก็ต้องบอกเลยว่าหนังจักรวาล DC กำลังเดินมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้วจริง ๆ

รีวิว Shazam

มาเริ่มกันที่นักแสดงกันก่อนครับ นักแสดงเด็ก ๆ เล่นได้ดีมาก ดูสนุก อมยิ้มตามได้ตลอด น้องแต่ละคนมีบุคลิกนิสัยที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน หนังจะโฟกัสที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและครอบครัวให้รักกันดูแลกันช่วยเหลือกัน ซึ่งตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ จึงอาจทำให้แฟนหนังรู้สึกแปลก ๆ ซะหน่อย

เพราะปกติหนังฮีโร่จะเป็นแต่ผู้ใหญ่ซะมากกว่า แต่ต้องขอชมเลยว่าแม้นักแสดงเด็กจะเยอะแต่ตัวหนังก็จัดว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เพราะตัวหนังจะให้เราเห็นถึงการพัฒนาการของเด็กที่ค่อย ๆ โตขึ้นทางความคิด และ แซ็คคารี่ เลวี่(รับบทชาแซม) เล่นได้ดีมาก คือออกมากี่ฉากก็มองว่าผู้ชายคนนี้เล่นยังไงก็ดูเด็กอะ ความคิด นิสัยคือเด็กจริง ๆ ดูแล้วเนียน ไม่ขัดหูขัดตาดี ผมชอบมากเลย เว็บดูหนัง

ต่อมาเป็นในเรื่องของปมตัวละครเอก บิลลี่ (ชาแซม) และเพื่อนซี้ของบิลลี่ นั่นก็คือ เฟรดดี้ ทั้งสองคนเล่นเข้าขากันได้อย่างดี ทำให้เราอินกับตัวละคร มีฉากเรียกเสียงหัวเราะ อมยิ้ม อยู่ตลอดไม่ขาด และยังมีการล้อหนังของทางค่าย DC เองอยู่เรื่อย ๆ หนังเรื่องนี้สามารถดูกันเป็นครอบครัวหรือจะดูสนุกกับเพื่อน ๆ ก็ยิ่งมันส์ฮา เพราะคนส่วนมากจะไม่รู้เลยว่า ชาแซม นั้นมีพลังอะไรบ้างนอกจากปล่อยสายฟ้า ตัวหนังจะเดินเรื่องไปเรื่อย ๆ แล้วให้คนดูอย่างเราชมและลุ้นไปกับตัวหนังเอง

รีวิว Shazam

รีวิวหนังดัง บิลลี แบตสัน (แอชเชอร์ แองเจิล) หนุ่มน้อยวัย15 หวังจะตามหาแม่ที่แท้จริง จนได้ลงเอยกับครอบครัวมิลานที่อุปการะเด็กหลากเชื้อชาติไว้มากมาย แต่หลังจากเขาช่วยเหลือ เฟรดดี้ (แจ๊ค ดีแลน เกรเซอร์)เพื่อนร่วมชายคา เขาก็ได้รับพลังวิเศษจากพ่อมดชาแซม (ดไจมอน ฮอนซู) จนกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ร่างผู้ใหญ่ (แซคคารี เลวี) แต่ในขณะที่เขากำลังค้นหาพลังวิเศษตัวเอง แธเดียส (มาร์ค สตรอง) กลับกำลังตามหาบิลลีเพื่อหวังจะครอบครองพลังยิ่งใหญ่ของเขา งานนี้ บิลลี่ จะค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่ของตัวเองได้ทันการณ์หรือไม่ ต้องติดตาม…

เรื่องที่เหลือเชื่อมากอย่างหนึ่งคือชื่อเดิมของ Shazam! ฉบับคอมิกคือ Captain Marvel ก่อนที่สำนักพิมพ์เดิมจะปิดตัวและกว่าดีซีจะไปซื้อลิขสิทธิ์มาได้ก็ถูกปู่สแตน ลี ชิงตัดหน้าทำคอมิก Captain Marvel ไปก่อนจนต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Shazam! อย่างที่เห็น ซึ่งฉบับภาพยนตร์ก็ดันฉายไล่เลี่ยกันเสียด้วยจนเหมือนนัดกันมาแข่งอีกรอบแหนะ ฮ่าาาา

และเซอร์ไพรส์อีกต่อที่ ดีซี ไปยืมตัวเดวิด เอฟ แซนด์เบิร์ก ผู้กำกับหนังสยองทั้ง Light Out และ Annabelle Creation มากำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่สายฮาเรื่องนี้ ซึ่งเขาก็พิสูจน์ฝีมือได้ยิ่งกว่าสอบผ่าน เพราะสามารถเอาหนังฮีโร่โทนเบาสมองที่มีปมครอบครัวเป็นแกนกลางได้อย่างลงตัว ทั้งสนุก ฮาเป็นบ้าเป็นหลัง

ที่สำคัญคือปมดราม่ากันครอบครัวทำได้หนักแน่นจนเราอดอมยิ้มไปกับเรื่องราวและปมความสัมพันธ์ในครอบครัวอุปถัมภ์ได้เอ็นจอยไม่แพ้ความมันส์ของศึกพลังเวทย์ในเรื่องเลย ซึ่งก็คงต้องชมทีมเขียนบททั้ง เฮนรี เกย์เดน และ แดเรน แลมเก้ ที่สามารถผสมผสานดราม่าครอบครัวกับหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่เบาสมองได้อย่างกลมกล่อม

รีวิว Shazam

โดยหนังพูดถึงปมครอบครัวได้อย่างน่าสนใจ โดยฉากเปิดหนังนำเสนอเหตุการณ์ที่บอกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวหนึ่งคือ ครอบครัวของแธด หรือ แธเดียสที่ไม่เคยมีใครในครอบครัวเห็นหัวและยิ่งถูกปฏิเสธการถ่ายทอดพลังชาแซมก็ยิ่งเป็นเชื้อไฟแค้นชั้นดีที่ทำให้เขาดำเนินแผนชั่วในเวลาต่อมาเพื่อหวังเอาพลังอำนาจมาถมช่องว่างในใจตนเอง ส่วนบิลลี แบตสัน

หนังให้เรารู้จักเขาจากพฤติกรรมสุดแสบแต่พอเราได้เห็นเรื่องราวเบื้องหลังความขบถ ความดื้อดึงต่าง ๆ มาจากปมที่ตนพลัดหลงกับแม่ในวัยเด็ก จนต้องออกตามหาแม่ เพื่อที่ว่าตนจะได้มีครอบครัวจริง ๆ โดยไม่รู้เลยว่าเขาได้มีโอกาสเจอบ้านและครอบครัวที่แท้จริงแล้ว

ซึ่งการมาอยู่บ้านของครอบครัวมิลานก็ยิ่งทำให้ความหมายของครอบครัวดูใหญ่โตและมีความเป็นมหภาคมากขึ้นเพราะเด็กที่อุปการะมีตั้งแต่เด็กละติน เด็กเอเซีย เด็กสาวผิวสี ไปจนเด็กพิการอย่างเฟรดดี้ แถมพ่อแม่บุญธรรมก็ยังเป็นคนละเชื้อสายกันอีก เรียกได้ว่าคำว่าครอบครัวสำหรับบ้านนี้อาจหมายถึงสหรัฐอเมริกาโดยนัยยะก็มิปาน

ฉากต่อสู้บอกเลยว่ามันส์มากแอคชั่นจัดเต็ม ถ้าตีเวลาทั้งเรื่องน่าจะต่อสู้กันราว ๆ 20 นาทีได้ ฉากต่อสู้ที่แบบว้าว จัดเต็มจะมี 2 ฉากใหญ่ แต่ก็กินเวลานานเช่นกันให้คนดูอย่างเราได้สนุกดูกันเพลินเลยกับฉากสู้ไปกวนโอ้ยไปของพระเอก5555 ในส่วนของตัวร้าย ดร.ซิวานา ทำปมของตัวละครออกมาได้น่าสนใจ

คือไม่ใช่ตัวร้ายแบบจะยึดครองโลกอะไรแบบนี้แต่มันมีปมที่ฝังใจเขาอยู่ ที่ทำให้ต้องการอยากได้พลังต้องการจะกำจัดชาแซม ถึงแม้เขาจะเป็นตัวร้ายแต่บางช่วงแกก็มีมุมฮา ๆ เหมือนกันนะเหมาะสมกับการที่ต้องสู้กับฮีโร่สมองเด็กอย่างชาแซมจริง ๆ ดูหนัง

สรุป Shazam

รีวิวหนังดัง โดยตัวหนังมีจุดที่น่าสนใจสำหรับคอหนังแบบไม่ต้องเป็นแฟนดีซีก็พอเข้าใจ คือหนังพยายามยกฮีโร่ดังของค่ายอย่าง แบทแมน และ ซูเปอร์แมน มาพูดถึงแทบทั้งเรื่อง มองเผินเราอาจเห็นแค่การเกาะกระแสฮีโร่เซเลปของค่าย แต่คิดดูดี ๆ เฮ้ย จุดร่วมของทั้งแบทแมน ซูเปอร์แมน และ ชาแซม คือเริ่มจากการเป็นพวกหนีครอบครัว หรือ มีปมครอบครัวอันปวดร้าว

