Category Archives: รวมรีวิว

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts – จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts - จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts – จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

คุณชอบดูหนังแอคชั่นไซไฟหรือไม่ ถ้าหากคุณชอบ เราเชื่อว่าพวกคุณเอง ก็น่าจะเคยดูหนังหุ่นยนต์เหล็กอย่าง Transformers และในปีนี้ มันก็กลับมาอีกครั้ง ในหนังภาคแยกที่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าๆ แอ็คชั่นดีงามแฟนเซอร์วิสจัดเต็ม! เรื่อง Transformers: Rise of the Beasts 2023 ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: กำเนิดจักรกลอสูร ดูเหมือนว่าเฟรนไชส์หนังเรื่องนี้จะยังไม่ยอมตายและจบลงไปง่าย ๆ แม้ว่าที่ผ่านมามันจะค่อนข้างทิ้งเอาไว้ด้วยเส้นทางที่เละเทะน่าดูไม่น้อย แต่การกลับมาครั้งนี้จะเป็นความหวังครั้งใหม่ได้หรือไม่ อย่าลืมไปติดตามรับชม Transformers: Rise of the Beasts ซูม กันนะครับ

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts - จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: กำเนิดจักรกลอสูร

คงต้องสารภาพตามตรงกับคุณผู้อ่านทุกคนเลยว่า สำหรับหนังชุด Transformers นั้น ทางเราออกอาการเทไปและเลิกดูไปสักพักใหญ่ ๆ น่าจะนับตั้งแต่ภาคที่ 2 เลยด้วยซ้ำ (ซึ่งจำได้ลาง ๆ ว่าทนดูได้ไม่จบ) แม้ว่าหลังจากนั้นมันจะยังคงถูกสร้างออกมาเป็นภาคที่ 3-4-5 ตามลำดับ แต่ก็ไม่ได้ติดตามหรือสนใจเฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ต่อ จะมีก็แค่กลับมาดู “Bumblebee” เมื่อไม่กี่ปีก่อน เพราะเห็นว่าเป็นภาคต้นและมีความเป็น ทรานฟอร์เมอร์ เรียงภาค

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts - จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

หลายคนก็คงจะรู้แล้วแหละ ว่าหนังหุ่นยักษ์ที่รู้จักกันในชื่อ ทรานสฟอร์เมอร์ส นั้น มันมีมาหลายภาคแล้ว ที่เป็นผลงานการกำกับของ ไมเคิล เบย์ นั่นแหละ ภาคแรกๆ นั้นลือลั่นมาก ก่อนที่ยิ่งทำกระแสยิ่งดร็อปลง แล้วก็ถึงเวลาที่มันจะวนกลับมาใหม่ เริ่มต้นด้วยการมาของภาคแยกกับตัวละครที่ผู้คนหลงรัก ‘Bumblebee’ กับเสียงตอบรับที่พาหน้าตาชื่นบาน ก่อนจะถึงการกลับมาอย่างเต็มรูปแบบ ในหนังภาค ‘Transformers: Rise of the Beasts’ หรือชื่อไทย ‘ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: กำเนิดจักรกลอสูร’

และเมื่อได้มีโอกาสกลับมาเปิดใจดูต่อในภาคนี้ คงจะต้องใช้ว่า…เซอร์ไพรส์อยู่เหมือนกัน เพราะ Transformers: Rise of the Beasts กลายเป็นฉบับปรับปรุงใหม่ที่ถือว่าหลาย ๆ อย่างลงร่องลงรอยยิ่งขึ้น เทียบเคียงได้กับเสน่ห์ที่เคยสัมผัสได้ตั้งแต่หนังภาคแรกที่สร้างประสบการณ์ดูหนังที่ตื่นตาตื่นใจได้เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ถือว่าองค์ประกอบอะไรบางอย่างของหนังชุดนี้ได้ถูกจัดระเบียบขึ้นให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น

เรื่องย่อ

Transformers: Rise of the Beasts 037 ในเวอร์ชั่นเป็นการเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1994 กับการผจญภัยและต่อสู้ครั้งสำคัญของเหล่าสมาชิกจักรกล ออโตบอตส์ ที่พวกเขาต้องหาหนทางในการกลับดวงดาวของตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ต้องมาจับมือผนึกกำลังกับเหล่าจักรกลเผ่าใหม่ที่ชื่อว่า แม็กซิมอลส์ บนโลกมนุษย์ ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่ยังถูกพวกดิเซปติคอนส์พยายามรุกราน หาวิธีกลืนกินดวงต่าง ๆ ไปทั่วกาแลกซี

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts - จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

สิ่งที่ Transformers: Rise of the Beasts ไม่เหมือนภาคก่อน ๆ

คือจะว่าไป Transformers: Rise of the Beasts ก็แทบจะไม่มีอะไรที่แปลกใหม่สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะพล็อตหนังกับโครงเรื่อง ที่ก็ยังคงวน ๆ ซ้ำเดิมอยู่กับภารกิจตามหาอะไรสักอย่างอยู่เหมือนเคย มันยังใช้ความเป็นสูตรสำเร็จเข้ามาปรุงแต่งและดำเนินเรื่องไปอย่างจำเจ แต่จุดที่แตกต่างไปจากเดิมของหนังชุดนี้ ก็คงจะเป็นการใส่ความมนุษย์เข้ามาเพิ่มขึ้นในหนัง ทำให้เติมแต่งชีวิตจิตใจให้กับตัวหนังได้เพิ่มขึ้น ไม่ได้รู้สึกแข็งทื่อแบบจักรกลล้วน ๆ แบบฉบับ “ไมเคิล เบย์” สร้างเอาไว้หลายต่อหลายภาค

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts - จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่

ภาคนี้ใช้ทีมเขียนบทหนังค่อนข้างอัดแน่นทีเดียว ทั้งนักเขียนหน้าใหม่และยอดฝีมือมาช่วยกัน โดยได้คู่หูนักเขียนบทจากหนังดัง อย่าง Red ทั้งสองภาค และได้ “โจบี้ ฮาโรลด์” จากหนัง John Wick: Chapter 3 มาช่วยตบ ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง ทำให้กลายออกมาเป็นบทสูตรสำเร็จแบบหนังซัมเมอร์ฮอลลิวูด แต่ยังแฝงไปได้กิมมิกที่มีหัวใจและความพยายามสร้างโมเมนต์โอคอนิกต่าง ๆ ที่พอจะเซอร์วิสแฟนหนังได้ในระดับที่ดี

ภาคนี้เปลี่ยนตัวมาลองใช้ผู้กำกับดาวรุ่ง “สตีเว่น คาเปิล จูเนียร์” ที่เคยวาดลวดลายค่อนข้างดีเลิศใน Creed II มาก่อน ต้องถือว่าเขาเข้ามาช่วยละเลงหนังเรื่องนี้ให้ได้ออกมาในระดับที่น่าพอใจ อาจจะไม่ได้เน้นการระเบิดภูเขาเผากระท่อม แบบที่คนก่อนเคยปูทางเอาไว้ แต่จังหวะงานแอคชั่นของเขาก็ถือว่ากำลังอร่อยใช้ได้ไม่เบา แล้วยังหัดใส่ท่วงทำนองดราม่าเบา ๆ เข้ามาเสริมเป็นไซต์สตอรี่อยู่ตลอด ทำให้รสชาติของหนังที่เต็มไปด้วยจักรกลทื่อ ๆ ดูละมุนยิ่งขึ้นแบบสัมผัสได้

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts แอนโทนี รามอส กับ โดมินิก ฟิชแบ็ก

อีกสิ่งที่เข้ามาช่วยเติมเต็มหนังเรื่องนี้เช่นกัน ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมนักแสดง โดยเฉพาะ “แอนโทนี รามอส” กับ “โดมินิก ฟิชแบ็ก” ที่ถือว่าเป็นนักแสดงคนเป็น ๆ ตัวหลักของเรื่อง ซึ่งต้องเล่นกับซีจีเกือบทั้งเรื่อง แต่พวกเขาก็ทำออกมาได้ดี

โดยเฉพาะฉากที่ส่งต่อบทกันและกัน ไม่มีซีนไหนเลยที่พวกเขาไม่เต็มที่ เล่นได้เป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ทีมนักแสดงที่มาให้เสียงพากย์เป็นจักรกลต่าง ๆ ก็มาพร้อมกับอรรสรถที่ดีเช่นกัน “ปีเตอร์ ดิงค์เลจ”, “รอน เพิร์ลแมน” หรือตัวละครใหม่ที่เพิ่งมาสมทบ ที่ได้เสียง “มิเชล โหย่ว” ก็ทำออกมาได้เสนาะหู

แต่ที่ต้องยกนิ้วให้กับความบันเทิงจัด ๆ ในตำแหน่ง MVP ของเรื่องนี้ก็ต้องมอบให้ “พีท เดวิดสัน” ที่มาพากย์เป็น มิราจ ที่ถือว่าเป็นตัวขโมยซีนเด่น ๆ และน่าจะทำให้แฟนหลงรักเขาไม่ยาก เพราะเป็นการสร้างคาแรกเตอร์ได้อย่างเหมาะเหม็งดี

ทางด้านองค์ประกอบงานสร้างเทคนิคพิเศษและซีจีต่าง ๆ คิดว่า Transformers: Rise of the Beasts ก็ยังคงทำได้ตามมาตรฐานที่เคยทำเอา ยังไม่เห็นความโดดเด่นและแปลกใหม่ในจุดสักเท่าไหร่นัก ยังมีบางจุดบางซีนที่ไม่ค่อยเนียน แต่ก็ไม่ใช่จุดที่โดดเด่นและสะดุดจนต้องเก็บนำมาสนใจอะไรขนาดนั้น โดยภาพรวมแล้วถือว่ายังใช้ได้ในระดับพึงพอใจ

รีวิว Transformers: Rise of the Beasts ยังคงได้ 2 ป๋าผู้ให้กำเนิดและจุดความสำเร็จ

‘Transformers: Rise of the Beasts’ ยังคงได้ 2 ป๋าผู้ให้กำเนิดและจุดความสำเร็จให้กับแฟรนไชส์นี้ในอดีต ทั้งสปีลเบิร์ก และป๋าเบย์ ที่ยังคงมานั่งแท่นโปรดิวเซอร์ใหญ่ครับ ส่วนเก้าอี้ผู้กำกับ ได้แฟนเดนตายทรานส์ฟอร์เมอร์ สตีเวน เคเปิล จูเนียร์ (Steven Caple Jr.) ผู้กำกับหนังมวย ‘Creed II’ (2018) มานั่งแท่นรับหน้าที่

โดยในภาคนี้ แฟน ๆ ‘Transformers’ คงคุ้นอยู่แล้วแหละว่า ตัวหนังได้แรงบันดาลใจเรื่องราวเกี่ยวกับหุ่นจักรกลฟอร์มสัตว์ป่า จากแอนิเมชันสามมิติ ‘Beast Wars: Transformers’ (1996–1999) มาอยู่ในรูปแบบหนัง Live Action เป็นครั้งแรก ซึ่งน้อง ๆ อาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่คนอายุแถว ๆ 30 ปีขึ้นน่าจะคุ้นกับการ์ตูนเรื่องนี้ ตอนเอามาฉายออกอากาศทางช่อง 7 บ้างแหละ

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตัวหนังก็เห็นความพยายามที่จะตีความและเปลี่ยนปรับอัปเดตแฟรนไชส์ ‘Transformers’ ใหม่ในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งการปรับดีไซน์หุ่นรบใหม่ โดยเฉพาะหุ่นไพรม์ ที่ปรับให้มีความคล้ายกับเวอร์ชันการ์ตูน (G1) รวมทั้งการปรับคาแรกเตอร์ของเหล่าบรรดาหุ่น ที่แต่เดิมในจักรวาลป๋าเบย์จะมีระยะห่างมากหน่อย พอมาภาคนี้ก็จะมีความใกล้ชิดมนุษย์ มีความเป็นมนุษย์ มีความรู้สึกนึกคิดมากขึ้น  จากออปติมัส ไพร์ม หุ่นรบสุขุม ๆ ให้ดูมีทรงแบบหัวหน้าจอมหัวร้อน แล้วก็เบียวมาก ๆ ด้วย

เพราะคำพูดคำจาพี่แต่ละคำนี่มันช่างเบียวได้ใจจริง ๆ หรือแม้แต่มิราจ ที่ พีท เดวิดสัน ก็รับหน้าที่พากย์เสียงได้ยียวนมาก ๆ ซึ่งตัวหนังพยายามจะดันให้มิราจขึ้นมาเป็นเพื่อนกับมนุษย์ และวางเส้นเรื่องมิตรภาพของมิราจกับโนอาห์ แบบเดียวกับบัมเบิลบีในภาคที่แล้ว มิราจก็เลยต้องกลายมาเป็นตัวจี๊ดตัวตึง เป็น MVP ประจำภาคที่หลายคนชื่นชอบ จนแทบไม่จำเป็นต้องดู ‘Bumblebee’ มาก่อนก็ดูภาคนี้รู้เรื่อง

บทสรุป Transformers: Rise of the Beasts

ดังนั้นโดยสรุปแล้ว ถือว่า Transformers: Rise of the Beasts ค่อนข้างเป็นการกลับมาคืนฟอร์มและต่อลมหายใจให้กับหนังชุดนี้ได้ดีในระดับหนึ่งอยู่ อาจจะยังไม่ได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบอะไรขนาดนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาปรับทิศทางให้มันเข้าที่เข้าทางได้ดีกว่าเดิมขึ้น ตัวละครและคาแรกเตอร์ต่าง ๆ มีเสน่ห์และความน่าสนใจยิ่งขึ้น ถึงมันจะยังเป็นหนังแอคชั่นที่คอยเซอร์วิสแฟน ๆ อยู่เหมือนเคย แต่อย่างน้อย ๆ ภาคนี้มันสามารถรับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ใจบางองค์ประกอบที่ภาคก่อนหน้านี้เคยละเลยไป