จนกระทั่งได้เจอครอบครัวใหม่ที่ตนเองอาจกังขาจนพยายามหนีอยู่ตลอด แต่เอาเข้าจริงเมื่อขึ้นชื่อว่าครอบครัวแล้ว มันก็ต้องอยู่สู้กันไปจนถึงที่สุด โดยหนังใส่ฉากเอามือประสานกันบนโต๊ะอาหารที่ดูผ่าน ๆ แทบคิดไม่ถึงเลยว่าต่อมามันจะมีความสำคัญกับเรื่องอย่างไร จนกระทั่งหนังเฉลยนี่แหละแทบกรี๊ดเลย และโดยปริยายมันก็ทำให้ Shazam! หลุดพ้นการเป็นเพียงหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เราได้แต่ดูพระเอกโชว์ความเก่งปราบปรามผู้ร้าย ทีละน้อยเรากลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวเรื่องครอบครัวของบิลลี่และมันยังทำให้ความหมายของพลังที่แท้จริงของหนังทั้งลึกซึ้ง อบอุ่นหัวใจ และแน่นอนเจ๋งเป็นบ้าเลย

รีวิว Shazam

ดเวย์น จอห์นสัน เผยภาพแอนตีฮีโร ‘Black Adam’ เต็มตัว และคนที่ทำให้ชาแซมมีชีวิตได้ก็คงหนีไม่พ้น แซคคารี เลวี ดาราหนุ่มจาก CHUCK ซีรีส์ตลกสุดดัง ซึ่งเลวี ก็รับบทเด็กในร่างผู้ใหญ่ได้อย่างมีเสน่ห์ทั้งตลกทั้งเท่จนน่าจะแจ้งเกิดในฐานะดาราหนังซูเปอร์ฮีโร่ได้ไม่ยาก ส่วนนักแสดงเด็ก ๆ ในเรื่องก็ชวนให้หลงรักจริง ๆ สาว ๆ

อาจหลงหน้าหล่อ ๆ ของ แอชเชอร์ แองเจิล หรือ อยากกอด แจ๊ค ดีแลน เกรเซอร์ ซึ่งรับส่งบทกันอย่างลงตัว ส่วนบรรดาน้อง ๆ หนู ๆ ในบ้านอุปถัมภ์ก็น่ารักเหลือเกิน และยังมีเซอร์ไพรส์ที่เราบอกไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ คอซีรีส์เน็ตฟลิกซ์สาว ๆ มีกรี๊ดแน่นอนตอนไคลแมกซ์ของเรื่อง ฮ่าาาาา.

สรุป
ข้อดี ชมได้ทุกเพศทุกวัย คุณไม่จำเป็นต้องดูหนัง DC เรื่องอื่นมาก่อนก็สามารถดูเข้าใจได้ เพราะหนังปูเนื้อเรื่องตั้งแต่ปมตัวละคร ได้พลังมายังไง จนใช้พลังได้และเป็นฮีโร่ในที่สุด

ข้อเสีย เนื่องจากต้องสร้างปมให้ตัวละครเอกอย่างชาแซม ตัวร้าย และรวมถึงเพื่อนของบิลลี่ ตัวหนังช่วงต้นเลยค่อนข้างจะกินเวลานานพอสมควร ในการทำให้ผู้ชมรับรู้เรื่องราวของตัวละครหลาย ๆ ตัว ฉากต่อสู้ที่ไม่ได้อลังการอะไรมากมาย ไม่มีลีลาท่าทางการต่อสู้สวย ๆ แบบนักสู้ฮีโร่คนอื่น ๆ เพราะบิลลี่เป็นแค่เด็กอายุ 15 มีพื้นฐานแค่ชกต่อยตีธรรมดาเหมือนเด็กทั่วไป เมื่อได้รับพลังก็เพียงแค่เพิ่มพละกำลังเข้าไปเท่านั้น แต่สติปัญญา และทักษะก็ยังเป็นเด็กแบบเดิม แต่ดีที่ตัวหนังยังเอาลูกเล่นทางเวทมนตร์ สปีดความเร็ว ยิงสายฟ้า ออกมาช่วยเสริมสกิลการต่อสู้ให้ตัวละคร ทำให้ดูแล้วเพลินสนุกมากขึ้น เว็บหนัง

สำหรับใครที่ไปคิดจะไปดู ชาแซม ขอเตือนเลยว่าหนังมีเซอร์ไพรส์เยอะมาก ที่สำคัญมี ฉากกลางเครดิต และ ท้ายเครดิตจ้า แถมดีงามทั้งสองตัวเลย ดังนั้นอย่าดื่มน้ำเยอะนะจ๊ะ เตือนแล้ว!

รีวิว The Dark Knight

รีวิว The Dark Knight

รีวิว The Dark Knight

หนังไทยnetflix สวัสดีครับ วันนี้แอดมิน มารีวิว หนังซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง เรื่องแบทแมน เป็นหนังแบทแมนที่หลายๆ สำนัก ต่าง ๆ ให้ขึ้นชื่อว่า เป็นหนังแบทแมน ที่ดีที่สุด เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่ชื่นชอบหนังมหากาพย์ซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง แบทแมน นั้น คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักหนังภาคต่อจากแบทแมน ในชื่อเรื่องว่า Batman: The Dark Knight ที่ได้ปล่อยฉายมาในปี 2008 ซึ่งหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังชุดลำดับที่ 6

รีวิว The Dark Knight

จากมหากาพย์ภาพยนตร์แบทแมน ที่ได้ได้รับการขนานนามว่า เป็น หนังแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่ ที่สามารถสร้างตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์ ออกมาในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดได้ ตั้งแต่เคยมีการแสดงบทโจ๊กเกอร์มาแล้วหลายเวอร์ชั่น นั่งชมกันต่อเนื่องไปเลย หลังจากย้อนหลังกลับไปชม Batman Begins ภาคปฐมบทของแบทแมนฉบับ Christopher Nolan มาแล้ว คราวนี้ก็คงได้เวลาตามต่อกับภาคสอง The Dark Knight / อัศวินรัตติกาล

The Dark Knight | อัศวินรัตติกาล ในสไตล์ของ Christopher Nolan แบทแมน อัศวินรัตติกาลนี่คือภาคต่อของภาคแรก 2008 สามปีถัดมา Christopher Nolan ก็ส่งภาคต่อออกมาให้แฟนๆ ที่รอคอยได้ติดตามชมกัน หลังจากทิ้งท้ายไว้ด้วยไพ่ใบหนึ่งที่เป็นที่มาของชื่อ “โจ๊กเกอร์” ภาคนี้ วายร้ายนามนี้ก็ได้เวลาออกโรง ดูหนัง

รีวิว The Dark Knight

รีวิวหนังดัง ต้องบอกก่อนเลยว่า หนังแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง แบทแมน นั้น นอกจากมีตัวละครสำคัญอย่าง แบทแมท ที่เป็นตัวละครฝั่งผดุงคุณธรรมแล้วนั้น หนังเรื่องนี้ยังมีตัวละครชูโรง ที่มีผู้ชมส่วนมากให้ความสนใจอย่าง โจ๊กเกอร์ ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งหนังแบทแมนในภาคก่อน ๆ นั้น โจ๊กเกอร์ อาจจะเป็นเพียง ผู้ร้าย ที่คอยต่อกรกับแบทแมนเท่านั้น แต่สำหรับบทโจ๊กเกอร์ ในภาค Batman:The DarkKnight ตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์ กลับได้รับบทบาทที่มีความโหด ความดาร์ค ความฉลาด และมีทักษะเก่งกาจไม่แพ้ซุปเปอร์ฮีโร่อย่างแบทแมนเลยแม้แต่นิดเดียว

อีกทั้งนักแสดงที่ได้รับบท โจ๊กเกอร์ ในภาค Batman:The DarkKnight อย่าง ฮีธ เลดเจอร์ นั้น สามารถตีบทแตก แสดงออกถึงความดิบ โหด ป่าเถื่อน และความดาร์คขั้นสุด ที่มาพร้อมกับการตกตะกอนความคิด และวางแผนก่อการได้อย่างแนบเนียน โดยเฉพาะในเรื่องของการปั่นหัวเหล่าตัวละครภายในเรื่องนั่นเอง

ซึ่งหลังจากหนังเรื่องนี้ได้ปล่อยฉายออกมาแล้วนั้น ตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์ ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะเรื่องของการตีบทแตก ทำเอาคนดูอินไปกับการแสดงออกของตัวโจ๊กเกอร์ได้อย่างแท้จริง ที่ไม่ว่าจะเป็นฉากแอคชั่น การต่อสู้ต่าง ๆ หรือฉากของโจ๊กเกอร์ที่ชอบพูดจาเย้าหยอกปั่นหัวตัวละครอื่น ๆ ภายในเรื่อง ก็สามารถทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

รีวิว The Dark Knight

โจ๊กเกอร์ แบทแมน เดอะ ดาร์ค ไนท์
ถึงแม้ว่านักแสดงบท โจ๊กเกอร์ อย่าง ฮีท เลดเจอร์ จะได้เสียชีวิตลงไปหลังจากหนังออกฉายได้เพียงไม่นาน แต่บทบาทการแสดงเป็นโจ๊กเกอร์ของเขานั้น ยังคงตราตรึงใจผู้ชม และกลายเป็นนักแสดงที่รับบท โจ๊กเกอร์ ได้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีบทโจ๊กเกอร์ออกมาเลยอีกด้วย

ต้องบอกเลยว่าหนังแอคชั่นอย่างเรื่อง Batman:The DarkKnight นั้นมีมากกว่าฉากบู๊แอคชั่นทั่ว ๆ ไป ที่นอกจากจะมีฉากการต่อสู้สุดตระการตาแล้วนั้น ตัวหนังยังแฝงถึงเรื่องราวความรู้สึกนึกคิดของตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์888 ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ถือว่าเป็นหนังแอคชั่นที่มอบทั้งความสนุกสุดมันส์ แต่ยังคงแฝงไปด้วยเรื่องราวความดาร์คตามชื่อเรื่องได้อย่างไม่มีที่ติเลยนั่นเอง

เริ่มต้นที่เหตุปล้นเงินในธนาคารอย่างอุกอาจ เปิดเผยโฉมหน้าของ “โจ๊กเกอร์ / Joker” ว่าประหลาดล้ำเพียงใด กับหน้าจริงที่ทาสีเพิ่ม พร้อมกับรอยแผลเป็นที่มุมปาก ใช่แล้ว เขาคือ Heath Ledger ผู้จากไปนั่นเอง ขณะที่ Batman กลับมาภาคนี้ Christian Bale ดูมีริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มเติมขึ้นนิดหน่อย และยังมีอัลเฟรดเป็นคนสนิทคนเดิมคอยดูแล ขณะที่อัยการเขตคนใหม่อย่าง ฮาร์วีย์ เดนท์ (Aaron Eckhart) กำลังได้ เรเชล ดอว์ส (ที่คราวนี้เปลี่ยนตัวเป็น Maggie Gyllenhaal) ไปเป็นแฟน

ส่วน จิม กอร์ดอน (Gary Oldman) เขากลายเป็นหัวหน้ากองปราบฯ ผู้รับรู้เรื่องการปล้นเงินของแก๊งมาเฟีย หลังทีมของพวกเขา (ที่ก็เลือกมาจากพวกโกงกินทั้งนั้น) และแบทแมนไปเล่นจุดตายคือเรื่องเงินของพวกมันเข้า จึงทำให้พวกมันคิดขโมยเงินในธนาคารออกมา เพื่อยักย้ายไปเก็บที่อื่นนั่นเอง เว็บหนัง

ภารกิจครั้งนี้ ขยายวงไปไกลถึงฮ่องกง หนังที่ยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง พาเราไปพบกับเรื่องราววกวนซับซ้อนซ่อนเงื่อน ที่น่าฉงนแต่ดูแล้วสนุก

สรุป The Dark Knight

รีวิวหนังดัง โจ๊กเกอร์ ดูเป็นวายร้ายที่ไม่ค่อยเข้าพวกกะใคร มีวิธีคิดเป็นของตัวเองและเดาทางได้ยาก แต่นั่นล่ะ ทำให้ The Dark Knight ถูกเล่าในทิศทางที่คนดูเดาไม่ออก อีกทั้งการมีตัวละครอยู่มากมาย ทั้งร้ายทั้งดี ทำให้การเขียนบทยืดหยุ่นได้สูง แต่ก็ต้องได้มือเขียนที่เจ๋งด้วยเช่นกัน ที่จะเอาอยู่ทั้งหนังและคนดูแบบนี้

เราได้เห็นด้านที่อ่อนไหวของซูเปอร์ฮีโร่ชุดดำผู้มีคุณธรรม เขาคือคนที่สังคมเลือกไส เขาเลือกทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้–สิ่งที่ถูกต้อง ข้อเรียกร้องของโจ๊กเกอร์ คือ การให้แบทแมนเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เขาเกือบจะได้ทำมันไปแล้ว หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างให้เกิดอีกด้านหนึ่งของคนดีอีกคนขึ้นมา…

รีวิว The Dark Knight

หลายครั้งที่เราได้เห็นอัยการเขตคนนี้หยิบเหรียญขึ้นเสี่ยงทาย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาบอกว่า “เขาไม่ได้เสี่ยง” คือวันที่ยินดีไปเป็นตัวล่อเพื่อการจับกุมโจ๊กเกอร์ และหนังก็เฉลยว่า ทำไม หนังค่อนข้างยาวมาก แต่ก็เล่าอะไรได้ทรงพลังมากๆ อยู่หลายฉากเช่นกัน โดยเฉพาะการโยนความรู้สึกกระอักกระอ่วนให้คนดูลองเลือกเองในใจว่า ใครควรตายมากกว่ากัน ระหว่างคนปกติกับคนชั่วของสังคม ต่อมศีลธรรมต้องทำงานกันวุ่นเลยทีเดียว

ในส่วนของการถ่ายทำ นับว่าการถ่ายทำด้วยมุมกล้อง การตัดต่อ ผสานไปกับเสียงดนตรีประกอบ ทำให้นี่เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำได้ “ถึงใจ” ที่สุดเรื่องหนึ่ง ครบเครื่องทั้งลีลาฉากแอ็คชั่น และซับซ้อนในด้านบท แม้ในขณะที่คนดูเชื่อว่าเรื่องกำลังจะจบ ก็ยังมีเรื่องต่อให้ลุ้นกันอีกเกือบครึ่งเรื่องเลยทีเดียว บางคนอาจจะว่าหนังดูเครียด แต่หนังก็สะท้อนให้เห็นโลกจริงๆ ว่ามันมีสิ่งเหล่านี้อยู่ และเราอาจจะต้องการฮีโร่สักคนขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
คุณอยากตายไปในฐานะฮีโร่ หรืออยากอยู่ไปจนตัวเองกลายเป็นวายร้าย! เว็บดูหนัง

ชื่อภาพยนตร์ : The Dark Knight / อัศวินรัตติกาล
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Christopher Nolan
ผู้เขียนบทภาพยนตร์ : Jonathan Nolan (screenplay), Christopher Nolan (screenplay), Christopher Nolan (story), David S. Goyer (story), Bob Kane (characters)
นักแสดงนำ : Christian Bale, Heath Ledger, Aaron Eckhart, Michael Caine, Maggie Gyllenhaal, Gary Oldman, Morgan Freeman
แนว/ประเภท : Action, Crime, Drama, Thriller
เรท : USA/PG-13
ความยาว : 152 นาที
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย : Warner Bros. Pictures, Legendary Pictures, Syncopy
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย : 17 July 20

รีวิว Joker

รีวิว Joker

รีวิว Joker

หนังไทยnetflix เมื่อสังคมและสภาพแวดล้อม ไม่เป็นใจ สังคมและผู้คนที่โหดร้าย ได้ก่อกำเนิดปีศาจ ที่ต้องทุกข์ทนทรมาณ กับความเจ็บปวดที่ต้องได้รับจนระเบิดออกมาในที่สุด ก็กลายเป็นโจ๊กเกอร์ เขาต้องเผชิญกับความอ้างว้างจนเปลี่ยนเขาจากที่เป็นคนอ่อนแอกลายเป็นคนโหดเหี้ยม เขารับจ้างแต่งชุดตัวตลกรายวัน จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เขาพยายามจะแสดงตลกเดี่ยว แต่กลับพบว่าตัวเองต่างหากที่เป็นเรื่องตลก เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาที่มีผู้คนอยู่รายล้อม ซึ่งเห็นได้จากเสียงหัวเราะที่ควบคุมไม่ได้และดูไม่เหมาะสม

ยิ่งเขาพยายามควบคุมเท่าไหร่มันก็ยิ่งแสดงออกมามากขึ้น จนทำให้เขาแสดงความเยาะเย้ยและความรุนแรงออกมา อาร์เธอร์ทุ่มเทเวลาไปกับการดูแลแม่ที่ไม่ค่อยแข็งแรง และไขว่คว้าตามหาคนที่เหมาะจะเป็นพ่อซึ่งเขาไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่นักธุรกิจมหาเศรษฐี โธมัส เวย์น ไปจนถึงพิธีกรรายการทีวี เมอร์เรย์ แฟรงค์ลิน เขาพบว่าตัวเองอยู่ปลายทางระหว่างโลกแห่งความจริงกับความบ้าคลั่ง การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวกลายเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงมากมาย

รีวิว Joker

ดูหนังจบคุณจะจำชื่อเขาอย่างหลอนหัว “อาร์เธอร์ เฟล็ก” (Arthur Fleck) AKA โจ๊กเกอร์ (Joker) สิ่งหนึ่งที่หนังจากคอมิก ดีซี โดยค่ายวอร์นเนอร์ทำได้อย่างดีเสมอมานับตั้งแต่ไตรภาค Dark Knight ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) คือการเป็นหนังที่ดาร์กเข้ม จริงจังทั้งความสมจริงและดราม่า การสร้างตัวละครที่มีมิติรายละเอียด

และวิช่วลที่ตระการตาในยุคของ แซ็ก ชไนเดอร์ (Zack Snyder) ซึ่งด้วยการไล่ตามความสำเร็จและกดดันจากมาร์เวล ทำให้ยังทำยิ่งเป๋หนักจากการทอดทิ้งแนวทางการสร้างตัวละครมิติเชิงลึก ไปเป็นแอ็กชันผาดโผนผสมอารมณ์ขันสไตล์มาร์เวล ซึ่งงก้ไม่ค่อยขำเพราะสวนทางดราม่าที่ยังพยายามยึดไว้ด้วย

เลยกลายเป็นการใส่ดราม่าแบบฉาบฉวยและพลอตที่ยัดเยียดให้เกิดดราม่าเสียแทน ที่ผู้ชมจะสมัครใจอิน แม้ในยุคของ Wonder Woman และ Aquaman จะเริ่มลงตัวมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังห่างไกลจากการเป็นดราม่าเข้มขึงที่เคยเป็นรากฐานของดีซีจริง ๆ เว็บหนัง