ประเภท: แอคชั่น / ผจญภัย / ไซไฟ
ผู้กำกับ: สตีเวน เคเปิล จูเนียร์
นำแสดงโดย: แอนโทนี รามอส, โดมินิก ฟิชแบ็ก, ปีเตอร์ ดิงค์เลจ
ความยาว: 117 นาที
กำหนดฉายในไทย: 7 มิถุนายน 2023

แนะนำเว็บดูหนังออนไลน์ : ดูหนังใหม่
แนะนำเว็บรีวิวหนัง : หนังไทยมาใหม่
แนะนำบทความรีวิวหนัง : รีวิว หุ่นพยนต์

รีวิว หุ่นพยนต์ (2023) หนังไทยแนวสยองขวัญ Horror เรต ฉ.20

รีวิว หุ่นพยนต์ (2023) หนังไทยแนวสยองขวัญ Horror เรต ฉ.20

รีวิว หุ่นพยนต์ (2023) หนังไทยแนวสยองขวัญ Horror เรต ฉ.20

หุ่นพยนต์ Netflix คือ สิ่งที่ผู้ทรงอาคมปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้นมาเพื่อใช้งาน หุ่นพยนต์ คือ รูปที่ผู้ทรงอาคมเอาวัตถุมาผู้ขึ้นแล้วเสกเป่าใหเเป็นเหมือนรูปที่มีชีวิต เป็นความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์โบราณ เรียกว่า วิชาผูกหุ่น สิ่งที่ทำเป็นหุ่นอาทิ ขี้ผึ้ง ดินเหนียว ไม้ไผ่ ทั้งนี้หุ่นพยนต์มีทั้งสายขาว และสายดำ เหมือนในเรื่องที่มีการยกภัยพยนต์ อาทิ หุ่นที่ใช้ทำเสน่ห์ ซึ่งเป็นวิชาสายดำ

รีวิว หุ่นพยนต์ (2023) หนังไทยแนวสยองขวัญ Horror เรต ฉ.20

รีวิว หุ่นพยนต์ หนังไทยแนวสยองขวัญ สะท้อนสังคม

หนังไทยแนวสยองขวัญ สะท้อนสังคม เล่นกับความเชื่อ เรื่อง หุ่นพยนต์ 2023 ข่าวช่วงต้น ๆ ปี มีกระแสดราม่าเรื่องแบน เรื่องจัดเรท เพราะว่าไปเกี่ยวข้องกับวงการสงฆ์หรือพระพุทธศาสนาหรือยังไงนี่แหละครับ แต่ก็อ่านข่าวผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจ ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าหนังนั้นจะมีเรื่องราวยังไง รู้เพียงแต่ว่าเป็นหนังผีสยองขวัญล่ะมั้ง จนเมื่อมาฉายใน Prime Video ซึ่งมีทั้งสองเวอร์ชั่นคือ ‘หุ่นพยนต์’ (ฉ.20) และ ‘ปลุกพยนต์’ (18+) หุ่นพยนต์ฉายวันไหน

รีวิว หุ่นพยนต์ (2023) หนังไทยแนวสยองขวัญ Horror เรต ฉ.20

เรื่องย่อ

หุ่นพยนต์ เป็นเรื่องราวของ ธาม ดั้นด้นเดินทางมาหาพี่ชาย ที่วัดบนเกาะดอนสิงธรรม เพื่อแจ้งข่าวร้ายกับการจากไปของพ่อและแม่ เมื่อธามเดินทางมาถึงก็ได้พบกับ เจษ หลานชายของเจ้าอาวาสคนเก่า และมีข่าวลือว่าพี่ชายของเขาได้หนีหายสาบสูญหลังจากลงมือฆ่าอดีตเจ้าอาวาสจนมรณภาพ

ธามไม่เชื่อกับข่าวลือพอ ๆ กับการไม่นับถือหุ่นปั้นพ่อปู่สิงธรรมที่ดูเหมือนภูติผีมากกว่าเทพที่คอยปกปักรักษา จนกระทั่งเกิดเหตุอาเพศในหมู่บ้าน เมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งสูญหาย สัตว์ร้ายออกเพ่นพ่าน ผีตายโหงออกอาละวาด ชาวบ้านโกรธแค้นเตรียมตั้งพิธีกรรมสาปแช่งถึงมือมืด เตรียมตัวเผชิญหน้ากับความน่ากลัวครั้งใหม่ ถ้าเล่นกับความงมงาย ท้าทายกับศรัทธา ต้องกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่มองไม่เห็น! หุ่นพยนต์ เรื่องย่อ

รีวิว หุ่นพยนต์ (2023) หนังไทยแนวสยองขวัญ Horror เรต ฉ.20

รีวิว หุ่นพยนต์ ผลงานของผู้กำกับ ไมค์ ภณธฤต

เรื่องนี้ยังคงเป็นผลงานของผู้กำกับลูกหม้อของไฟว์สตาร์ อย่าง “ไมค์ ภณธฤต” ผู้ที่สร้างเฟรนไชส์ พี่นาค เปรี้ยงปังให้กับสตูดิโอแห่งนี้มาตั้งไตรภาคที่ผ่านมา และมาใน หุ่นพยนต์ เรื่องนี้นั้น อาจจะมีในมุมที่แตกต่าง และมุมที่ซ้ำซากเดิม ๆ ตามลายเส้นงานสร้างเก่า ๆ ของผู้กำกับรายนี้ แน่นอนว่าหนังยังคงวนเวียนอยู่กับความสยองที่โดดเด่นในตัวละครพระเณรเหมือน ๆ กับหนังสร้างชื่อของเขา แต่ก็สร้างความแตกต่างด้วยการหยิบเอาประเด็นไสยศาสตร์ และศาสตร์มืดมาใช้เป็นประเด็นของเรื่อง

และนี่นั่นเองที่กลายเป็นมาเป็นสาเหตุที่ทำให้ หุ่นพยนต์เต็มเรื่อง เป็นหนังไทยเรื่องล่าสุดที่ได้รับเรต ฉ. 20+ จากกองเซ็นเซอร์หนังของไทย เพราะหนังเรื่องนี้มีแกนเรื่องหลัก ๆ เชื่อมโยงเกี่ยวกับความเชื่อ และกระทบต่อพุทธศาสนา ที่ทางคณะกรรมการได้ให้ความเป็นห่วงว่าหนังจะมีเนื้อหาที่สอดแทรกแนวคิดที่หมิ่นเหม่ต่อ เรื่องหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ แต่เมื่อได้ลองไปสัมผัสกับตัวหนังจริง ๆ ก็จะได้พบว่าสิ่งที่บางฝ่ายเป็นกังวลนั้น ช่างเป็นแนวคิดที่เซฟซิทีฟมากเกินกว่าเหตุ

รีวิว หุ่นพยนต์ (2023) หนังไทยแนวสยองขวัญ Horror เรต ฉ.20

ข้อดีและข้อเสียของหุ่นพยนต์

ประเด็นเรื่องของ หุ่นพยนต์ แทบจะไม่ได้เน้นหลักเกี่ยวกับเรื่องพุทธศาสนาอย่างที่คิด เป็นเพียงหยิบเอาเรื่องศาสนามาสอดแทรกเป็นฉากหลังบาง ๆ เพียงเท่านั้น แต่หนังกลับเน้นไปที่ประเด็นความเชื่อ ความน่ากลัว ความสยองขวัญ รวมทั้งสะท้อนปัญหา และมุมมืดของพุทธพาณิชย์ที่แค่แตะไปเพียงเบา ๆ เท่านั้นเอง เพราะในท้ายที่สุดหนังก็ยังคงสามารถสรุปความผิดชอบชั่วดี และผลแห่งการกระทำของตัวละครตามสูตรสำเร็จอยู่แล้ว ที่เชื่อว่าผู้ชมน่าจะมีวิจารณญาณในการเสพหนังเรื่องนี้ได้ดี

แต่ถึงแม้ว่า หุ่นพยนต์ จะมีประเด็นและแก่นเรื่องที่ค่อนข้างหนักแน่นดี แต่น่าเสียดายไปสักหน่อย เพราะกลายเป็นว่าหนังยังโครงสร้าง และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ยังประกอบรวมร่างกันออกมาได้ยังไม่สมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะจังหวะการเล่าเรื่อง และการตัดต่อของหนัง ที่มีหลาย ๆ จุดที่เต็มไปด้วยรอยสะดุด ร้อยเรียงได้ไม่เรียบเนียน มีบางช่วงที่เกิดอาการเหมือนหนังตัดปะ ซึ่งนั่นเป็นข้อด้อยที่ทำให้เสียบรรยากาศที่หนังกำลังถ่ายทอดอยู่ไป

บทหนังของ หุ่นพยนต์ อาจจะยังไม่ดีเลิศ แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร ถือว่าเป็นหนังสยองขวัญที่หยิบเอาสูตรสำเร็จมาใช้งานได้เกิดประโยชน์อยู่ เหมือนหยิบเอาเสน่ห์ของ พี่นาค กับหนังไสยศาสตร์ในตำนาน อย่าง ลองของ มาคลุกเคล้าเล่าในขวดใหม่กับยุคปัจจุบันที่ชวนติดตามแกะรอยหาปริศนาไปกับตัวละครด้วย แม้ว่าในเชิงการสร้างมิติต่าง ๆ ของหนังเรื่องนี้ยังค่อนข้างเบาบางไปอยู่สักหน่อยก็ตาม ซึ่งนั้นก็ส่งผลกระทบไปยังคาแรกเตอร์ตัวละครต่าง ๆ ในหนังด้วย

หุ่นพยนต์ อาจจะมีจุดด้อยในส่วนของการเล่าเรื่องกับจังหวะต่าง ๆ ของหนัง แต่จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่ต้องยกนิ้วให้เลยก็คือองค์ประกอบงานสร้าง และโปรดักชั่นดีไซน์ต่าง ๆ ที่สอดแทรกเข้ามาในการสร้างบรรยากาศความน่ากลัวให้กับผู้ชม ที่ถือว่ามีส่วนทำปฏิกิริยาของคนดูได้ดี โดยเฉพาะการเนรมิตเซ็ตฉากต่าง ๆ ในพื้นที่วัดเทพยนต์ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าเทวสถาน หรือ ลานรูปแบบพระพุทธรูป เป็นโลเคชั่นที่ทำงานกับต่อมความกลัวได้ดี

รีวิว หุ่นพยนต์ ตัวละครในเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาได้โดดเด่น

หนังอาจจะใช้สูตรเดิมที่ใช้บริการนักแสดงดาวรุ่งแทบจะทั้งหมด “ภูวิน ภูวินทร์” ถือว่าปลดแอกกับผลงานหนังใหญ่เรื่องแรกของเขา นับว่าการแสดงของเขาทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าจะยังไม่ใช่ผลงานที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็จัดได้ว่าดีตามมาตรฐาน และน่าเสียดายที่บทของเขานั้นได้รับการถ่ายทอดออกมาค่อนข้างไร้ชั้นเชิง และไม่มีมิติมากสักเท่าไหร่นัก เป็นตัวละครจืด ๆ ที่ดำเนินไปตามโครงเรื่องแบบไม่ออกนอกกรอบเลย

“อัพ ภูมิพัฒน์” ที่ถือว่าเซอร์ไพรส์เบา ๆ กับการพลิกคาแรกเตอร์ในหนังเรื่องนี้ เพราะเขาต้องมารับบทเป็นหนุ่มที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ก็ถือว่าเขาถ่ายทอด และทำมันออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ และกลายเป็นตัวละครที่โดดเด่นที่สุดในหนังเรื่องนี้ ถึงการดีไซน์การแสดงของเขายังติดการเป็นนักแสดงอยู่ไปน้อยก็ตาม การตีความและนำเสนอบทนี้ของเขายังไม่ค่อยทำให้คนดูเชื่อได้อย่างเต็มที่ แต่นั่นก็อาจจะเป็นลูกเล่นที่หนังซ่อนเอา

ขณะที่นักแสดงคนอื่น ๆ ทั้ง “นิก คุณาธิป”, “เจมส์ ภูริพรรธน์” หรือ “การ์โตว์ ปัณณวิชญ์” ถือว่าทำออกมาได้ตามมาตรฐาน พวกเขาดูกลายจะเป็นบทสมทบหลัก ๆ ของหนังไฟว์สตาร์ยุคนี้ไปแล้ว แต่อีกคนที่อยากจะชมสักหน่อยก็คือ “นาน่า ทสร” ที่น่าจะเป็นนักแสดงหญิงหลัก ๆ คนเดียวของหนัง ที่ให้การแสดงที่เกินกว่าที่คิดเอาไว้ทีเดียว ทั้งท่วงท่าและจังหวะการแสดงของเธอ ผนวกกับบทที่ส่งสุด ๆ สามารถถ่ายทอดออกมาได้น่าขนลุกขนพองดี