รีวิว Joker

รีวิวหนังดัง มาถึงตรงนี้ก็ต้องขออภัยในการที่ต้องเทียบกับทางมาร์เวล เพื่อให้เห็นว่านี่เป็นความกล้าขนาดไหนของวอร์นเนอร์ที่อาจยอมทิ้งรายได้มหาศาลจากการทำตามมาร์เวลไปเพื่ออนุมัติสร้างหนังเรื่องนี้
JOKER จึงเป็นการแสวงทางสู่ดราม่าจิตวิทยาแบบลงลึก ดิ่งจม ผสมเหล้าข้นปนยารักษาโรคประสาท ที่มีกลิ่นดินปืนคลุกละอองเลือดลอยคละคลุ้งในอากาศ ซึ่งเป็นสายทางหนังประกวดรางวัล เวทีที่ไม่น่าพลาดคงเป็นเวทีลูกโลกทองคำ

แต่สำหรับออสการ์ก็เรียกว่ามีลุ้นไม่น้อยทีเดียว ซึ่งจะว่าก็น่าเสียดายแทนแฟนหนังมาร์เวลที่ไม่สนใจในการทำหนังแนวคว้ารางวัลสาขาหนังยอดเยี่ยม ยิ่งความอ่อนไหวของดิสนีย์ที่ไม่ชอบเล่นประเด็นสุ่มเสี่ยง ขนาดเคยไล่ผู้กำกับอย่าง เจมส์ กันน์ (James Gunn) ออกจากค่ายมาแล้วเพราะผลการกระทำในอดีตที่แทบไม่ควรเอามาเป็นประเด็นอีก

เพราะแนวทางการสร้างของมาร์เวลก็เน้นรายได้ความนิยมมากกว่ารางวัลอยู่แล้ว จึงไม่มีวันคิดจะทำหนังสไตล์ Joker ได้สำเร็จแน่นอน

ดีไม่ดีทำแล้วจะเป๋จนเพี้ยนไปหมดด้วย นี่จึงต้องยอมรับในความกล้าของผู้บริหารของค่ายวอร์นเนอร์มาก ๆ ที่กล้าเสี่ยงเอาตัวละครดังมาทดลองกับแนวทางหนักหน่วงเช่นนี้

หนังสามารถคว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยม สิงโตทองคำ (Golden Lion) จากเทศกาลหนังเมืองเวนิสปีล่าสุด พร้อมการยืนปรบมือยาวนานของผู้ชมหลายนาที ซึ่งคงเป็นเพียงระฆังสัญญาณแรกในการลุยเวทีรางวัลใหญ่ในปีนี้ของหนังที่อาจตามรอยรุ่นพี่อย่าง The Shape of Water (2017) และ Roma (2018) ซึ่งล้วนเคยคว้ารางวัลสิงโตทองคำก่อนไปชนะรางวัลใหญ่ในเวทีออสการ์สำเร็จมาแล้วทั้งคู่ก็เป็นได้ ต้องยอมรับว่าก่อนดูหนังมีความแคลงใจ และคิดไปล่วงหน้าว่าอาจไม่ชอบตัว
หนังไปเลยก็ได้

รีวิว Joker

แต่พอเข้าไปดูแล้วนั้นก็ต้องพูดโดยรวมว่า หนังประสบความสำเร็จอย่างมากในการพาเราจมดิ่งลงไปในตัวละครนำอย่าง อาร์เธอร์ เฟล็ก อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เราจึงทั้งเข้าใจ ต่อต้าน เห็นใจ ขัดแย้ง อยากโอบกอดเขา และดุด่าเขาไปพร้อมกัน และเหนืออื่นใดมันคือประสบการณ์มหัศจรรย์ที่เราจะได้เห็น วาคีน ฟินิกส์ (Joaquin Phoenix) ลอกคราบทีละชั้นจนกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดนาม โจ๊กเกอร์ ในที่สุด

ผู้กำกับทอดด์ ฟิลลิปส์ คว้ารางวัลสิงโตทองคำจากหนังเรื่องนี้ นี่คือผลงานการกำกับของ ทอดด์ ฟิลลิปส์ (Todd Phillips) ผู้กำกับชื่อดังที่สร้างชื่อตัวเองมาจากหนังแนวคอมเมดี้ไตรภาคอย่าง The Hangover นี่จึงเป็นการผันตัวมาทำหนังดราม่าหนักหน่วงจริงจัง โดยเฉพาะเป็นการนำคาแรกเตอร์จากคอมิกดังมาดัดแปลงครั้งแรกของเขาด้วย

สิ่งที่ต้องชื่นชมผู้กำกับอย่างมากคือ วิสัยทัศน์ด้านการนำเสนอ ทั้งฉาก ภาพ วิช่วล ที่พยายามให้นึกถึงนิวยอร์กในยุค 1970 อันเป็นปีแห่งความสับสนวุ่นวาย เส็งเคร็ง กักขฬะ ผู้คนแสวงหาคุณค่าในความดีงาม ในตัวเอง ในตัวผู้อื่น เป็นยุคแห่งการหลงทิศหลงทาง ทั้งสงครามเวียดนาม คดีวอร์เตอร์เกต สงครามเย็น ลัทธิคลั่งศาสนา

การนำยุคที่ถูกต้องมาสู่การสร้างฉากหลังให้ตัวละครที่ถูกตัว คือความสำเร็จที่งดงามที่สุด ยังไม่รวมว่างานด้านภาพและวิช่วลต่าง ๆ ทำออกมาได้อย่างงดงามในความล่มสลาย งดงามในความรุนแรง และงดงามดั่งหัวใจเลวทรามใสซื่อของตัวละครนำ

ทอดด์ และ สก็อตต์ ซิลเวอร์ (Scott Silver) มือเขียนบทรางวัลออสการ์จากหนัง The Fighter (2010) เลือกนำจิตวิเคราะห์มาสู่ตัวละคร และเขียนบทจากผิวแล้วเลาะเปลือกตัวละครลงทีละชั้นได้อย่างที่คนไม่ต้องเรียนจิตวิทยามากมายก็เข้าใจหัวจิตหัวใจอันน่าเวทนาของตัวละครได้ มีดที่เลาะคราบของตัวละครออกมีตั้งแต่

สังคมที่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบคนอ่อนแอ ความพิการทางกายและใจ ความถูกละเลยไม่แยแสจากทั้งคนและจากทั้งรัฐ ความเชื่ออันหลงผิด ความหวังอันจอมปลอม ความรักที่แท้เพียงการหักหลังทรยศ และคุณค่าความภูมิใจในตนเองที่ตกต่ำต้อยแดดิ้นยิ่งกว่าก้นบุหรี่ที่ถูกคายทิ้งแล้วเอาเท้าขยี้ซ้ำ มันคือการตกต่ำลงเรื่อง ๆ ของตัวละครไปพร้อมกันกับการสูญสลายความศรัทธาในความดีงามความถูกต้องใด ๆ ทั้งมวล ดูหนัง

สรุป Joker

รีวิวหนังดัง หนังสร้างตัวละครโจ๊กเกอร์บนโจทย์สำคัญที่ว่า เขาคือตัวละครที่ไร้ตัวตน ไม่มีอดีตที่ชัดเจนว่าคือใคร มีที่มาที่ไปเช่นใด เป็นสุญญากาศ เป็นความกลวงของสังคม เป็นความบ้าคลั่งไร้ทิศทาง และเป็นฮีโร่ของสังคมป่วย ๆ ที่พิทักษ์ความยุติธรรมอันเจ็บป่วยด้วยวิธีการอันเจ็บป่วยพร้อมกัน เหมือนทอดด์กับซิลเวอร์ถอดโจทย์จากคอมิกทุกเล่มไว้บนปลายทาง ก่อนเรียงร้อยสร้างสรรค์ระหว่างทางเพื่อบรรลุผลตอนท้าย จากเรื่องราวที่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคยสู่ตอนจบที่แนบเนื้อเดียวกับตำนานในใจของผู้อ่านทุกคน

ความละเอียดของจิตวิเคราะห์ยังลงลึกไปในประเด็นความโหยหา พ่อ ของตัวละคร ที่พยายามเอาภาพพ่อในจินตนาการที่ไม่เคยได้พบเจอไปซ้อนทับกับไอดอลในชีวิตจริงทั้ง เมอร์เรย์ แฟลงคลินส์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร Robert De Niro) พิธีกรเจ้าของรายการทอล์กโชว์ชื่อดังที่อาร์เธอร์ดูมาแต่เด็ก ตลอดจน โทมัส เวย์น มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยอันจะทำให้ทุกข์ในความยากจนของอาร์เธอร์และแม่ปลิวไปได้เพียงแรงลมผิวปากของโทมัสเท่านั้น

เพียงประเด็นเรื่องพ่อประเด็นเดียวเชื่อว่าก็มีคนวิเคราะห์กันได้ลึกได้ยาวเป็นบทความกันแล้วล่ะ นี่จึงเป็นความเจ๋งที่หนังเรื่องนี้ใส่ใจทุกเม็ดทุกซอกมุมของตัวละคร และการเล่าเรื่องผ่านตัวละครนำทั้งเรื่องจึงประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องพึ่งสูตรบารมีของตัวละครอื่นมาให้แฟนต้องว้าว อย่างเช่นผลงานซูเปอร์ฮีโรครอสโอเวอร์เรื่องอื่น ๆ ต้องใช้เลยก็ตาม

และอีกสิ่งที่คงปฏิเสธได้ยากคือ นี่เป็นผลงานการแสดงที่ต้องจารึกโลกอีกครั้ง ของ วาคีน ฟีนิกส์ (Joaquin Phoenix) นักแสดงผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากหนัง Walk the Line (2006) และ The Master (2012) รวมถึงเคยเข้าชิงสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Gladiator (2000) มาแล้ว นี่น่าจะเป็นอีกครั้งที่เขาน่าจะเข้าใกล้รางวัลนี้มากที่สุด