บทสรุปหลังรับชม

พอมาถึงช่วงท้าย ช่วงเปิดเผยความจริงในเรื่องทั้งหมด ยิ่งแอบเสียดายเข้าไปใหญ่ แอบรู้สึกว่ามันน่าจะร้อยเรียงออกมาถึงจุดนี้ได้ดีกว่านี้มันจะดีมาก น่าเสียดายอย่างมากที่ทำได้ไม่ถึง เพราะเรื่องช่วงต้นจนถึงช่วงกลางมันขาดอารมณ์ และจังหวะต่อเนื่องที่จะส่งให้มาถึงจุดนี้ พอมาดูตรงนี้มันเหมือนทำออกมาเป็นหนังแยกออกไปจบอีกเรื่องนึงเลยแทนไปซะอย่างนั้น แถมเรื่องตอนท้ายออกมาจะดูดีได้อีกต่างหาก กลับไปโฟกัสเรื่องคนหนีคดีมาสร้างหุ่นดินเหนียวแทน เสียดายจริงๆ (แนะนำดูตัวอย่างจากความสำเร็จอย่าง The Usual Suspects) รวมถึงฉากที่เพิ่มมานั้นก็รู้สึกว่าอรรถรสก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่เลย

ขณะที่มุมภาพ มุมกล้อง และการแต่งสีโทนภาพต่าง ๆ ของหนังเรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีเช่นกัน เป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อน และสร้างบรรยากาศให้กับหนังเรื่องนี้ได้อย่างดี ดังนั้นในภาพรวมแล้ว หุ่นพยนต์ ก็ถือว่าเป็นหนังสยองที่อาจจะมีศักยภาพที่จะสามารถทำออกมาเป็นเฟรนไชส์ใหม่ได้ไม่ยาก เพราะยังสามารถนำเอาไปต่อยอดได้อีกไกลเช่นกัน เพียงแต่เสน่ห์ และความสดใหม่ของหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ค่อยข้างสุกสกาวมากเท่าไหร่ เพราะดันไปซ้ำกับความรู้สึกเดิม ๆ แบบที่ พี่นาค หรือ ลองของ เคยทำเอาไว้ และทำได้ดีมาก่อนหน้านี้แล้ว

ประเภท: สยองขวัญ
ผู้กำกับ: ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ
นำแสดงโดย: ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน, ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง, คุณาธิป ปิ่นประดับ
ความยาว: 107 นาที
กำหนดฉายในไทย: 12 เมษายน 2023

แนะนำเว็บดูหนังออนไลน์ : ดูหนังใหม่
แนะนำเว็บรีวิวหนัง : หนังไทยมาใหม่
แนะนำบทความรีวิวหนัง : รีวิว เธอกับฉันกับฉัน

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน – ความรักและปัญหาของฝาแฝดไทย

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน - ความรักและปัญหาของฝาแฝดไทย

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน – ความรักและปัญหาของฝาแฝดไทย

สวัสดีครับเพื่อน ๆ วันนี้เราจะมาพูดถึง หนังไทย แนวรักโรแมนติกย้อนยุค ฟีลกู้ดที่ดูแลอบอุ่นตลอดเวลา เรื่องวุ่น ๆ ของวัยรุ่น Y2K หนังไทยเรื่องใหม่ล่าสุด you & me & me (2023) เธอกับฉันกับฉัน ผลงานของผู้กำกับฝาแฝด แวววรรณ-วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์ ได้นักแสดงหน้าใหม่ ใบปอ ธิติยา จิรพรศิลป์ มารับบทนำ เรื่องราวของ ยู & มี ฝาแฝดที่มีกันและกัน 24 ชั่วโมง แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตาเล่นตลกให้ทั้งสองตกหลุมรักหนุ่มคนเดียวกัน เรื่องราวจะสนุกและน่าตื่นเต้นแค่ไหน อย่าลืมไปติดตามชมกันนะครับ

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน - ความรักและปัญหาของฝาแฝดไทย

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน ภาพยนตร์ใหม่แกะกล่องจาก GDH

ภาพยนตร์ใหม่แกะกล่องจาก GDH “เธอกับฉันกับฉัน” (you and me and me) กำกับและเขียนบทโดย “วรรณแวว – แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์” และโปรดิวเซอร์โดย “โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล” เรื่องนี้พามา “หมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) ยุคที่คนทั่วโลกต่างพูดถึงปัญหา Y2K และข่าวลือว่าโลกอาจจะแตกในวันสิ้นปี 1999 ผ่านตัวเอกของเรื่อง “ยู และ มี” (แสดงโดย ใบปอ ธิติยา) ฝาแฝดสาววัย ม.ต้น ที่สนิทกันมาก แชร์ทุกอย่างร่วมกัน ภาพยนตร์เธอกับฉันกับฉัน ผูกปมโยงเรื่องดี แค่ชื่อยูกับมีก็มีเอกลักษณ์แล้ว และเรื่องการชอบหนุ่มคนเดียวกัน ก็มีที่มาที่ไปจากการเข้าใจผิด

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน - ความรักและปัญหาของฝาแฝดไทย

จนทำให้รู้สึกว่าเขาน่าจะชอบเรามากกว่าเธอ เล่าได้น่าติดตาม ถึงแม้การพบกันของหมากและยูจะเป็นความบังเอิญที่ดูจะเกิดขึ้นได้ยากก็ตาม โดยรวมมีดราม่าปานกลางไม่หน่วงจนเจ็บจี๊ด และถึงจะเป็นภาพยนตร์แนวรักโรแมนติก รักครั้งแรก แต่จะบอกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ครอบครัว และความสัมพันธ์ของการเป็นฝาแฝด หนังหยิบยกประเด็น Y2K ชวนให้นึกถึงวันวาน ทั้งทามาก็อตจิ เพลงและแฟชั่นโบ-จอยส์ นิตยสารเธอกับฉัน และเทปคลาสเซ็ต เป็นต้น ถ้าใครชอบหนังแนวนี้ก็น่าจะถูกใจ เธอกับฉันกับฉันเต็มเรื่อง

ปัญหาครอบครัวและความสัมพันธ์ของฝาแฝด

เธอกับฉันกับฉัน netflix ดูมีความพยายามที่จะจับยัดทุกอย่างที่อยากได้ใส่ลงไปหมด ทั้งปัญหาครอบครัว, ความสัมพันธ์ของฝาแฝด และ รักสามเส้า ท่ามกลางบรรยากาศย้อนยุคที่กำลังมาแรงอย่างยุค Y2K แต่คนทำหนังกลับไม่สามารถผสมผสานคลุกเคล้าทุกอย่างให้ออกมาได้อย่างกลมกล่อมและลงตัวเท่าไหร่นัก ออกมาในแนวเพลย์เซฟซะมากกว่า จะดราม่าก็ไปไม่สุด (ทั้งๆ ที่สามารถเล่นให้หนักกว่านี้ก็ได้ มีทางให้เล่นได้เยอะเลย) จะโรแมนติกรึก็ดูแปลกๆ

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน - ความรักและปัญหาของฝาแฝดไทย

แถมเด็กก็ยังดูแรดเกินเบอร์ไปหน่อย (จริงๆ ด้วยบริบทของหนัง ไม่จำเป็นต้องมีฉากจูบกันก็ได้นะ หรือถ้าจะมี ก็เอาแค่ First Kiss แบบมุมน่ารักๆ ก็พอแล้วมั้ยอ่ะ ไม่จำเป็นต้องถึงขนาด French Kiss เลย) อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่าคนทำหนังจะใส่เข้ามาทำไม นั่นคือฉากที่ตัวละคร ยู/มี ถอดเสื้อ แม้จะมีเฟิร์สบราหรือเสื้อซับในอยู่ก็ตาม (ตัวละครอายุน่าจะประมาณแค่ 13-14 ปีเท่านั้น) ซึ่งดูจากบริบทของหนังแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องใส่ซีนนี้เข้าไปก็ได้นะฮะ (แถมยังมีถึง 2 ฉากเลยทีเดียว ถ้าจำไม่ผิดนะ)

การดำเนินเรื่องและพลอตเรื่องง่าย ๆ ที่ไม่มีหักมุมอะไร

และด้วยพลอตเรื่องง่ายๆ ที่ไม่มีหักมุมอะไร บวกกับวิธีการเดินเรื่องคล้ายๆ กับหนังรักโรแมนติกของญี่ปุ่นที่เป็นลักษณะเดินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ เนือยๆ เนิบๆ นั่นจึงทำให้ถ้าใครที่ไม่สามารถโฟกัสอยู่กับเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปได้ตลอดเวลา รับรองว่ามีช่วงเบื่อแน่นอนฮะ นอกจากการเดินเรื่องที่เรียบๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ก็คือเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครฝาแฝด ยู และ มี คือด้วยความที่ตัวละครทั้งสองเป็นฝาแฝด ดังนั้นทางด้านความสัมพันธ์แบบพี่น้องจึงควรที่จะถ่ายทอดออกมาให้ลึกกว่าคู่พี่น้องทั่ว ๆ ไป ยิ่งโดยเฉพาะผู้กำกับที่เป็นคนเขียนบทเองก็เป็นฝาแฝดด้วย

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน - ความรักและปัญหาของฝาแฝดไทย

แต่สิ่งที่เล่าออกมากลับกลายเป็นแค่เรื่องผิว ๆ ที่ไม่สามารถทำให้เราอินไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ดีพอ คือหนังมันให้ความรู้สึกแค่ประมาณหนังแนวรักสามเส้าของคู่พี่น้องธรรมดาๆ เท่านั้น ซึ่งจริงๆ การที่ใช้ตัวละครเป็นฝาแฝด มันควรจะสื่ออะไรให้ลึกกว่านี้ได้นะ อย่างเช่นเรื่องการสลับตัวกันแล้วไม่มีคนจับได้ หรือแม้กระทั่งพ่อและแม่เองที่บางครั้งยังจำผิดคนเลย ซึ่งตรงประเด็นเหล่านี้ก็พอเข้าใจแหละว่าคนทำหนังต้องการจะสื่ออะไร แต่มันยังไม่ค่อยทัชเท่าไหร่อ่ะ คือถ้าคนดูที่ไม่ใช่ฝาแฝดกันจริง น่าจะไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ของตัวละครในประเด็นเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนพอ

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน สิ่งที่หนังแตกต่างจากหนังรักวัยรุ่นเรื่องอื่น ๆ

แต่สิ่งที่หนังทำออกมาได้แตกต่างจากหนังรักวัยรุ่นเรื่องอื่น ๆ คือการเล่าในมุมมองของความเป็นแฝดที่แชร์ทุกอย่างมาด้วยกันทั้งชีวิต จนสุดท้ายต้องเติบโตและพบว่าไม่มีอะไรในโลกสามารถแชร์กันได้ทั้งหมดอย่างที่เคยคิดเอาไว้เมื่อตอนยังเด็ก และที่สำคัญไม่มีใครสามารถอยู่ด้วยกันตลอดไปได้อย่างที่ใจคิด เราจะเห็นมุมมองของเด็กผู้หญิงที่กำลังจะก้าวข้ามไปสู่ความเป็นสาว เป็นช่วงวัยที่กำลังโตขึ้น ต้องผ่านการตัดสินใจที่ดูเหมือนง่ายแต่ยากมาก ๆ สำหรับเด็กสาวในวัยนั้น ที่บางครั้งก็คิดว่าฉันโตแล้วที่จะทำเรื่องหวือหวาบางเรื่อง หรือบางครั้งก็อาจสับสนจนทนไม่ไหวที่ต้องตัดสินใจบางอย่าง ซึ่งบรรยากาศของหนังสามารถสร้างให้เราคล้อยตามได้แบบนั้น

รีวิว เธอกับฉันกับฉัน ผลงาน วรรณแวว-แวววรรณ สองพี่น้องผู้กำกับมือดี

ต้องบอกว่า วรรณแวว-แวววรรณ สองพี่น้องผู้กำกับมือดีสามารถจับประเด็นเอาไว้ได้อยู่หมัด และมือเหนียวจนประเด็นต่าง ๆ ไม่มีหลุดหล่นอยู่ข้างทาง เรียกได้ว่าเป็นการจูงมือตามกันไปอย่างช้า ๆ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับ ‘ใจ’ ของความเป็นแฝด ให้เราได้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของแฝดคู่หนึ่งในความรู้สึกที่มีต่อกันโดยที่คนภายนอกอาจคิดไปเอง ความต้องการมีตัวตนที่เป็นของตนเองโดย ไม่ติดกับเงาแฝด การเติบโตที่ตามกันมาคล้ายกับตอนเกิด ด้วยการหยิบเอาเรื่องของรอบเดือนที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสาวมาใช้อย่างง่าย ๆ แต่กลับเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ขยายใจความได้ใหญ่มาก ๆ และความตื่นเต้นของกระแส Y2K ที่ทำให้เราย้อนอดีตไปนึกถึงการเคาต์ดาวน์ในวันนั้น

จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังภาพสวยอีกเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ ด้วยการจัดแสงและการย้อมสีที่ดึงอดีตมาสู่หน้าจอได้แบบเนียนตา เราจะเห็นบรรยากาศความคลาสสิกของจังหวัดนครพนมในอีกมุมมองหนึ่งที่ไม่ได้ขายโลเคชันอย่างโจ่งแจ้ง แต่เราจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศสมจริงที่อยู่ในเรื่องถึงแม้ว่าโลเคชันในอดีตบางสิ่งบางอย่างอาจจะยังไม่มีในเวลานั้น แต่บรรยากาศโดยรวมก็สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่าเรากำลังยืนอยู่ที่นครพนมในปี 1999 จริง ๆ และถึงแม้ว่าในบางซีนจะลืมนำความเก่ามากลบความใหม่ที่ดันหลุดเข้าไปในยุคนั้นได้อย่างหน้าตาเฉย โดยเฉพาะอะไรเย็น ๆ หวาน ๆ ที่เราในยุคนั้นต่างล้อเลียนเมโลดี้ของเขาว่า อมแล้วดูด ลืมจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ อ่ะให้อภัยก็ได้

ดาวรุ่งดวงใหม่ได้เกิดขึ้นแล้วแน่ ๆ และดาวรุ่งดวงนั้นชื่อ ใบปอ-ธิติยา ต้องบอกว่าสาวน้อยแสดงเป็นคู่แฝดที่ทำให้เราเชื่อได้อีกคู่หนึ่ง จนทำให้นึกเล่น ๆ ว่าถ้าหนังเรื่องนี้ใช้การการโปรโมตแบบไม่เฉลย จะเกิดอะไรขึ้น จะมีใครเข้าใจผิดบ้างไหมว่านี่คือแฝดจริงหรือแฝดเทียม น่าสนุกเหมือนกันนะคะถ้าจับตรงนี้มาเล่นแบบเอาเถิดเจ้าล่อ จุดนี้ต้องขอชมที่ตัวนักแสดงจริง ๆ ว่าเป็นมือใหม่ที่มีความพยายามและใส่ใจในคาแรกเตอร์จนเราสามารถเชื่อได้ว่านี่คือ ยู นี่คือ มี มากไปกว่านั้นยังโปรยเสน่ห์ความสดใจแจกจ่ายไปทั่วสารทิศ ทั้งรอยยิ้ม กิริยาท่าทางและความเป็นสาววัยนั้นที่พบรักกับเสื้อสายเดี่ยวและเพลงผ้าเช็ดหน้าของไทรอัมพ์ส คิงดอม

เส้นเรื่องที่ดำเนินอยู่ในช่วงปี 1999

จุดที่หลายคนชวนลุ้นคงจะเป็นเรื่องความรัก ซึ่ง “ยู” รู้อยู่แล้วว่า พระเอกชอบ “มี” แต่ด้วยความที่อาจจะไม่เคยมีใครมาชอบเอย หรือจะด้วยนิสัยที่ค่อนข้างจะเป็นคนจริงจังอยู่แล้ว พอเจอเข้าครั้งแรกก็รู้สึกอยากจะตอบรักในครั้งนี้ ส่วนทางด้าน “มี” ที่เคยเจอคนชอบมาบ่อยแล้ว แต่กับพระเอกก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ความสัมพันธ์ที่จริงคืออะไร แต่ที่สำคัญคือ ไม่อยากเสียฝาแฝดให้ใคร และนี่คิดจุดพิสูจน์ในการเติบโตขึ้นอีกก้าวของเหล่าตัวละคร

ปัญหา Y2K (Year 2 kilo) หรือ ปัญหา 2000 ด้วยเส้นเรื่องที่ดำเนินอยู่ในช่วงปี 1999 ตรงกับยุคที่กำลังเกิดปัญหานี้ขึ้น สำหรับ Y2K เป็นปัญหาเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ที่สมัยนั้นมีความเชื่อว่า หากขึ้นต้นปี ค.ศ.2000 ระบบทั่วโลกจะล่ม และผิดเพี้ยน โดยในเรื่องได้มีการกล่าวถึงเนื่องนี้ ราวกับพาย้อนไป ณ เวลานั้นจริงๆ ถ้าคนที่เกิดทันก็คงจะอินไม่ใช่น้อย แม้แต่คนที่อาจจะไม่ได้เกิดในยุคนั้น คงแบบ อ่อ มีเรื่องแบบนี้ด้วย และนี่คือที่มาจริงๆของ Y2K ในยุคนั้น

ภาพยนตร์เรื่อง : เธอกับฉันกับฉัน | You & Me & Me (2023)
แนว : รักโรแมนติก ฟีลกู๊ด ลึกซึ้งกินใจ
นักแสดง : ปอ ธิติยา, โทนี่ อันโทนี่
ผู้กำกับ : แวววรรณ-วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์
หนังยาว : 2 ชั่วโมง

แนะนำเว็บดูหนังออนไลน์ : ดูหนังใหม่
แนะนำเว็บรีวิวหนัง : หนังไทยnetflix
แนะนำบทความรีวิวหนัง : รีวิวหนัง M3GAN เมแกน

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน – ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนฉันจะอยู่ที่นั่น

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน - ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนฉันจะอยู่ที่นั่น

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน – ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนฉันจะอยู่ที่นั่น

หลาย ๆ คนยังจำได้ดี กับปรากฏการณ์ตุ๊กตาผีอย่าง Chucky ที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งในปี 2023 สามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่า เทคโนโลยีในสมัยปัจจุบัน ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเมื่อหลายทศวรรษก่อน แล้วเทคโนโลยีก็ถูกนำมาใช้งานหลายรูปแบบ โดยทั่วไปคือเพื่อค้นหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์ และเพื่อสร้างอย่างหนังสยองขวัญที่มีงานแหวกแนวมากมาย อย่างเรื่อง m3gan netflix ตุ๊กตาที่เหมือนมีชีวิต สร้างความสยองขวัญที่ยากจะควบคุมได้ เรื่อง M3gan 2023 (เมแกน) เมื่อต้องรับเลี้ยงเด็กแต่รับมือไม่เป็น จึงสร้าง เมแกน มาเป็นเพื่อนแทน ก่อนจะเจอกับความสะพรึงที่ไม่คาดคิด

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน - ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนฉันจะอยู่ที่นั่น

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน ภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ผสมไซไฟ

ยิ่งโลกก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไปเรื่อยๆ หนัง m3gan movie ที่เล่าเรื่องของเอไอก็ยิ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง คราวนี้ หันมาเล่าเรื่องของเล่นของเด็กมนุษย์ที่ถูกคิดค้นให้ฉลาดล้ำด้วยเอไอ  ความจริงแล้วมันก็คือหุ่นยนต์ นั่นแหละ และตัวต้นแบบนั้นชื่อ ‘M3GAN’ แต่สำหรับคนไทย เรียกกันว่ามันคือ ‘เมแกน’ ที่มีจุดก่อกำเนิดมาจากเด็กหญิงคนหนึ่ง

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน - ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนฉันจะอยู่ที่นั่น

ภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ผสมไซไฟเข้าไปจากฝีมือการกำกับของ เจมส์ วาน เจ้าพ่อหนังกระตุกขวัญแห่งจักรวาล The Conjuring Universe สำหรับผลงานในครั้งนี้มีความแปลกใหม่อย่างมาก เพราะความสยองขวัญของเรื่องมี AI (ปัญญาประดิษฐ์) เป็นตัวเดินหน้าความหลอนอย่างบ้าระห่ำ แทนสิ่งลี้ลับหรือตุ๊กตาผีอย่างที่เราคุ้นชินกัน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องเมแกนได้รับความสนใจจากสื่อมากมาย

เรื่องย่อ M3GAN เมแกน

m3gan เรื่องย่อ เจมมา คือหญิงสาวที่ทำงานในด้านพัฒนาของเล่นอัจฉริยะในบริษัทแห่งหนึ่ง ในวันที่เธอกำลังง่วนอยู่กับการเร่งพัฒนาให้ทันตามเดดไลน์ ก็ได้รับรู้ว่าตัวเองต้องรับเลี้ยง โคดี้ (Violet McGraw จากซีรีส์เรื่อง ‘The Haunting of Hill House’, หนังเรื่อง ‘Black Widow’ และ ‘Doctor Sleep’) หลานสาวของเธอผู้ที่เพิ่งจะสูญเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุรถตักหิมะชน

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน - ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนฉันจะอยู่ที่นั่น

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน การดำเนินเรื่อง

เจ็มมา ได้พัฒนาหุ่นยนต์พี่เลี้ยงเด็กขึ้นมา และให้ชื่อของมันว่า M3GAN เธอได้นำมันกลับบ้านไปเพื่อให้เป็นเพื่อนและพี่เลี้ยง เคดี้ หลานสาวของเธอ แต่ความดำมืดเริ่มคืบคลานมา เมื่อเจ้าหุ่น M3GAN เริ่มไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ็มม่า มันเลือกที่จะยึดถือคำสั่งที่ว่าจะไม่ยอมให้ใครทำอันตราย เคดี้ และใช้ความรุนแรงในการจัดการทุกอย่างที่เข้ามาคุกคาม พร้อมกับค่อยๆ เผยความชั่วร้ายของมันออกมา จนทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า มันเป็นเพราะระบบ AI ที่ผิดพลาด หรือเป็นความชั่วร้ายอันแสนลึกลับกันแน่ เมื่อมองเห็นว่าตัวเองก็มีงานล้นมือ ไม่พร้อมจะดูแลเด็ก อีกทั้งยังได้แรงบันดาลใจจากคำของโคดี้เอง ทำให้เธอมุ่งมั่นพัฒนาของเล่นที่เป็นหุ่นยนต์ขึ้นเพื่อให้เป็นเพื่อนกับโคดี้ และตั้งชื่อให้มันว่า เมแกน (แสดงโดย Amie Donald พากย์เสียงโดย Jenna Davis) ด้วยเอไอที่ใส่เข้าไป ทำให้เมแกนทำได้ทุกอย่าง ฉลาดขึ้นทุกวัน และผูกพันกับโคดี้มากขึ้นทุกวัน จนมันกลายเป็นเหตุอันน่าพรั่นสะพรึง

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน - ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนฉันจะอยู่ที่นั่น

การวางปมและคลายปมต่างตั้งแต่ต้นทาง

ในด้านการกำกับ เจอราร์ด จอห์นสโตน ต้องยอมรับว่าตัวบทภาพยนตร์เหมือนคะแนนที่บวกให้หนังไปพอสมควรอยู่แล้ว การวางปมและคลายปมต่าง ๆ ก็ครบจบมาตั้งแต่ต้นทาง ถ้าหากสังเกตดี ๆ หลายซีนเหมือนกันที่จอห์นสโตนเองก็เอาไม่อยู่โดยเฉพาะฉากระทึกหรือฉากที่ต้องใช้จัมป์สแกร์ซึ่งแทบจะเป็นเครื่องหมายของหนัง เจมส์ วาน โปรดิวเซอร์ แต่ความแม่นยำของจอห์นสโตนยังไม่มากนัก เลยฉากเลยเห็นแค่ความโหดแต่ขาดความตื่นเต้นหรือการกระตุ้นเร้าให้ผู้ชมลุ้นก่อนหลอกหลอนไปอย่างน่าเสียดาย

ด้านนักแสดงอย่าง วิโอเลต แม็คกรอว์ ที่เคยผ่าน ‘The Haunted of Hill House’ ซีรีส์สยองขวัญดราม่าทาง Netflix ก็ทำหน้าที่ได้ดี แม้ทั้งเรื่องน้องจะทำอยู่หน้าเดียวก็ตาม แต่ด้วยบทที่เอื้อเลยทำให้ใบหน้าไร้อารมณ์ของน้องเสริมบรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจและสื่อหัวใจเรื่องการถูกเลี้ยงด้วยเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี ส่วน อัลลิสัน วิลเลียมส์ พอได้บทที่สีสันน้อยกว่า ‘Get Out’ เลยอาจน่าเสียดายไปหน่อยเพราะฝีมือการแสดงของเธอไม่ขี้เหร่เลย เพียงแต่หุ่นเมแกนมาดึงความสนใจผู้ชมไปเสียหมด

ทีนี้มาถึงน้อง เอมี โดนัลด์ (Amie Donald) นักแสดงวัย 9 ขวบที่ต้องสวมชุดใส่หน้ากากรับบทหุ่นแอนดรอยด์นักฆ่าที่แม้ไม่เห็นหน้าแต่การควบคุมมูฟเมนต์ต่าง ๆ ของเจ้าหุ่นเมแกนคือการฝึกการใช้ร่างกายที่ดูออกเลยว่าเธอมีวินัยขนาดไหนแบบไม่ให้เสียชื่อนักเต้นทีมเอ็นซี (NZ) ที่เคยร่วมแข่งขัน ‘the Dance World Cup’ ที่เมืองบรากา (Braga) ประเทศโปรตุเกสในปี 2019 จนทำให้หุ่นเมแกนมีความสยองภายใต้การเคลื่อนไหวที่ทั้งแข็งแรงและงดงามอย่างยิ่ง

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน ผลงานความร่วมมือระหว่าง เจมส์ วาน และ บลัมเฮาส์ โปรดักชันส์

‘M3GAN’ เป็นผลงานประเดิมความร่วมมือระหว่าง เจมส์ วาน (James Wan) กับทางบลัมเฮาส์ โปรดักชันส์ (Blumhouse Productions) สตูดิโอหนังสยองขวัญที่มีงานแหวกแนวมากมาย ภายใต้บ้านใหม่อย่างยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) ซึ่งวานเลือกปั้นโปรเจกต์หนังหุ่นเอไอนักฆ่าภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูเป็นมิตรกับเด็ก ๆ และเลือกเจอราร์ด จอห์นสโตน (Gerard Johnstone) ผู้กำกับที่เคยมีหนังสยองขวัญอย่าง ‘Housebound’และซีรีส์ ‘The New Legends of Monkey King’ ที่เล่าตำนานหงอคงในรูปแบบใหม่ฉายทาง Netflix มากุมบังเหียน แค่เห็นชื่อสองผู้อำนวยการสร้าง อย่าง James Wan แห่ง Atomic Monster และ Jason Blum แห่ง Blumhouse รวมถึงผู้กำกับ Gerard Johnstone ก็การันตีคุณภาพได้แล้ว สำหรับ M3GAN ภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญ ต้อนรับปี 2023 ซึ่งได้เรตการฉายในบ้านเราอยู่ที่ PG-13