เพราะโจ๊กเกอร์กลายเป็นบทที่ยากและลำบากในการแสดง เมื่อมันถูกตั้งมาตรฐานมาแล้วจากนักแสดงชั้นยอดในอดีต อย่าง แจ๊ก นิโคลสัน (Jack Nicholson) หรือ มาร์ก ฮามิลล์ (Mark Hamill) โดยเฉพาะที่ว่าการเป็นผลงานทุ่มสุดตัวครั้งสุดท้ายแห่งชีวิตของ ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) ด้วยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นงานหินโคตร ขนาดว่านักแสดงที่ดีอย่าง จาเรด เลโต (Jared Leto) ที่เคยคว้าออสการ์มาแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จกับบทบาทนี้เท่าใด

แต่เชื่อมั้ยว่า วาคีน ฟินิกส์ เขาทำได้ แถมทำได้อย่างเปี่ยมเสน่ห์น่าขนลุก เขาค่อย ๆ กลายเป็นโจ๊กเกอร์ได้อย่างละเมียดมาก ๆ ใช่ เทคนิคคือเขาไม่ได้พยายามจะเป็นโจ๊กเกอร์แต่ต้น หากแต่เป็นคนธรรมดาที่มีความผิดปกติแตกต่างจากคนอื่น ซึ่งทำให้เราเข้าใจและอินไปกับความใกล้เคียงมนุษย์ทั่วไปได้ จนสุดท้ายเขาค่อย ๆ กลืนยาที่เรียกว่าอุปสรรคและโชคชะตาลงไปในท้องทีละเม็ด

ก่อนจะกลายร่างเป็นตัวละครวายร้ายที่โด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่งอย่างงดงาม จุดสังเกตที่เราต้องทึ่งในรายละเอียดการถอดเทคนิคทางการแสดงของวาคีน ฟินิกส์ มีตั้งแต่สีหน้า ดวงตา กายภาพ ท่าทางต่าง ๆ โดยเฉพาะการเดิน การวิ่ง การใช้มือ การหัวเราะ คือทุกสัดส่วนการใช้กายและใจของเขามันถอดตัวละครออกมาเป็นชิ้น ๆ แล้วประกอบใหม่อยู่ซ้ำ ๆ จนอาร์เธอร์กลายเป็นโจ๊กเกอร์ได้ เชื่อว่าสายการแสดงมานั่งดูคงต้องจดเล็กเชอร์รายฉากกันเลยทีเดียว

นี่เป็นหนังที่เราอาจไม่ได้รู้สึกมีความสุขไปกับมัน ไม่ได้หัวเราะกับมัน ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจระเบิดตูมตามเร้าใจ ไม่ใช่หนังฮีโรในกระแสใด ๆ มันอาจเป็นหนังของคนธรรมดาที่เจอวันแย่ ๆ และผิดเพี้ยนจนกลายเป็นขบถต่อสังคมอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ มันจึงเป็นหนังที่อิ่มในความรู้สึก อิ่มในสมองที่ต้องการบทเรียนรู้สำคัญผ่านหนัง หนังที่เรานั่งนิ่งอึ้งเมื่อจบ พลันเมื่อรู้สึกตัวก็อยากปรบมือให้มันยาว ๆ ยาวนานเท่าที่จะทำได้ เว็บดูหนัง

รีวิว Eternals

รีวิว Eternals

รีวิว Eternals

หนังไทยมาใหม่ สวัสดีครับวันนี้แอดมินมารีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่ค่าย Marvel ที่ผมคิดว่าแค่เปิดเรื่องมาก็ทำให้ผมตื่่นตาตื่นใจแล้ว ด้วยภารกิจอันน่าตื่นตาตื่นใจเราๆคนดูมากๆแล้ว และยังทำให้เราได้รู้ว่า เหล่านักรบนาม อีเทอร์นอลส์ ถูกส่งมายังโลกมนุษย์โดยอริเชมสิ่งมีชีวิตที่เสมือนเป็นพระเจ้าผู้สร้างชีวิต โดยหน้าที่หลักของอีเทอร์นอลส์คือการช่วยเหลือมนุษย์ให้เกิดวิวัฒนาการและปกป้องพวกเขาจากเหล่าดีเวียนต์ สัตว์ประหลาดสุดเกรี้ยวกราดที่มุ่งทำลายมนุษย์และสรรพสิ่งเป็นสำคัญ

หลังอีเทอร์นอลส์ปฏิบัติภารกิจมานับพันปีก็ได้เวลาแยกย้ายเดินทางไปใช้ชีวิตตามวิถีของแต่ละคนโดยหนังเลือกให้เราไปโฟกัสที่ เซอร์ซี (เจมมา ชาน Gemma Chan) อีเทอร์นอลส์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสสารของสรรพสิ่งได้ ซึ่งปัจจุบันเธอกลายเป็นเจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนและเริ่มคบหากับ เดน ไวต์แมน (คิต แฮริงตัน Kit Harington) เพื่อนร่วมงานของเธอแต่แล้วเมื่อเหล่าดีเวียนต์ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในรอบพันปี

รีวิว Eternals

เซอร์ซี สไปร์ต (ไลอา แม็กฮิวจ์ Lia McHugh) ผู้มีพลังในล่องหนและใช้มีดเป็นอาวุธ และอีคาริส (ริชาร์ด แมดเดน Richard Madden) ผู้สามารถทะยานฟ้าและยิงลำแสงพิฆาตจากตาได้ต้องรวมพลกับเหล่าอีเทอร์นอลส์อีกครั้งเพื่อต่อกรกับภัยร้ายระลอกใหม่ที่มีโลกทั้งใบเป็นเดิมพัน

จะว่าไปแล้วจุดเด่นที่สุดของอีเทอร์นอลส์นอกจากการเป็นซูเปอร์ฮีโรกลุ่มแรกที่มีสถานะเทพต่อจากธอร์แล้ว อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือการพยายามเชื่อมโยงความเป็นฮีโรเข้ากับประวัติศาสตร์และความเป็นมนุษย์จนกล่าวได้ว่าเมื่อหนังดำเนินเรื่องไปสิ่งที่สำคัญกว่าภารกิจที่ต้องกำจัดดีเวียนต์คือการตั้งคำถามต่อตัวเองว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรรักษาไว้หรือไม่ เว็บดูหนัง

รีวิว Eternals

รีวิวหนังดัง Eternals เป็นเรื่องราวของกลุ่ม The Eternals ที่ถูกสร้างขึ้นโดย เซเลสเทียล เผ่าพันธุ์เทพแห่งจักรวาลอายุนับล้านปี พวกเขาได้ถูกส่งให้เดินทางมายังโลกมนุษย์ และได้แฝงตัวอาศัยอยู่อย่างลับ ๆ มานานกว่า 7,000 ปี แต่แล้วพวกเขาก็ต้องออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อปกป้องโลกจาก ดีเวียนต์ คู่ปรับตลอดกาลที่ถูกสร้างขึ้นจากเซเลสเทียลเช่นเดียวกัน

อาจจะต้องบอกผู้อ่านทุก ๆ คนอย่างสัตย์จริงเลยว่า Eternals เป็นหนังมาร์เวลที่แตกต่างไปจากหนังมาร์เวลเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้านี้แทบจะทั้งหมด เหมือนเป็นความพยายามละเลงจัดวิธีการนำเสนอและเล่าเรื่องในแบบที่ซอฟต์ลงหน่อย แต่องค์ประกอบต่าง ๆ ก็ยังถูกใส่มาจัดจ้าน จึงทำให้ตอนนี้ได้คลายความสงสัยแล้วว่า ทำไมมาร์เวลถึงเลือกผู้กำกับหญิงรางวัลออสการ์ “โคลอี้ เจา” มาทำหนังเรื่องนี้ ก็เพราะว่า…น่าจะมีแค่เธอในตอนนี้ที่ทำแบบนี้ได้ถึง

หากคุณเป็นแฟนหนังมาร์เวลตัวยง ที่หวังจะมาดูฉากต่อสู้เจ๋ง ๆ หรือฉากประกอบร่าง Assemble ของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ คงต้องบอกว่า…คุณน่าจะผิดหวัง เพราะ Eternals มาพร้อมกับการเป็นหนังที่ชูเสน่ห์และความโดดเด่นในด้านเส้นเรื่องที่เลือกจะแตะต้องกับสัมผัสเข้าถึงในด้านความเป็นมนุษย์ของปุถุชนในทิศทางนั้นมากกว่า จึงทำให้หนังความยาว 2 ชั่วโมงกว่า ๆ นั้น ดำเนินไปแบบ…เรื่อย ๆ

รีวิว Eternals

แม้ว่าจะมีตัวละครใหม่มาให้แนะนำอยู่หลายตัว แต่ Eternals กลับเลือกวิธีการเล่าเรื่องแบบสลับไปสลับมา อดีตกับปัจจุบันที่ดูจะเป็นเส้นเรื่องที่ต้องปรับตัวและทำความเข้าใจกับไทม์ไลน์ในบางช่วงบางตอน ทำให้การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ทำให้ตัวหนังค่อนข้างจืดชืดไปเกือบตลอดทาง แต่ระหว่างทางก็ยังถือว่ามีความน่าสนใจ ด้วยการประกอบเรื่องราวโยงเข้ากับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์โลกในหลาย ๆ ยุค ที่ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีที่หนังนำมาผนวกเข้าไว้