รีวิวหนัง M3GAN เมแกน ความรู้สึกหลังรับชม

ด้วยพลอตและตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมา อาจทำให้หลายคนเข้าใจได้ว่า M3GAN ก็คงจะเหมือนกับหนังตุ๊กตาไล่เชือดเรื่องอื่นๆ ที่เคยผ่านตา แต่ทว่าในความเป็นจริง M3GAN จัดหนักแบบเล่นใหญ่มากกว่านั้นเยอะ! เพราะตลอดระยะเวลากว่า 102 นาที เราในฐานะคนดูรู้สึกได้เลยว่า ทุกๆ วินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไม่ใช่แค่เพราะวิธีการดำเนินเรื่องที่กระชับเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของฝีมือการแสดง ทั้งจากนักแสดงตัวแม่ Allison Williams และน้อง Violet McGraw ที่บอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีมุกตลกถูกปล่อยออกมาเรียกเสียงหัวเราะตั้งแต่วินาทีแรกที่หนังเริ่มกันเลยทีเดียว

ขณะที่ตัวบทแม้จะดูเหมือนคาดเดาได้ง่ายสไตล์สูตรสำเร็จ แต่ตัวหนังกลับใช้วิธีการนำเสนอให้คนดูรู้สึกอินไปกับความสัมพันธ์ของตัวละครหลักทั้ง 3 ซึ่งก็คือ น้าเจ็มม่า น้องเคดี้ และ เมแกน ที่ต่างก็มีเหตุผลของตัวเองอย่างชัดเจน จนนำไปสู่จุดจบที่ทำให้คนดูอย่างเราอดไม่ได้ที่จะลุ้นและเอาใจช่วย สำหรับฉากการฆ่าที่คอหนังสยองใฝ่ฝัน แม้ว่า M3GAN จะไม่จัดหนักแบบเลือดสาดท่วมจอ เพราะเรต PG-13 (แถมส่วนใหญ่ก็ถูกปล่อยออกมาให้ได้เห็นกันบ้างแล้วจากตัวอย่างภาพยนตร์) แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออรรถรสในการดูเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างที่บอกงานนี้เขา เล่นใหญ่! ให้เยอะ! เน้นสาแก่ใจนัก!

ชื่อภาพยนตร์ M3GAN / เมแกน
กำกับ Gerard Johnstone/เจอร์ราด จอห์นสโตน
เขียนบท Akela Cooper (story & screenplay), James Wan (story)
แสดงนำ Allison Williams, Violet McGraw, Ronny Chieng, Amie Donald, Jenna Davis
แนว/ประเภท สยองขวัญ, ไซไฟ, ระทึกขวัญ
เรท PG-13
ความยาว 102 นาที
ปี 2023

แนะนำเว็บดูหนังออนไลน์ : ดูหนังใหม่
แนะนำเว็บรีวิวหนัง : หนังไทยnetflix
แนะนำบทความรีวิวหนัง : รีวิวหนัง Run Rabbit Run

รีวิวหนัง Run Rabbit Run หนังกระตุกขวัญ/สยองขวัญแนวจิตวิทยา ปี 2023

รีวิวหนัง Run Rabbit Run หนังกระตุกขวัญ/สยองขวัญแนวจิตวิทยา ปี 2023

รีวิวหนัง Run Rabbit Run หนังกระตุกขวัญ/สยองขวัญแนวจิตวิทยา ปี 2023

ไอ้เราก็ชอบดูหนังผีสะด้วย พอเจอหนัง Run Rabbit Run (2023) ทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย วันนี้ผู้เขียน webdoonungdee ขอแนะนำ หนังลึกลับสยองขวัญสุดหลอน เรื่อง Run Rabbit Run ได้รับความนิยมสูงสุดในสัปดาห์แรกที่เปิดตัว นำแสดงโดยซาราห์ สนุ๊ก เป็นนักแสดงชาวออสเตรเลีย เรื่องราวของแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เริ่มหวาดผวากับความผิดปกติของลูกสาวตัวน้อย ที่เกี่ยวพันไปถึงความทรงจำเลวร้ายในอดีตของครอบครัว หนังจากออสเตรเลียที่จะพาผู้ชมถลำลึกไปกับรอยแผลเป็นที่ค่อย ๆ เด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านตัวละครแม่ลูกและสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ชัด ๆ บอกได้ว่า..ถ้าหนีได้ก็หนีไปเสีย!

รีวิวหนัง Run Rabbit Run หนังกระตุกขวัญ/สยองขวัญแนวจิตวิทยา ปี 2023

รีวิวหนัง Run Rabbit Run ภาพยนตร์แนวสยองขวัญอินดี้สัญชาติออสเตรเลีย

หนังแนวสยองขวัญจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่แค่สาดความน่ากลัวให้กับผู้รับชมเพียงอย่างเดียวแต่อย่างใด องค์ประกอบของความเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่สมบูรณ์แบบนั้นจะต้องทำให้ผู้รับชมรู้สึกได้ถึงความไม่น่าไว้วางใจจนหวาดระแวงไปหมดทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนจะปกติก็ตาม อย่างเช่นในภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้นั่นก็คือ RUN RABBIT RUN ภาพยนตร์แนวสยองขวัญอินดี้สัญชาติออสเตรเลียที่กำลังได้รับความสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากตัวอย่างที่ปล่อยออกมานั้นสามารถสร้างความหวาดกลัวและความน่าสนใจให้กับผู้รับชม run rabbit run เต็มเรื่อง ได้เป็นอย่างดีด้วยปริศนามากมาย

รีวิวหนัง Run Rabbit Run หนังกระตุกขวัญ/สยองขวัญแนวจิตวิทยา ปี 2023

โดยตัวภาพยนตร์จะเล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวที่มีชื่อว่าซาร่า เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกสาวที่มีชื่อว่ามีอาตามลำพัง ในวันหนึ่งเธอค้นพบว่าลูกสาวของเธอมีพฤติกรรมที่แตกต่างออกไปจากเดิม ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อเสแสร้งว่าทุกอย่างยังคงเป็นปกติ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ปกติแต่อย่างใด

ซึ่งหนังเรื่อง Rabbit Run เขียนบทโดย Hannah Kent และกำกับโดย Daina Reid เปิดตัวครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์ Sundance Film Festival ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม Midnight Selections ปี 2023 เมื่อเย็นวานนี้ ภาพยนตร์ที่มีฉากในออสเตรเลียสร้างสีสันใหม่ให้กับภูมิภาคที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับความบอบช้ำในครอบครัวที่ความผิดพลาดในอดีตผุดขึ้นมา

เรื่องย่อ

run rabbit run เรื่องย่อ Run Rabbit Run ว่าด้วยเรื่องราวของ ซาราห์ แพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบพันธุ์และเจริญพันธุ์ เธอมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับวัฏจักรของชีวิต จนกระทั่งเธอถูกบีบบังคับให้ต้องความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกประหลาดที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ของ มีอา ลูกสาวตัวน้อยของเธอ ทำให้เธอเลือกที่จะท้าทายความเชื่อและเผชิญหน้ากับจิตวิญญาณจากในอดีตของตัวเองที่พ้นผ่านมา

หนังมีกลิ่นอายความเป็นหนังลึกลับ หนังผี หรือว่าอาจจะเป็นหนังจิตวิทยา แต่ยังไม่สามารถกระเทาะเปลือกออกมาได้อย่างชัดเจน การเล่าเรื่องของหนังไม่ใช่ทิศทางของหนังแมสทั่วไป เพราะหนังใส่ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความอินดี้อยู่ในนั้นก็ไม่น้อยเลย แต่เพราะการลำดับเรื่องที่ผูกเอาได้ยังไม่ค่อยน่าสนใจสักเท่าไหร่ ทำให้หนังดึงดูดความสนใจคนดูได้แค่ช่วงแรก ๆ และปล่อยเบลอตามใจไปเรื่อย ๆ ไปจนจบ

รีวิวหนัง Run Rabbit Run หนังกระตุกขวัญ/สยองขวัญแนวจิตวิทยา ปี 2023

เขียนบทโดย Hannah Kent และกำกับโดย Daina Reid

เรียกใช้ Rabbit Run ซึ่งเขียนบทโดย Hannah Kent และกำกับโดย Daina Reid เปิดตัวครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์ Sundance Film Festival ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม Midnight Selections ปี 2023 เมื่อเย็นวานนี้ ภาพยนตร์ที่มีฉากในออสเตรเลียสร้างสีสันใหม่ให้กับภูมิภาคที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับความบอบช้ำในครอบครัวที่ความผิดพลาดในอดีตผุดขึ้นมา

ซาราห์ สนุ๊ก (การสืบมรดก) รับบทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเจริญพันธุ์ ซึ่งลูกสาวของ Mia เริ่มทำตัวแปลกๆ ในวันเกิดปีที่ XNUMX ของเธอ แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างเป็นปกติ แต่ชีวิตของเธอก็เริ่มคลี่คลายเมื่อหญิงสาวที่รับบทโดย Lily LaTorre เริ่มยืนยันว่าเธอชื่ออลิซ นั่นอาจไม่แปลกนักยกเว้นว่าอลิซเป็นชื่อของน้องสาวของแม่ที่หายตัวไปเมื่อเธออายุได้เจ็ดขวบ

รีวิวหนัง Run Rabbit Run หนังกระตุกขวัญ/สยองขวัญแนวจิตวิทยา ปี 2023

รีวิวหนัง Run Rabbit Run เรื่องราวสุดสยองขวัญที่เกิดขึ้นกับเด็กคนหนึ่ง

หากสิ่งเหล่านี้ฟังดูคุ้นๆ สำหรับคุณ นั่นเป็นเพราะเราทุกคนเคยดูละครเรื่องนี้มาก่อน และเมื่อมันถูกสร้างขึ้น ผู้ชมสยองขวัญจะเริ่มสงสัยว่าเด็กถูกสิงหรือกลับชาติมาเกิดอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันจะไม่บอกคุณว่าเรื่องไหน แน่นอน ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าฉันไม่ชอบสปอยล์หนังสำหรับผู้ชมใหม่ๆ แต่เพราะเรดและเคนท์เดินเส้นเรื่องที่ไม่ชัดเจนตลอดทั้งเรื่องเพื่อให้ผู้ชมคาดเดา

สนุ๊กใส่ความกังวล ความอ่อนล้า และความกลัวลงในทุกอิริยาบถในฐานะแม่ที่ใกล้จะกลายเป็นเอสซี่ เดวิสใน Babadook ซึ่งภาพยนตร์และการแสดงจะถูกเปรียบเทียบอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม Snook มีการควบคุมมากกว่าที่จุดเริ่มต้นของส่วนโค้งของเธอ เธอมีการเดินทางที่ต้องทำซึ่งทำให้การกระทำในภายหลังของเธอดูโหดร้ายและน่าเศร้ายิ่งขึ้น

“ซาราห์ สนุก” ต้องมารับหน้าที่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้เพียงลำพัง แต่เพราะว่าบทหนังและการเล่าเรื่องที่ไม่หนักแน่นเพียงพอ แม้ว่าเธอจะให้การแสดงออกมาดีสักแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถช่วยพยุงหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้ ขณะที่ดาราเด็ก “ลิลลี่ ลาทอร์เร่” ถือว่าเฉิดฉายไม่น้อย เป็นเจ้าตัวจิ๋วที่มาช่วยแต่งเติมเรื่องราวได้ดี การแสดงของเธอก็ถือว่าดีกว่าที่คิดเอาไว้ เป็น 2 นักแสดงที่เล่นเข้าขากันได้ดีในหนังเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่

รีวิวหนัง Run Rabbit Run หนังที่วางคอนเซ็ปต์หนังไว้ได้ค่อนข้างน่าสนใจดี

นี่คือผลงานของผู้กำกับหญิงฝีมือดี “ไดอาน่า รี้ด” ที่เคยกำกับซีรีส์ดัง ๆ มาแล้วหลายเรื่อง จากบทหนังของ “ฮานนาห์ เคนท์” ที่เพิ่งจะชิมลางเขียนบทหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก คงจะต้องบอกตรง ๆ ว่า Run Rabbit Run เป็นหนังที่วางคอนเซ็ปต์หนังไว้ได้ค่อนข้างน่าสนใจดี ทั้งปมตัวละครและภูมิหลังลึกลับต่าง ๆ ที่แอบซ่อนเอาไว้ เป็นสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ เพียงแต่ว่าหนังค่อนข้างล้มเหลวในการเล่าเรื่องให้ออกมาได้น่าสนใจ

หนังจาก Daina Reid ผู้กำกับสายซีรีส์เป็นหลัก ที่มีผลงานกำกับอย่าง The Handmaid’s Tale, Shining Girls และอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งถือว่าเป็นเครดิตที่ดีเลย แต่ว่า Hannah Kent ตัวผู้เขียนบทเป็นมือใหม่เรื่องแรก ซึ่งไอเดียความลับของเรื่องนี้ก็คงไปโดนใจผู้กำกับเข้าถึงถูกนำมาสร้างเป็นหนังเรื่องนี้ได้ แต่ก็ต้องบอกกันตรงๆ เลยว่านี่เป็นหนัง Original Netflix ทุนต่ำที่ดูไม่สนุกอีกเรื่อง ด้วยบทที่ยืดเยื้อ วกวนไปกับเรื่องราวซ้ำๆ ของเด็กน้อยที่พยายามทำให้เหมือนหนังผี ด้วยการเลียนแบบตัวตนในอดีตของน้องสาวแม่ที่ตายไปอย่างปริศนา ซึ่งเป็นเมนหลักไอเดียของเรื่องที่พยายามหลอกล่อคนดูว่า นี่มันคือหนังผีจริงๆ หรือไม่