ในหนังมาร์เวลเรื่องนี้จะสัมผัสได้เห็นลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของ โคลอี้ เจา ปะปนอยู่ไปตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะสไตล์การเล่าเรื่องที่มักจะใช้อารมณ์และท่าทางของตัวละครสื่อสารออกเป็นภาพ จึงทำให้กลายเป็นที่มีมุมมองที่ต่างไปจากวิถีเดิม ๆ ของมาร์เวลอย่างชัดเจน หนังมีความเป็นดราม่าเยอะหน่อย แต่ไม่ถึงกับดราม่าจัด ๆ อะไรขนาดนั้น เพราะเป็นดราม่าแบบมีที่มาที่ไปอย่างสมเหตุสมผล

แต่ก็นับว่ายังดีที่ Eternals ได้ทีมนักแสดงที่ค่อนข้างหลากหลายความสามารถ พวกเขาได้ถ่ายทอดบทบาทที่ตัวเองได้รับได้เป็นอย่างดี และขับจุดเด่นของคาแรกเตอร์นั้น ๆ ออกมาได้น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็น “ริชาร์ด แมดเดน” ที่ใคร ๆ บอกว่าพลังเหมือนซูเปอร์แมน แต่ลึก ๆ ไปกว่านั้นยังมีอะไรให้น่าค้นหาอีก “เจมม่า ชาน” เป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยมิติหลากหลายเช่นกัน

รีวิว Eternals

คำพูดหนึ่งของ เอแจ็ก ตัวละครที่รับบทโดยซัลมา ฮาเยค (Salma Hayek) ที่ยกเหตุการณ์ว่าธานอสดีดนิ้วแล้วเอาประชากรครึ่งจักรวาลหายไปกับตา แต่มนุษย์คนหนึ่งยอมสละชีพ (กล่าวถึงไอรอนแมนในหนัง ‘Avengers Endgame’) ดีดนิ้วเพื่อนำคนกลับมา เธอเลยมองเห็นคุณค่าของมนุษย์และต้องการปกป้องมนุษย์จากแผนการของผู้บังคับบัญชาของเธอแม้จะขัดกับเจตนารมย์ที่เหล่าอีเทอร์นอลส์ถูกส่งมายังโลกก็ตาม

ซึ่งมันทำให้บทหนังที่โคลอี้ เจา (Chloé Zhao) ผู้กำกับของหนังร่วมเขียนดูจะให้ความสำคัญกับการศึกษาตัวละครมากกว่าภารกิจเหมือนหนัง MCU เรื่องอื่นและแม้เธอจะต้องใช้กลไกอันซ้ำซากในการบอกเล่าที่มาที่ไปของตัวละครด้วยฉากแฟลชแบ็กจนทำให้น้ำหนักระหว่างภารกิจที่ต้องต่อกรกับดีเวียนต์ดูเป๋ไปบ้าง ทว่าในทางกลับกันมันกลับทำให้เห็นว่าแม้อีเทอร์นอลส์จะถูกกำหนดให้มีสถานะไม่ต่างจากเทพที่คนเคารพบูชาทว่าความเป็นมนุษย์ล้วน ๆ เลยที่ขับเคลื่อนหนังให้มีมิติของดราม่าที่น่าสนใจ ดูหนัง

สรุป Eternals

รีวิวหนังดัง โดยเฉพาะประเด็นความไม่สมบูรณ์แบบที่เหล่าอีเทอร์นอลส์แต่ละคนต้องมาแก้ปมของตัวเอง โดยเฉพาะกรณีรักสามเส้าของเซอร์ซีกับสไปร์ตที่มีอิคาริสเป็นศูนย์กลาง ที่ฝ่ายแรกรอคนรักที่ถึงกับแต่งงานกันเป็นทางการกลับมาครองคู่นับพันปี ในขณะที่ฝ่ายหลังถูกสร้างให้ร่างกายเป็นเด็กจนฝ่ายชายไม่เคยมองเธอในฐานะสตรี และถึงแม้ว่าประเด็นนี้จะถูกผุดขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไปคล้ายกับพลอตรองเจ้าปัญหาอีกล้านแปด

ซึ่งส่งผลให้หนังดูมีพล็อตรองอันอีรุงตุงนัง อย่างเช่นประเด็นอาการทางจิตของ ธีนา (รับบทโดย แองเจลินา โจลี Angelina Jolie) เทพีสงครามที่ต้องได้รับการดูแลจากกิลกาเมช (รับบทโดย มาดงซ็อก) อีเทอร์นอลส์จอมพลัง หรือเรื่องการหมดศรัทธามนุษย์และการเริ่มความสัมพันธ์ในสถานะ LGBTQ+ ของ ฟาสโตส (รับบทโดยไบรอัน ไทรี เฮนรี Brian Tyree Henry) อีเทอร์นอลส์นักประดิษฐ์ ที่อาจทำให้คนดูหลายคนหงุดหงิดและรู้สึกว่าหนังแวะริมทางบ่อยเหลือเกิน

แต่เหล่านี้ล้วนแสดงเจตนาชัดเจนว่าหนังภายใต้การกำกับของเจา หาใช่หนังมาร์เวลที่เหล่าฮีโรจะมาปล่อยลำแสงเฮ้ากวงเหมือนที่ผ่าน ๆ มาไม่ แต่มันคือการพาผู้ชมไปรู้จักกับแง่มุมความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนซึ่งไม่ได้มีด้านที่เพอร์เฟกต์และไม่ได้มีแค่การผดุงไว้ซึ่งความดีงามอันฉาบฉวยแต่หมายถึงการใช้หลักมานุษยวิทยามาค่อย ๆ อธิบายเหตุผลจนเราได้เห็นพวกเขาต้องสู้ศึกตั้งแต่ศัตรูภายนอกอย่างเหล่าดีเวียนต์จนถึงการสู้รบปรบมือกับจิตวิญญาณตัวเอง

ดังนั้นการแลกเวลาร่วม 1 ใน 3 ของหนังไปกับฉากแฟลชแบ็กที่มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่หลายคนอาจมองว่าน่าเบื่อและแทบจะไม่แตะประเด็นหลักของเรื่องไปมากกว่าการต่อกรกับดีเวียนต์ครั้งที่ผ่าน ๆ มา แท้ที่จริงแล้วหนังเหมือนพยายามเขียนปูมประวัติศาสตร์ของตัวเองในฐานะปฐมกาลของเหล่าฮีโร ซึ่งแน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยรายละเอียดหลายอย่างและเปี่ยมด้วยอารมณ์ความอ่อนไหวของเหล่าอีเทอร์นอลส์จนกล่าวได้ว่านี่คงเป็นหนังมาร์เวลที่เข้าขั้นสโลว์เบิร์น (Slow Burn) ประหนึ่งหนังอาร์ตเฮาส์ที่สุดก็ไม่ผิดนัก

และเมื่อพิจารณาว่าในบรรดาเทพทั้งหมดทำไม มาดงซ็อก ต้องมารับบทกิลกาเมซที่ชื่อไม่ได้เป็นเอเซียเลย ทำไมต้องมีตัวละครเป็นคนใบ้อย่าง มัคคารี (รับบทโดยลอเรน ริดลอฟฟ์ Lauren Ridloff) หรือมีบทของคนอินเดียอย่าง คูมาลิ นานจานี (Kumail Nanjiani)และฮาริช พาเทล (Harish Patel) ในบทคิงโกและผู้จัดการดาราก็ยิ่งชัดเจนเลยว่าเจาต้องการให้เรามองความเป็นมนุษย์ในโลกภาพยนตร์ที่มีมากกว่าฝรั่งหน้าตาดีอันเป็นธรรมเนียมของฮอลลีวูดและมันยังตอบโจทย์กับการนำเสนอความเป็นมนุษย์นิยมอย่างที่หนังต้องการได้อีกด้วย

“คูมาล นานจิเอนี”, “ไบรอัน ไทรี เฮนรี่”, “ลอว์เรน ริดลอฟฟ์”, “มาดงซอก”, “แบร์รี่ โคแฮน”, “ซัลมา ฮาเย็ค” หรือ “ลีอา แม็คฮิวจ์” ถือครองบทของพวกเขาได้เป็นอย่างดี แต่ที่ไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ก็คือ “แองเจลิน่า โจลี่” ที่มาแสดงกับความคิดที่ว่าตัวเองมาเล่นแค่บทรับเชิญ แต่ตัวละครของเธอก็ถือว่ามีความซับซ้อนที่รอคอยการค้นหาอยู่ไม่น้อย

และก็ต้องยอมรับว่า Eternals เป็นหนังที่มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาได้อย่างอลังการ แบบไม่เสียชื่อมาร์เวลเลยสักนิดเดียว เมื่อมาเจอกันตรงกลางกับไอเดียคอนเซ็ปต์จากโคลอี้ เจา ทำให้หนังมาร์เวลเรื่องนี้เป็นหนังที่มุมภาพและงานภาพที่ค่อนข้างสวยงามและโดดเด่นแปลกตาจากเดิมไม่น้อย โดยเฉพาะงานภาพที่มักจะเล่นกับแสดงธรรมชาติเป็นหลัก ที่นับว่าเป็นงานถนัดของผู้กำกับหญิงคนนี้