แต่การทำซ้ำวนแต่เรื่องนี้ในแบบเดิมๆ ยกตัวอย่าง เด็กชอบพูดว่าตัวเองเป็นอลิซกับชอบใส่หน้ากากกระต่าย ก็จะมีฉากแบบนี้ซ้ำๆ กันทั้งเรื่องจนบทของตัวเด็กดูน่ารำคาญ ซึ่งมันอาจจะดูหลอนในบางครั้ง แต่มันขาดความระทึกในแบบหนังผีจริงๆ แล้วก็ไม่มีฉากไหนที่รู้สึกว่าทำให้สะดุ้งตกใจได้เลย มันก็เลยกลายเป็นการดูหนังสยองขวัญ ที่พยายามทำตัวเป็นหนังผีปลอมๆ แบบน่าเบื่อมากตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีความรู้สึกว่ามีอะไรที่พอให้น่าติดตามอยู่บ้างก็ตามที

แต่เมื่อเรื่องเฉลยความจริงทั้งหมด ซึ่งก็คือไอเดียหลักความลับของเรื่อง ก็ถือว่าหนังมีส่วนดีปิดท้ายเรื่อง ช่วยกระชากให้คะแนนรวมของเรื่องดูดีขึ้น เมื่อสิ่งที่ดูมาทั้งเรื่องก็มีคำอธิบายที่พอเป็นเหตุผลลงตัว แม้จะไม่แปลกใหม่นักกับไอเดียนี้ก็ตามครับ ซึ่งจริงๆ ตลอดทั้งเรื่องก็มีความพยายามใส่คำใบ้นี้ไว้ตลอด โดยเฉพาะตัวนักแสดง Sarah Snook ที่เล่นเป็นแม่ ทั้งเรื่องเธอทำหน้าตาตื่นตระหนกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา ก็คือคำใบ้ที่เฉลยความลับของเรื่องมากที่สุดแล้ว

บทสรุปหลังดู Run Rabbit Run

ในบางครั้งเราก็แอบรู้สึกว่า Run Rabbit Run อาจจะอยากเจริญรอยตามหนังแนว ๆ นี้ที่เคยประสบความสำเร็จ อย่าง Babadook หรือ Hereditary หรือเปล่า แต่คงต้องบอกว่าหนังยังไม่สามารถถ่ายทอดได้เทียบเท่ากับหนังเหล่านี้ แม้ว่าเราจะค่อนข้างการวางองค์ประกอบและโครงสร้างในการสร้างบรรยากาศที่แสนวังเวงและอึมครึมของหนังก็ตาม แต่มันก็เป็นเพียงองค์ประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยประคองหนังทั้งเรื่องเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี

แม้ว่าในตอนท้ายของ Run Rabbit Run จะมากับบทสรุปที่ทิ้งเอาไว้ให้คนดูชวนตะลึง แต่น่าเสียดายที่มันกลับยังไม่ใช่หนังที่น่าจดจำได้สักเท่าไหร่ในภาพรวม แม้ว่าการแสดงของนักแสดงจะทำออกมาได้ดี แต่ยังกระท่อนกระแท่นในการเรียกร้องความสนใจต่อคนดู บทหนังยังเต็มไปด้วยคำถาม การเล่าเรื่องยังไม่ค่อยดึงดูดได้อย่างเต็มที่ แอบเสียดายที่หนังน่าจะสะพรึงได้ตรึงใจมากกว่านี้ เพราะสุดท้ายก็เป็นแค่หนังที่เราจะเปิดดูผ่านไป แล้วไม่คิดจะกลับมาดูซ้ำอีกแน่ ๆ

ตอนจบเป็นอย่างไง เหมือนทางผู้กำกับอาจจะปูทางทำภาค 2 เพราะตอนจบยังเหมือนไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ ติดอยู่นิดเดียวยังไม่ค่อยเคลียร์ใจ สรุปแล้วว่า…เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซาราห์สร้างตัวต้นที่เป็นอลิซขึ้นมาเอง และใส่ร้ายความผิดให้ลูกสาว หรือผีน้องสาวของเธอเป็นคนทำ และฉากจบอยากรู้ต่อว่า ลูกสาวของเธอ ที่เธอเห็นว่าอลิซ (น้องสาว) พาไปตรงหน้าผานั้น จะเกิดยังไงต่อไป ตอนที่ดูชวนหงุดหงิดนิดนึงที่ ทำไมไม่วิ่งออกไปดูลูก ทำไมยังเคาะกระจกหน้าต่าง ร้องเรียก “มีอา” ลูกสาวของเธออยู่อย่างนั้น และเรื่องที่ยังไม่เคลียร์อีกอย่าง คือ เหตุจูงใจที่ฆ่าอลิซคืออะไร

ประเภท: สยองขวัญ
ผู้กำกับ: ไดอาน่า รี้ด
นำแสดงโดย: ซาราห์ สนุก, ลิลลี่ ลาทอร์เร่
ความยาว: 100 นาที
กำหนดฉายในไทย: 28 มิถุนายน 2023

แนะนำเว็บดูหนังออนไลน์ : ดูหนังใหม่
แนะนำเว็บรีวิวหนัง : หนังไทยมาใหม่
แนะนำบทความรีวิวหนัง : รีวิว Heart of Stone

รีวิว Heart of Stone (ฮาร์ท ออฟ สโตน) – หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ ปี 2023

รีวิว Heart of Stone (ฮาร์ท ออฟ สโตน) - หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ ปี 2023

รีวิว Heart of Stone (ฮาร์ท ออฟ สโตน) – หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ ปี 2023

พบกันอีกครั้งกับพวกเรา webdoonungdee กับเรื่องราวของหนังบู๊สายลับฟอร์มยักษ์ เรื่องใหม่ล่าสุด ปี 2023 พอดูแก้เบื่อได้เพลินๆ เรื่อง Heart of Stone: ฮาร์ท ออฟ สโตน (2023) นำแสดงโดย Gal Gadot นักแสดงสาวสวยเจ้าของบท Wonder Woman เรื่องนี้เธอจะได้รับบทเป็น Rachel Stone สายลับสาวมากฝีมือจากองค์กร The Charter องค์กรสายลับอิสระที่ไม่อยู่ภายใต้หน่วยงานใด เรื่องราวจะเข้มข้นแค่ไหนกันนะ หนังแอ็กชั่นสายลับที่ได้ Gal Gadot มารับบทนำ และหวังสร้างเป็นแฟรนไชนส์กันยาวๆ ด้วยคำโฆษณาดูดีหลายอย่างถึงความสดใหม่ใน หนังไทยnetflix แม้แต่การโฆษณาว่าถึงเวลาของสายลับผู้หญิงเป็นตัวเอก ซึ่งจริงๆ ก็มีมาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งคำโอ้อวดเหล่านี้กลายมาเป็นปัญหาเมื่อหนังไม่สามารถทำได้ถึงจุดที่โฆษณาไว้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าหนังจะไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้สนุกและแปลกใหม่อย่างที่ควรจะเป็นเลย หากคุณเป็นคนชอบดูหนังแอ็คชั่นมันส์ ๆ แนวนี้ สามารถไปติดตาม ดูหนังใหม่ เรื่องอื่น ๆ ได้ที่นี่ doonungonline เลยครับ

รีวิว Heart of Stone (ฮาร์ท ออฟ สโตน) - หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ ปี 2023

รีวิว Heart of Stone – ผลงานผู้กำกับ Tom Harper

heart of stone (2023) รีวิว หนังได้ผู้กำกับ Tom Harper ที่ล่าสุดคือ The Aeronauts ปี 2019 ที่ฉายโรงเล็กน้อยก่อนลง Amazon Prime แล้วก็หายไปมากำกับเรื่องนี้ และร่วมเขียนบทกับทีมงานเดิมด้วยเช่นกัน (Richard Holmes,Tom Harper, Jack Thorne) ซึ่งเป็นผลงานแนวสายลับทุนสูงที่ต่างจากผลงานในอดีตที่ออกแนวดราม่า เรียกว่าเป็นของใหม่ของทีมงานเขาเลยก็ว่าได้

ทำให้องค์ประกอบเรื่องบทที่ควรจะสดใหม่ แต่กลับไปคล้ายซีรีส์ของ Prime เรื่องล่าสุด Citadel ที่สร้างโดยพี่น้องรุสโซ่ ที่พึ่งทำ The Gray Man ปี 2022 ลง Netflix ไปเช่นกัน กลายเป็นการสลับทีมงานสร้างกันเลย แล้วผลที่ได้ก็แย่ลงด้วยเมื่อมาลงใน Netflix ตัวหนังถูกวางที่ทางไว้แบบแฟรนไชส์ที่มีศักยภาพเจริญรอยตามหนังชุด ‘James Bond 007’, ‘Mission: Imposible’ หรือ ‘Bourne’

ด้วยการวางโครงเรื่องจากนักวาดมีชื่อจากทั้งฝั่งดีซีและมาร์เวลอย่าง เกร็ก รักคา (Greg Rucka) เจ้าของผลงานกราฟิกโนเวลที่เป็นต้นธารของหนังทีมคนอมตะ ‘The Old Guard’ (2020) ซึ่งรักคาก็วางพลอตที่น่าสนใจว่าด้วยสายลับที่ซ่อนตัวอยู่ในองค์กรสายลับอีกที มันก็พอมีมุมแปลกใหม่น่าสนใจได้ดี และนักเขียนบทสาวมือรางวัลอย่าง แอลลิสัน ชโรเดอร์ (Allison Schroeder)

จากหนัง ‘Hidden Figures’ (2016) ก็มาสานต่อโครงเรื่องจนเป็นบทหนังที่สามารถดึงพลังของตัวละครหญิงออกมาอย่างโดดเด่น โดยได้ผู้กำกับ ทอม ฮาร์เปอร์ (Tom Harper) จากซีรีส์ ‘Peaky Blinders’ ซีซันแรกมากำกับ ก็ถือว่าหนังเป็นแนวสายลับแอ็กชันที่ผู้หญิงนำในแบบซีเรียสจริงจัง โดดเด่นแตกต่างจากภาพเดิม ๆ ที่เรามักเจอแต่แนวตลกแอ็กชันเสียมาก

รีวิว Heart of Stone (ฮาร์ท ออฟ สโตน) - หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ ปี 2023

เรื่องย่อ Heart of Stone

heart of stone netflix เปิดฉากมาที่ปฏิบัติการของ MI6 ที่จะว่าล้มเหลวก็ไม่เชิงแต่มาเพื่อให้รู้ว่า Rachel Stone (Gal Gadot) คือสายลับซ้อนสายลับที่มีหน้าฉากเป็นเจ้าหน้าที่ไอทีมือใหม่ไม่ชำนาญงานภาคสนามของ MI6 แต่เบื้องหลังคือเจ้าหน้าที่องค์กรลับระดับโลกที่ชื่อว่าชาร์เตอร์ที่ออกปฏิบัติภารกิจโดยการแฝงตัวอยู่ใน MI6 ด้วยทักษะสายลับระดับซือแป๋เรียกอาจารย์

และในองค์กรชาร์เตอร์ก็มีการควบคุมภารกิจโดยซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกได้อย่างมากมายแล้วประมวลผลทำนายอนาคตได้ค่อนข้างแม่นยำเรียกว่าเดอะฮาร์ท ซึ่งเดอะฮาร์ทนี่เองที่สามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างความสงบสุขและประคองสังคมโลกแต่ถ้ามองอีกมุมก็สามารถเป็นอาวุธทำลายล้างที่คนที่ได้ครอบครองจะสามารถควบคุมโลกได้

เดอะฮาร์ทจึงไปเข้าตาแฮ็กเกอร์สาวจากอินเดีย Keya Dhawan (Alia Bhatt) ที่จะเอาไปใช้เพื่อสางแค้นของตัวเองและได้ส่งทีมมาแย่งผ่านภารกิจที่สองที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมของ Rachel Stone ต้องพลีชิพ แน่นอน Rachel Stone จึงต้องตามล่า Keya Dhawan เพื่อหยุดยั้งแผนการร้ายตามสูตร

รีวิว Heart of Stone (ฮาร์ท ออฟ สโตน) - หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ ปี 2023

เรื่องราวขององค์กรสายลับในเงามืด

ความเหมือนกับ Citadel จุดใหญ่เลยคือเรื่องราวของ องค์กรสายลับในเงามืดที่คอยช่วยเหลือหรือทำภารกิจใหญ่ในโลกมาตลอดกลับต้องมาเจอปัญหาในตัวเอง ซึ่งอาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ที่ว่าหนังสายลับโดยปกติมักอ้างอิงหน่วยงานหลักในโลกไปหมดแล้ว ก็เลยต้องมาใช้พล็อตนี้เล่น แต่ประเด็นมันสดใหม่แค่นิดเดียว

โดยอ้างว่าองค์กรสายลับชาร์เตอร์ในเรื่องนี้มีอุปกรณ์ที่ชื่อว่า “ฮาร์ท” ที่แฮ็กทุกอย่างได้ในโลก (ใน Citadel ก็มีเหมือนกันอีก) เป็นอาวุธที่ใช้สั่งงานปฏิบัติการต่างๆ ให้สายลับทำเพื่อเป้าหมายความสำเร็จสูงสุด แต่ก็เป็นเหตุให้ตัวร้ายใช้จุดนี้หลอกและพยายามขโมยเครื่องมือนี้มาเพื่อครอบครองเอง ซึ่งฟังดูไอเดียมันก็ดีอยู่