เอาเป็นว่าสรุปโดยรวมแล้ว Eternals เป็นหนังเปิดตัวฮีโร่กลุ่มใหม่ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ พร้อมกับสร้างตัวละครใหม่ ๆ เอาไว้ประดับจักรวาลได้อย่างก้าวไกลทีเดียว แต่ก็ยังไม่เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากนัก เหมือนปรุงแกงหม้อหนึ่งที่ใส่เครื่องไปเยอะแยะมากมาย แต่ปรากฏว่ารสชาติที่ได้ออกมายังคงจืดชืดอยู่ รสแท้ยังไม่ออก และเมื่อหนังเรื่องนี้ผ่านไปไม่กี่ปี ก็อาจจะเข้าทำเนียบหนังมาร์เวลที่ถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย…

ถ้าหากแฟนหนังที่อยากจะมีดูแอคชั่นโกลาหลกับภัยของโลกครั้งใหม่ก็คงจะไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ เพราะหนังเรื่องได้เลือกนี้ใช้ “ความรัก” เป็นแรงขับเคลื่อนในการเดินเรื่องมากกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะวิธีที่ผิดแต่อย่างใด เพียงแต่อาจจะหยิบนำมาใช้กับหนังที่ยังไม่เหมาะกับวิธีนี้สักเท่าไหร่ จึงทำให้เป็นหนังที่มีประเด็นการสื่อสารที่ดี แต่ยังไม่มีรสชาติที่กลมกล่อมออกมาสักเท่าไหร่…

กระนั้นนอกจากบทที่พูดถึงมนุษย์ได้อย่างถึงแก่นและนำเสนอวัฒนธรรมอันหลากหลายแล้วหนังยังไม่ลืมจุดขายสำคัญของหนังมาร์เวลทั้งฉากแอ็กชันและงานวิชวลสุดตื่นตา พร้อมการปรากฎตัวของฮีโรรายใหม่ในฉากท้ายเอนด์เครดิตที่ดูจะเป็นธรรมเนียมมาตั้งแต่ ‘Black Widow’ หนังเปิดเฟส 4 ของมาร์เวลที่ดูจะไม่ได้แยแสเหล่าฮีโรดังจากเฟสที่ผ่านมามากนักจนดูเหมือนว่ามาร์เวลเองก็ดูจะมั่นอกมั่นใจในคุณภาพหนังและศักยภาพของเหล่าซูเปอร์ฮีโรรายใหม่มากเหลือเกิน

ที่สุดแล้วไม่ว่าคะแนนของ ‘Eternals’ จะได้ครองตำแหน่งหนังมาร์เวลที่คำวิจารณ์เลวร้ายที่สุดหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าคำวิจารณ์หนังก่อนหน้านี้ในต่างประเทศก็ดูจะใจร้ายกับหนังมากไปหน่อย แต่ยังไงคุณภาพหนังจะดีไม่ดีคำตอบก็คงต้องอาศัยประสบการณ์ตรงในโรงภาพยนตร์อยู่ดีถูกไหมครับ ? เว็บหนัง

ประเภท: แอคชั่น / แฟนตาซี
ผู้กำกับ: โคลอี้ เจา
นำแสดงโดย: ริชาร์ด แมดเดน, เจมม่า ชาน, แองเจลิน่า โจลี่, ซัลมา ฮาเย็ค
ความยาว: 157 นาที
กำหนดฉายในไทย: 4 พฤศจิกายน 2021

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

 

หนังไทยnetflix มังกรหยก จัดว่าเป็นนิยายจีนกำลังภายในแถวหน้าที่ชาวยุทธต่างครอบครองมาเป็นเจ้าของจนตาเปียก เพราะความรักที่มีต่อโลกบู๊ลิ้มนั้นช่างเร้าใจ ก็กิมย้งแกช่างเล่าได้สนุกสนานแถมยังกระชับได้ใจความ ยิ่งอ่านยิ่งมันจนวางไม่ลงกันเลยเชียว

จักรวาลมังกรหยกที่กิมย้งแกได้สร้างไว้ก็มีถึง 3 ภาคกันเลยค่ะ เรียกว่าดูดเงินในกระเป๋าไปอย่างสนุกสนานตั้งแต่มังกรหยกภาค 1 เล่าเรื่องก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้ง ต่อด้วยภาค 2 เอี้ยก้วยกับเซียวเหล่งนึ่ง ที่เป็นรุ่นลูก และ ภาค 3 ‘ดาบมังกรหยก’ ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายเล่าถึง เตียบ่อกี้ กับกระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร และ บรรดาสาว ๆ ของเขา แถมด้วยแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ที่เป็นเรื่องราวก่อนยุคก๊วยเจ๋งไปอีกเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่านิยายมัน ๆ ขนาดนี้เมื่อถูกนำมาทำซีรีส์หรือภาพยนตร์มันก็มักจะถูกนำมาทำซ้ำหลาย ๆ รอบซะด้วยสิ เว็บดูหนัง

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

เตียบ่อกี้/หลินฟง ดาบมังกรหยกเวอร์ชันนี้เสนอตอน ‘ประมุขพรรคมาร’ เล่าเรื่องราวห่างจากมังกรหยกทั้งสองภาคราว ๆ 70 ปีเห็นจะได้ (หรืออาจจะมากกว่านั้น) เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเคยดูมังกรหยกสองภาคแรกมาก่อนเลยจ้ะ ดูภาคนี้เลยก็ได้เพราะเป็นเอกเทศอยู่พอสมควร จุดเชื่อมโยงมีอยู่แค่เหล่าจอมยุทธในตำนาน เคล็ดวิชา และ สำนักต่าง ๆ ที่กล่าวถึงแค่นั้นเอง สำหรับ ‘ดาบมังกรหยก 1 : New Kung Fu Cult Master 1’ เป็นภาพยนตร์ที่ถูกปัดฝุ่นใหม่โดยฝีมือของ หวังจิง ผู้กำกับคนเดิมกับที่ทำดาบมังกรหยกเมื่อปี 1993 แล้วค้างภาค 2 ที่ปูว่าจะทำเอาไว้นานจนคนดูตายตกไปตามกันเยอะแยะแล้ว นำแสดงโดยหลี่เหลียนเจี๋ย และ เป็นผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย กำกับคิวบู๊โดยหงจินเป่า

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

รีวิวหนังดัง ใช่จ้ะ ภาคนี้ภาคเดียวกันนี่แหละมันเคยออกสู่สายตาชาวโลกมาแล้วนานมาก การกลับมาคราวนี้หวังจิงร่วมมือกับ วีนัส เคียง รีเมกดาบมังกรหยก 1 เมื่อครั้งกระนู้น โครงเรื่องคล้ายเดิมแต่มีการปรับปรุงใหม่ให้ดีกว่าเดิม อย่างน้อยภาคนี้ก็เอาเตียบ่อกี้คนดีคนเดิมของเรากลับมา ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ดุดัน ผยองเดชแบบเมื่อคราวที่หลี่เหลียนเจี๋ยแสดงนำ แหม นอกจากกิมย้งแกจะชอบปรับปรุงนิยายตัวเองอยู่บ่อย ๆ แล้ว คนเอามาทำหนังก็ยังสืบทอด DNA ของกิมย้งมาอีก ปรับกันไปจ้ะจนกว่าจะตายไปข้างนึง

ภาค 1 จบไปก็ต่อภาค 2 แบบไม่ต้องให้รอนาน ‘ดาบมังกรหยก 2 New Kung Fu Cult Master 2’ จะเริ่มในตอนที่เตียบ่อกี้ และ พรรคเม้งก่า ต้องหาทางช่วยยอดฝีมือจาก 6 สำนักใหญ่ที่ถูกกักขังไว้บนเจดีย์วัดบ้วนอัน ก็คือพรรคมารยกพวกตามมาช่วย 6 พรรคคนดีที่ราวีเม้งก่านั่นแหละ แต่มิกจ้อเจ้าสำนักง้อไบ๊ก็ตายลงในศึกครั้งนี้ โดยมีคำสั่งเสียให้จิวจี้เยี้ยก รับตำแหน่งเจ้าสำนักง้อไบ๊ต่อ พร้อมกับบอกความลับของ ‘กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร’ เตี๋ยเมี่ยง ก็อยากรู้ความลับเช่นกันจึงขอให้เตียบ่อกี้พาไปหาราชสีห์ขนทอง

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

เตียบ่อกี้ และ สามสาวเตี๋ยเมี่ยง จิวจี้เยี้ยก เสี่ยวเจียว จึงออกเดินทางไปยังเกาะน้ำแข็งอัคคี เพื่อค้นหาความลับของสองยอดศาสตราที่เหล่าจอมยุทธ์ทั่วหล้าหมายครอบครอง ในขณะเดียวกัน เซ่งคุน (ซื่อสิงอวี่) ก็รอคอยโอกาสที่จะกำจัดทุกคนที่ขวางทาง จนสุดท้ายสู้กันไปสู้กันมาพระเอกก็ต้องชนะอยู่วันยังค่ำ พร้อมกับรักสามเส้าของเตียบ่อกี้ที่ ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องตีกันเองเลยจ้ะ เพราะนางทั้งสามสามัคคีกันรักพระเอกอย่างกับอะไรดีแน่ะ ถึงจะมีเรื่องราวดุเดือด และ การสูญเสียให้พระเอกต้องน้ำตาตกก็ตามที ดูหนัง

คิวบู๊ได้อยู่แต่ CG ล้ำเลิศกว่า ก็เป็นไปตามยุคสมัยนะคะที่ภาพยนตร์กำลังภายในสมัยนี้จะใช้ CG เข้ามาช่วยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสำหรับดาบมังกรหยกก็อลังการงานสร้างและเฟี้ยวฟ้าวได้อยู่กับ CG ที่ออกมามากมายจนหมัดและดาบหงอยไปเลยจ้ะ บอกตามตรงว่าก็แอบคาดหวังอยู่พอสมควรกับคิวบู๊ที่รอคอย ถึงจะสนองความต้องการไม่ได้มากอย่างที่คาดหวังเอาไว้แต่ไม่ได้ทำให้อกหักซะทีเดียว เพราะสิ่งที่ออกมาสู่สายตาก็ไม่ผิดไปจากสไตล์ของหนังจีน-ฮ่องกงสมัยใหม่ที่จะเน้นไปที่ CG ซะมากกว่า ก็ของมันมีให้ใช้แล้วจะฟาดฟันเหนื่อยทำไมละเนอะ

บทสรุปเรื่องราวใน ดาบมังกรหยก 2

รีวิวหนังดัง จุดนี้ก็เรียกจินตนาการในนิยายออกมาได้พอสมควร ปล่อยพลังกันอย่างมโหฬารไปเลย ถึงลีลาออกหมัด ฟาดดาบจะไม่สาแก่ใจป้าข้างบ้านเท่าไหร่แต่ให้อภัยในความอลังการเหนือมนุษย์ของเขาก็แล้วกัน ภาค 1 กำลังมัน ๆ อ้าวจบเว้ยเฮ้ยต้องรอภาค 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้การรอคอยต้องผิดหวัง เพราะเตียบ่อกี้ในฐานะประมุขพรรคมารนั้นเก่งกาจหาใครทัดเทียม เรียกว่าไร้พ่ายทั่วสารทิศ เรื่องนี้หลินฟงในบทเตียบ่อกี้ถูกบ่นว่า ทำไมแก่จังเลยจ๊ะเตียบ่อกี้ต้องหนุ่มกว่านี้สิ ก็ต้องบอกก่อนเลยค่ะว่าภาคนี้เขามารับบทในช่วงที่เตียบ่อกี้เป็นประมุขพรรคมารแล้ว ตัวจริงแก่กว่าในเรื่อง 10 ปีเอง หยวน ๆ น่า

บทปรับใหม่ที่รักสามเส้าเป็นจุดเด่น
เวอร์ชันนี้ เตียบ่อกี้ กลับมาเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงและมีนิสัยอ่อนโยน แตกต่างปี 1993 ที่บทปรับให้เตียบ่อกี้ทะเยอทะยาน เจ้าคิดเจ้าแค้นซึ่งกลายเป็นคนละคนกับเตียบ่อกี้ในนิยายไปซะฉิบ พอมาเจอเตียบ่อกี้คนเดิมก็รู้สึกดีขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ และแน่นอนว่าสาว ๆ ทั้งสามนางสวยหยดจนถ้าเกิดเป็นเตียบ่อกี้อิชั้นก็เลือกไม่ถูกจริง ๆ จ้ะ แต่หากใครสงสัยว่าใครนะจะเป็นนางเอกก็นี่เลยเขาบอกไว้อยู่แล้วว่าคือ เตี๋ยเมี่ยง ธิดาแห่งอ๋องมองโกลนี่แหละค่ะ ตัวจริงของฮี แต่กว่าจะได้มาบรรจบสมกับที่เกิดมาคู่กัน ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามากมาย

เตี๋ยเมี่ยง/เหวินหย่งซาน
คือหนาวจริง ๆ เพราะไปผจญภัยกันถึงเกาะน้ำแข็งอัคคี ต้องผ่านการต่อสู่ แย่งชิงต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องความลับในกระบี่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกรที่ทำให้นางหนึ่งเปลี่ยนไป นางหนึ่งต้องเสียสละ ภาคแรกปูเรื่องไว้ถึงการฝ่าฟันจนถึงเตียบ่อกี้ได้รับตำแหน่งประมุขพรรคมาร พอมาภาค 2 ก็ไปที่การปกป้องบ้านเมืองจากอ๋องมองโกล ซึ่งนิยายกำลังภายในของกิมย้งก็มักจะสอดแทรกคุณธรรมความดีเอาไว้มากมาย และตัวละครบางตัวมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ให้เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของความจริงบนโลกที่เราเห็นกันอยู่แล้ว ว่าผู้ที่บอกว่าตนเป็นฝ่ายธรรมะก็ไม่ใช่ผู้ทรงคุณธรรมเสมอไป แถมยังต้องให้พรรคมารที่ตัวเองแสนรังเกียจมาคอยช่วยอีกต่างหาก

เสี่ยวเจียว/อวิ๋นเชียนเชียน
ในส่วนนี้ผู้สร้างไม่ได้ทิ้งรายละเอียดไป แต่น่าเสียดายที่การห้ำหั่นเพื่อคุณธรรมความดีและความถูกต้อง การปกป้องบ้านเมืองเบาบางกว่าความรักซะด้วยซ้ำ ก็เข้าใจได้จ้ะเพราะเตียบ่อกี้เขาก็ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องนี้มันเด่นอยู่แล้วตั้งแต่นิยายเลยละ รักมั่นคงให้หญิงอีกคนก็ยังใช่ เสียดายความภัคดีของอีกนางก็ได้อยู่ ผูกสมัครกับอีกนางที่ร่วมทุกข์ก็ได้อีก เกิดเป็นเตียบ่อกี้นี่ก็ลำบากเหมือนกันแฮะ และด้วยความที่เป็นหนังจะให้เล่าได้ครบถ้วนแบบนิยายมันยากมาก ในส่วนนี้ก็ทำให้เนื้อเรื่องขาดความกลมกล่อมไปอยู่สักหน่อย เพราะมันช่างรวบรัดเหลือเกิน พ่อคุณเอ้ย และหลาย ๆ ฉากที่ควรจะมีก็หายวับไปอย่างน่าเสียดาย

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

จิวจี้เยี้ยก/ชิวอี้หนง
ทำให้บทของเรื่องนี้ดูพร่องไปอย่างเห็นได้ชัด เราเข้าใจถึงการดัดแปลงอยู่แล้วละเพราะรายละเอียดในนิยายค่อนข้างเยอะ ที่เราจะเห็นในหนังเรื่องนี้ทั้งสองภาคผู้สร้างก็เลือกฉากใหญ่ ๆ มาให้ดูกันทั้งนั้น การปะติดปะต่อเรื่องราวก็รวดเร็วปรู๊ดปร๊าดและรวบรัดอยู่พอสมควร จุดนี้ถึงจะไม่ดุเดือดเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่น่าเบื่อ แต่ใด ๆ ก็ตามคิวบู๊ที่เฟี้ยวฟ้าวยังคงอยู่โดยเฉพาะช่วงต่อสู้ที่เม้งก่า และการออกลีลาของ ดอนนี่ เยนในบทเตียซำฮง ที่ต้องยอมรับเลยว่า ศิลปินชั้นครูผู้นี้ฝีมือไม่พร่องไปเลยจริง ๆ

เตียซำฮง/เจินจื่อตัน (ดอนนี่ เยน)
คอสตูมอลังการ สวยหยดจนไม่อาจละสายตา
ดูหนังกำลังภายในสมัยนี้ถ้าไม่เสพคอสตูมก็เห็นทีจะเสียของนะคะ และเรื่องนี้ก็ประเคนความสวยงามอลังการมาให้ได้เสพกันแบบเต็ม ๆ ตา โดยเฉพาะสาว ๆ ทั้งหลายในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกหรือไม่เอกก็ตาม การออกแบบคาแรกเตอร์ของตัวแสดงทุกตัวจัดได้ว่าใส่ใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมและเปรียบเทียบกับเวอร์ชันเก่าเมื่อนานมาแล้ว ที่เวอร์ชันนี้คุ้มค่าต่อสายตาจริง ๆ ค่ะ โดยเฉพาะค้างคาวปีกเขียวที่อิชั้นชอบการดีไซน์ของตัวละครตัวนี้มาก และราชสีห์ขนทองที่สร้างภาพภายนอกให้ดูน่าเกรงขาม แต่ความจริงเป็นตาแก่ปวกเปียกที่ถ้าไม่มีวิชาราชสีห์คำรามก็เข่าทรุดกันเลยทีเดียว เว็บหนัง

มังกรเสื้อม่วง เสี่ยวเจียว ค้างคาวปีกเขียวและอินทรีคิ้วขาว
บวกกับความสวยงามของสาว ๆ ที่แต่ละนางนั้นบรรจงแต่งเหมือนจะมาแข่งกันประชันความงามก็ไม่ปาน และลุคเท่ ๆ ของเตียบ่อกี้ที่มาถึงวันนี้คงลบคำปรามาสเรื่องอายุไปได้แล้วเพราะเตียบ่อกี้ลุคนี้สร้างมาให้เราเชื่อได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่สาว ๆ สมควรจะตกหลุมรัก หล่อไม่มากแต่เร้าใจเพราะช่างอบอุ่นและแสนดีไปทุกหย่อมหญ้า ภาษาบ้านเราก็คงจะเรียกคุณพี่เขาได้ว่าพระเอกขี้อ่อย ที่ซื่อ ๆ ใส ๆ ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าความเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดีเลยจริงจริ้ง จนทำให้เรื่องนี้เป็นหนังกำลังภายในที่ฉาบด้วยความรักสามเส้าเราสามคนที่ต่างคนต่างเสียสละเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง รวมคนดีที่โลกต้องจำอ่ะจ้ะ ว่าอย่างนั้นแหละ

กำกับ หวังจิง
ความยาว 1 ชั่วโมง 52 นาที
แสดงนำ หลินฟง /เหวินหย่งซาน /ชิวอี้หนง /อวิ๋นเชียนเชียน
OUR SCORE 7.2