แต่ผลลัพธ์ของเรื่องคือบทมีช่องโหว่ปัญหามากมาย ยกตัวอย่างที่มาของเครื่องมือนี้ก็แทบไม่มีปรากฎ องค์กรในเรื่องก็มองไม่เห็นว่าใช้เงินลงทุนหรือมีที่มาจากไหน ถึงขนาดทำแบบนี้ได้ฟรีๆ หัวหน้าองค์กรก็เป็นคนดีกันสุดๆ ตัวร้ายก็เก่งแบบโอเว่อร์โดยไม่รู้ที่มาที่ไปว่าทำไมหลบเลี่ยงฮาร์ทมาได้โดยตลอด ซึ่งทั้งหมดนี้ผู้ชมต้องรู้สึกเอะใจแล้วตั้งคำถามกันตลอดเรื่องแน่นอน

รีวิว Heart of Stone (ฮาร์ท ออฟ สโตน) - หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ ปี 2023

รีวิว Heart of Stone – จุดสังเกตของหนัง

ที่บังเอิญเหมือน Citadel อีกจุดใหญ่ heart of stone หนัง คือการใช้ตัวเอกเป็น ฮาร์ท ออฟ สโตน นักแสดง อินเดีย อาเลีย บาตต์ จากคังคุไบ ส่วน Citadel ใช้ Priyanka Chopra Jonas นางเอกจาก The White Tiger ของ Netflix คือเป็นความบังเอิญที่น่าแปลกใจ แต่พอเข้าใจได้ว่าแนวสายลับผู้หญิง ต้องการรูปร่างหน้าตาแบบนี้ และเพื่อเจาะตลาดสตรีมมิ่งอินเดียที่ใหญ่มากด้วย ซึ่ง อาเลีย บาตต์ ก็พอใช้ได้อยู่ในบทแฮ็กเกอร์สาวที่หลงผิด แต่บทของเธอพึ่งเป็นจุดเริ่มเรื่องนี้แล้วหวังไปต่อในภาคหน้า ก็เลยไม่ได้มีเยอะมาก

รีวิว Heart of Stone – พลอตและทีมเบื้องหลังของหนัง

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าพลอตและทีมเบื้องหลังของหนังที่ว่ามาไม่ได้เป็นตัวชูโรงสำคัญ เท่ากับนักแสดงนำที่ได้ดาราสาว กัล กาดอต (Gal Gadot) จากแฟรนไชส์หนัง ‘Wonder Woman’ มารับบทนำ และแม้เทียบกับ ‘Red Notice’ ที่ครั้งนั้นกาดอตร่วมแสดงกับทั้ง ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) และ ไรอัน เรย์โนลส์ (Ryan Reynolds) เรื่องนี้อาจจะไม่น่าตื่นตาเท่า แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่าเวลามีหน้าสวย ๆ ของเธออยู่บนหนังมันสะกดผู้ชมได้เสมอ

ความรู้สึกหลังรับชม Heart of Stone

นอกจากนี้ยังมีทีมนักแสดงสมทบที่น่าสนใจอย่างดาราสาวอินเดีย อเลีย บาตต์ (Alia Bhatt) จากหนัง ‘Gangubai Kathiawadi’ (2022) ที่มาชิมลางหนังตะวันตกเป็นครั้งแรกในบทแฮกเกอร์ตัวร้าย และ โซฟี โอโคเนโด (Sophie Okonedo) ดาราสาวมากฝีมือที่เคยเข้าชิงออสการ์จาก ‘Hotel Rwanda’ (2005) มารับบทโนแมด ผู้บัญชาการสาวสุดแกร่งของสโตน

ที่ทำให้หนังโชว์พลังของผู้หญิงโดดเด่นอย่างชัดเจน แต่ฝั่งชายเองก็ไม่ได้น่าเกลียดเลย ได้ เจมี ดอร์แนน (Jamie Dornan) หรือคุณเกรย์จากหนังแฟรนไชส์ ‘Fifty Shades’ มารับบทพาร์กเกอร์สายลับคู่หูของสโตน พร้อมกับ แมทเธียส ชเวกโฮเฟอร์ (Matthias Schweighöfer) หรือนักถอดรหัสตู้นิรภัยจากหนัง ‘Army of Thieves’ (2021) มาหนุนตัวนางเอกในบทอัจฉริยะเทคโนโลยีด้วย

หนังมีพลอตที่ว่ากันตามตรงก็ออกจะตามสูตรแบบเชย ๆ ไม่ได้หวือหวาไปกว่าหนังแอ็กชันสายลับที่ทำตามกันมา โดยเพิ่มปมตัวละครเอกที่เป็นสายลับสองหน้าซ้อนอยู่ในวงสายลับอีกที ก่อนที่ภารกิจและผู้คนที่เธอต้องใช้งานจะทำให้สโตนค่อย ๆ เปลือยหัวใจแข็งกร้าวของเธอให้อ่อนโยนลง จนเกิดคำถามต่อความเชื่อมั่นในแนวทางขององค์กร

ในขณะที่ภัยจากภายนอกก็พยายามจะครองอำนาจที่น่ากลัวขนาดล้างโลกได้ง่าย ๆ ตัวหนังมีฉากแอ็กชันที่น่าตื่นตาตื่นใจจำนวนมาก ทั้งฉากเปิดเรื่องที่เล่นกับเวลานับถอยหลังกดดันที่เดินไปหลายสถานการณ์ให้เอาใจช่วย ไปตลอดจนฉากอลังการระดับการต่อสู้เหนือชั้นเมฆที่ระเบิดตูมตามยิ่งใหญ่ หลายฉากชวนให้นึกถึงหนังตระกูล ‘Mission: Imposible’

โดยเฉพาะในภาคหลัง ๆ อย่างช่วยไม่ได้ เพราะเป็นผลงานจาก สกายแดนซ์ บริษัทผู้ผลิตเดียวกัน ซึ่งคล้ายกันแม้แต่รูปแบบสมาชิกในทีมที่ชเวกโฮเฟอร์แทบจะมีเงาของ ไซมอน เพกก์ (Simon Pegg) ทาบทับอยู่ไม่น้อย แต่แน่นอนว่าผู้ชมทั้งหมดต้องการมาดู Gal Gadot มากกว่า ซึ่งบทของเธอก็ถือว่าเน้นแอ็กชั่นมากที่สุดที่เคยเล่นมา

เพราะนี่เป็นหนังโชว์ออฟตัวเธอล้วนๆ โดยมีคนอื่นเป็นตัวรองในตอนแรกตามบทสายลับที่แฝงเข้าทำงานใน MI6 อีกที แต่น่าเสียดายที่ฉากแอ็กชั่นต่างๆ มันไม่ว้าวเลย แม้จะทำออกมาค่อนข้างสนุก แต่มันก็ยังไม่อลังการ แปลกใหม่ มีจุดขายใดๆ เลยสักฉาก ดูแล้วสนุกแบบเฉยๆ

สามารถไปติดตาม หนังผีแนวตลกสืบสวนสอบสวนไต้หวันได้ที่นี่ รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี – หนังตลกสยองขวัญไต้หวัน

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี - หนังตลกสยองขวัญไต้หวัน

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี – หนังตลกสยองขวัญไต้หวัน

วันนี้เราจะมาแนะนำ หนังไทยnetflix หนังผีแนวตลกสืบสวนสอบสวนไต้หวันที่มองเผินๆ เหมือนหนังเกย์ แต่ความจริงกลับไม่ใช่ (ซะทีเดียว) วันนี้ webdoonungdee จะขอมาพูดถึงหนัง เรื่อง marry my dead body (2023) แต่งงานกับผี ไม่ได้มีแค่ความฮามาเสิร์ฟเท่านั้น แต่ยังอัดแน่นไปด้วยดราม่าแบบเต็มเหนี่ยว ซาบซึ้ง กินใจจนใครบางคนอาจน้ำตาไหล และมีเซอร์ไพรซ์ให้คนดู “เฉิงเว่ยหาว” ผู้กำกับแฟรนไชส์หนังผีไต้หวัน The Tag-Along มานั่งเก้าอี้ดูแลงานสร้างเรื่องนี้ ถือว่าปรับโหมดเบา ๆ สำหรับเขาเหมือนกัน แต่เขาก็หยิบเอาประสบการณ์ที่คุ้นเคยจากการสร้างหนังผีผสมผสานเล่าเรื่องในหนังเรื่องนี้ด้วย ทำให้กลายเป็นหนังตลกคลุกเคล้าความหลอนแบบกรุบกริบ ที่่ทำออกมาได้ในจังหวะที่ลงตัวแทบจะทั้งเรื่อง หากคุณเป็นคนชอบหาหอะไรใหม่ ๆ ทำ สามารถไปติดตาม ดูหนังใหม่ ได้ที่นี่เลย doonungonline

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี - หนังตลกสยองขวัญไต้หวัน

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี พล็อตเดิม ๆ แต่กลับทำออกมาได้อย่างลงตัว

marry my dead body netflix เรื่องนี้เป็นพล็อตเดิม ๆ ที่เรามักจะเห็นอยู่ในหนังและละครจนชินแล้วชินอีก เมื่อตัวเอกสองตัวต้องมาแต่งงานกันด้วยความจำยอม ไม่ชอบขี้หน้ากันตั้งแต่แรกและต้องทำภารกิจร่วมกันเพื่อจะแยกจากกันในที่สุด แต่จนแล้วจนรอดเขาก็รักกันซะงั้นน่ะ เรื่องนี้ก็เริ่มต้นด้วยพล็อตแบบนี้แหละค่ะ เพียงแต่ตัวเอกสองฝั่งไม่ใช่หญิงกับชาย ฝั่งหนึ่งเป็นตำรวจที่เกลียดเกย์เข้าไส้และกระทืบเกย์จนถูกสั่งย้ายมาแล้ว ส่วนผีหรือก็ดันเป็นผีรักโลก ผีรักสัตว์ ใจบุญสุนทานเป็นผีแสนดีไม่มีอะไรเทียบ นี่มันคาแรกเตอร์ละครรักที่เน่าสนิทเลยชัด ๆ ซึ่งเป็นพล็อตเดิม ๆ เซ็ตติ้งเดิม ๆ แต่กลับทำออกมาได้อย่างลงตัวจนเราเมินความเก่าของพล็อตไปได้เลย

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี - หนังตลกสยองขวัญไต้หวัน

จุดนี้ถือเป็นการหยิบพล็อตเก่าที่เราคุ้นเคยออกมาขายได้อย่างมืออาชีพ เพราะทำได้เนียนจนเราก็รู้แหละว่ามันเชยแต่ก็ยินดีที่จะเฉยและชื่นชมมัน บวกกับการปล่อยมุกต่าง ๆ ที่ถูกจังหวะจะโคนแบบไม่ต้องพยายาม เป็นมุกที่โผล่มาในแบบที่เราไม่ต้องตั้งตัว ไม่ทันคิดว่าตรงนี้ จุดนี้จะทำให้เราขำออกมาได้ แต่ก็ขำออกมาแล้วในแบบที่ลืมกลั้น เพราะสามารถขำได้เลย ขำได้ทันทีอย่างเป็นธรรมชาติและไม่คาดคิดว่าหนังจะเล่นง่ายขนาดนี้ ฝีมือจริง ๆ

นอกจากนี้หนังยังสอดแทรกเรื่องราวความรักหนุ่มสาวไว้ได้อย่างลงตัว ตั้งแต่คู่ของตำรวจตัวเอก ที่นางเอกของเรื่องนี้สวยน่ารัก แต่ความรักมันไม่ง่ายและมีเรื่องเซอร์ไพรซ์เสมอ หรือคู่ของผีเกย์เองก็ยังย้อนมาเล่าความสัมพันธ์และบอกเล่าเรื่องราวจริงๆ ของทั้งคู่ในตอนหลังได้อย่างดีงาม ซึ่งเกี่ยวพันกับความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่ต้องเห็นลูกเป็นเกย์และรับไม่ได้มาตลอด ในขณะที่อาม่าของบ้านกลับรับและมองเห็นตัวตนที่ดีงามโดยไม่สนใจความเป็นเกย์ของหลานเลยแม้แต่น้อยนิด ซึ่งตัวหนังชงผูกเรื่องราวความรักพวกนี้เข้ากันได้เป็นอย่างดี

เรื่องย่อ Marry My Dead Body แต่งงานกับผี

Marry My Dead Body (2023) เป็นเรื่องราวของ อู๋หมิงฮั่น ตำรวจหนุ่มแมนทั้งแท่งที่โดนหมายหัวว่าเป็นคนเหยียดเพศและเขาก็กลัวผีแบบสุดขีด เขาบังเอิญหยิบจับซองแดงของงาน ขึ้นมาระหว่างกำลังรวบรวมหลักฐานในคดีที่รับผิดชอบอยู่ ไม่นานเขาก็พบว่าตัวเองได้หมั้นหมายกับ เหมาปังหยู เกย์หนุ่มน่ารักที่เสียชีวิตกะทันหันด้วยสถานการณ์ท่ามกลางปริศนา ทำให้ชายทั้งสองต้องมาร่วมไขคดีและหาความยุติธรรมให้กับดวงวิญญาณ

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี - หนังตลกสยองขวัญไต้หวัน

โปรดักชั่นและงานสร้างของ Marry My Dead Body แต่งงานกับผี

โปรดักชั่นและงานสร้างของ แต่งงานกับผี (marry my dead body) อาจจะไม่มีอะไรมากนัก แต่หนังก็ใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไว้ได้ค่อนข้างครบ ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ท่วงท่าของผี ที่ใส่ลูกเล่นเข้ามาน่าสนใจ มุมภาพและมุมกล้องในหนังก็ถือว่าดีใช้ได้ การจัดแสงจัดโทนสีในหนังถือว่าช่วยเร้าอารมณ์และความสนุกให้กับตัวหนังได้อีกทางด้วย หนึ่งในองค์ประกอบที่โดดเด่นสุด ๆ ของ Marry My Dead Body เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมนักแสดง ที่ถือว่าเป็นตัวสร้างสีสันให้กับหนังเรื่องนี้ได้ดีขึ้นเป็นกอง “เกร็ก ซู” มาสวมวิญญาณบทชายแท้ ที่เพิ่มเสน่ห์และความมั่นหน้าให้กับคาแรกเตอร์ของเขาได้เป็นอย่างดี

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี - หนังตลกสยองขวัญไต้หวัน

การแสดงที่ทะเล้นเป็นธรรมชาติ เขาสามารถก้าวเข้ามาเป็นตัวแทนของเหล่าชายแท้ในหมู่คนที่มีหลากหลายทางเพศได้ดี ขณะที่ “ออสติน หลิน” ปล่อยอินเนอร์และเสน่ห์ความน่ารักในบทบาทที่เขารับได้ดี เป็นหนึ่งคาแรกเตอร์ที่เอาได้อยู่หมัดทั้งเรื่อง เมื่อพวกเขาทั้งคู่มาผนึกำลังกัน กลายเป็นว่าสามารถส่งตัวหนังได้เป็นอย่างดี การแสดงและจังหวะที่ลงตัวของพวกเขาช่วยประคับประคองหนังเอาไว้ได้ดี และยังมี “กิงลี่ หวัง” ที่เข้ามาช่วยเสริม กับรุ่นใหญ่ “หวังหม่านเชียว” ที่ขโมยซีนได้สุด ๆ

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี หนังสูตรสำเร็จที่ตอบโจทย์ความบันเทิงได้เป็นอย่างดี

ก็ถือว่า Marry My Dead Body เป็นหนังสูตรสำเร็จที่ตอบโจทย์ความบันเทิงได้เป็นอย่างดี แต่งงานกับผี หนัง พวกเขารู้ดีว่าคนดูต้องการอะไร และอยากเห็นอะไร ถึงแม้ว่าพล็อตหนังจะเดิม ๆ ง่าย ๆ แต่ยังดูได้เพลินดี ทั้งตลกและยังแทรกความดราม่าให้น้ำตาไหลได้อย่างรสชาติ ไม่แปลกใจที่หนังเรื่องนี้จะกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จ เมื่อครั้งที่หนังออกฉายในโรง ถึงแม้ว่าพล็อตหนังจะค่อนข้างจำเจและเป็นเซ็ตติ้งเดิม ๆ ทั้งสิ้น แต่ความโดดเด่นของหนังก็ถือการเล่าเรื่องและการหยิบใส่ประเด็นที่เข้ามาในหนัง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกนำมาใส่ในหนังเชิงพาณิชย์จากประเทศแถบนี้ ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก แต่มันได้กลายเป็นความกล้าที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการหนังไต้หวันเบา ๆ เพราะหนังใส่ทั้งประเด็นรักษ์โลก, การฉ้อฉลในวงการเครื่องแบบ, ความหลากหลายทางเพศ และสมรสเท่าเทียม เข้ามาเป็นกิมมิกด้วย

และนี่ก็คือสูตรสำเร็จของหนังไต้หวันที่สนุกสุดป่วง หนังสไตล์ที่ค่อนข้างเว้นว่างห่างหายไปหลายปีมากแล้ว มันเป็นความสนุกแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก พล็อตเดิม ๆ แบบสัญญาจับคู่รักที่เป็นสูตรดั้งเดิมที่เราเคยดูกันมาหลายเรื่องแล้ว แต่จังหวะของหนังที่ถ่ายทอดออกมาทำออกมาได้ลงล็อกเป๊ะ ๆ ตั้งแต่นาทีแรกที่เปิดฉากมา กลายเป็นหนังที่ดึงดูดความสนใจเราได้ดีเลย ในเมื่อนี่เป็นหนังที่ใช้ตัวเอกเกย์มาดำเนินเรื่อง แต่ไม่เล่นประเด็นทางเพศเหล่านั้นแล้วจะดูอะไร

ก็ต้องบอกเลยว่านี่เป็นหนังที่รวมเรื่องราวทันสมัย ร่วมสมัย ประเด็นตื่นรู้ต่างๆ ไว้แทบจะครบครัน ตั้งแต่เรื่อง มุมมองเรื่อง LGTBQ ในครอบครัว ผู้สูงอายุ สิทธิของผู้หญิง สมรสเท่าเทียม ประเด็นโลกร้อน รักษ์โลก ลดขยะพลาสติก ซึ่งบอกไว้แบบนี้ก็คงงงว่าเรื่องพวกนี้มาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง ก็เอาเป็นว่าสปอยล์มากไม่ได้ แต่ตัวเอกผีเกย์คือ คนหนุ่มรุ่นใหม่ที่ใส่ใจประเด็นพวกนี้แล้วเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกระทัน ทำให้ตำรวจหนุ่มที่บังเอิญมาพบเจอเขาต้องช่วยทำเรื่องพวกนี้ให้เขาไปสู่สุขคติให้ได้ จากความรำคาญที่โดนป่วนตลอดนั่นเอง

รีวิวหนัง Marry My Dead Body แต่งงานกับผี ผสมผสานความเชื่อของไต้หวัน

เรื่องนี้มีการผสมผสานความเชื่อของไต้หวันแบบเดิม ๆ กับการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยของคนรุ่นเก่าได้อย่างลงตัวเลยละค่ะ ตั้งแต่การหยิบเอาความเชื่อเรื่องแต่งงานกับผีในแบบไต้หวันมาใช้ ด้วยความเชื่อที่ว่า หากมีสาวโสดเสียชีวิตทางครอบครัวก็จะนำสิ่งของต่าง ๆ เช่น เครื่องประดับ เงินสด เส้นผม รูปถ่ายและเล็บของผู้ตายมาใส่ในซองแดงและวางทิ้งเอาไว้ตามทางเดิน ครอบครัวจะเฝ้ารอจนกว่าจะมีผู้ชายเดินมาหยิบมันขึ้นมา และเมื่อผู้ชายคนไหนมาหยิบซองแดงขึ้นมาเป็นคนแรก ก็จะถูกเลือกให้เป็นเจ้าบ่าวของผู้ตาย ความเชื่อนี้ยังเชื่อกันอีกว่า หากผู้ชายคนที่หยิบซองแดงได้ยอมแต่งงานก็จะเกิดความเป็นสิริมงคลต่อทุกฝ่าย ครอบครัวจะอยู่เย็นเป็นสุข วิญญาณผู้ตายจะสงบสุข แต่ถ้าหากชายคนนั้นปฏิเสธไม่ยอมเป็นเจ้าบ่าวของผู้ตายก็จะพบกับความโชคร้าย ซวยซ้ำซวยซ้อน หาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้ ซึ่งความเชื่อทั้งหมดนี้ก็ถูกนำไปเป็นพล็อตเริ่มต้นแบบเน้น ๆ กันเลย ผสมกับการสร้างให้อาม่าของเหมาเหมา ผีหนุ่มที่เป็นเกย์เป็นคนที่โลกกว้างและมีหัวคิดสมัยใหม่

ความรู้สึกหลังรับชม Marry My Dead Body แต่งงานกับผี

ในเวลาทั้งหมด 2 ชม. จัดว่าเป็นเวลาที่กำลังดีของหนังเรื่องหนึ่ง ที่จะทำให้เราติดตามไปได้แบบไม่รู้สึกว่ามากไปหรือน้อยไป โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่เวลาและเนื้อหาถูกจัดวางเวลาเอาไว้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นการใส่เนื้อหามาแบบเข้มข้นโดยที่ไม่ใช่การจับยัด และเล่าเรื่องราวที่อยากใส่ อยากเสนอในแบบเบาสบาย ขำขัน แต่ถ้าใครจะคิดมากก็หน้าม้านกันได้ง่าย ๆ เพราะหนังสามารถจิกกัดเรื่องราวต่าง ๆ ระบบต่าง ๆ ในสังคมได้เป็นระยะ ๆ ตั้งแต่การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรื่องความยุติธรรม การฉ้อฉลและแอบจิกกัดเรื่องการเลือกปฏิบัติกับความหัวงูของผู้ชายบางกลุ่มได้แบบไม่ทันตั้งตัว

ซึ่งถึงแม้ว่าพล็อตจะเป็นพล็อตที่จำเจ แต่การร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องราวกับทำได้ดีจนดูเพลิน และขำเรื่อย ๆ อย่างเบาสมอง (หากว่าไม่คิดอะไรให้ลึกไปกว่านั้น) โดยเฉพาะในส่วนของความสยองที่จัดออกมาให้ตกใจได้แบบน่ารักน่าขำจากการดูแลงานสร้างของ ‘เฉิงเว่ยห่าว’ ผู้กำกับ ‘The Tag-Along’ แฟรนไชส์หนังผีไต้หวัน ที่มาในโหมดเบา ๆ แต่ทำให้เราตกใจได้ จนกลายเป็นหนังตลกที่คลุกเคล้าความน่ากลัวเล็ก ๆ อย่างพอดิบพอดี

โดยภาพรวมแล้ว หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร แต่ก็ใส่ความบันเทิงเอาไว้ได้อย่างมีอรรถรสดี เคมีนักแสดงและลีลาการแสดงของพวกเขาค่อนข้างเข้าขากันใช้ได้ เซอร์ไพรส์ที่สุดคงจะเป็นความกล้าในการหยอดใส่ประเด็นที่คาดไม่ถึงเอาไว้ในหนังเรื่องนี้ นี่คือหนังเก็บอารมณ์ได้เกือบทุกเม็ด สนุกแบบไม่ต้องอวย (แนะนำให้ดูเวอร์ชั่นพากย์ไทย) และยังเป็นหนังไต้หวันที่ทำให้เราบันเทิงได้อีกครั้งในรอบหลายปี

ประเภท: ตลก / สยองขวัญ / สืบสวนสอบสวน
ผู้กำกับ: เฉิงเว่ยหาว
นำแสดงโดย: เกร็ก ซู, ออสติน หลิน, กิงลี่ หวัง, หวังหม่านเชียว
ความยาว: 129 นาที
กำหนดฉายในไทย: 10 สิงหาคม 2023

วันนี้เรามาแนะนำหนังแนวระทึกขวัญที่สร้างจากเรื่องจริง สามารถไปติดตามได้ที่นี่ รีวิว The Good Nurse

รีวิว The Good Nurse (2022) : สวรรค์แห่งความสยองขวัญ

รีวิว The Good Nurse (2022) : สวรรค์แห่งความสยองขวัญ

รีวิว The Good Nurse (2022) : สวรรค์แห่งความสยองขวัญ

สวัสดีครับเพื่อน ๆ วันนี้เราจะมาแนะนำหนังแนวระทึกขวัญ The Good Nurse Netflix จากพยาบาลสาวสู่มาตกรที่โหดเหี้ยมสุด ๆ The Good Nurse (2022) สร้างจากเรื่องจริงของเหตุการณ์ผู้ป่วยตายปริศนาในโรงพยาบาลห้องไอซียู ได้นักแสดงนำชื่อดังอย่าง Eddie Redmayne รับบท ชาล พยาบาลหนุ่มที่อยู่ในคราบของฆาตกร และยังได้นักแสดงสาวชื่อดังอย่าง Jessica Chastain รับบท เอมี่ พยาบาลที่ทำหน้าที่ด้วยความโอบอ้อมอารีกับผู้ป่วย มีพยาบาลคนหนึ่งสงสัยว่า เพื่อนร่วมงานของเธออาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตอย่างลึกลับของผู้ป่วยหลายคน พยาบาลที่ดีอย่างเธอจึงไม่อาจอยู่เฉย ทำให้เรื่องราวระทึกขวัญเบา ๆ เกิดขึ้นแบบเลี่ยงไม่ได้ ‘The Good Nurse’ คือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาจากเหตุการณ์จริง ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผลงานกำกับของ โทเบียส ลินด์โฮล์ม (Tobias Lindholm) ผู้กำกับที่มีผลงานเข้าชิงรางวัลออสการ์ และผลงานการแสดงของสองเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง เจสซิก้า เชสเทน (Jessica Chastain) และ เอ็ดดี้ เรดเมย์น (Eddie Redmayne) หากคุณเป็นคนที่หลงรักการดูหนัง สามารถไปติดตามรับชม ดูหนังใหม่ เรื่องอื่น ๆ ได้ที่นี่เลย

รีวิว The Good Nurse (2022) : สวรรค์แห่งความสยองขวัญ

รีวิว The Good Nurse หนังแนวระทึกขวัญ จากพยาบาลสาวสู่มาตกรที่โหดเหี้ยม

เมื่อจั่วหัวไปที่ภาพยนตร์เขย่าขวัญชวนลุ้นระทึก The Good Nurse (2022) ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะตั้งตารอคอยฉากชวนลุ้นที่คาดว่าจะต้องเกิดและมีปิดตาแน่นอน แต่สิ่งที่ได้กลับไม่เป็นเช่นนั้น กลายเป็นว่าเราได้เซอร์ไพรส์ใหม่มาแทนที่คือการที่หนังเลือกที่จะนำเสนอในบรรยากาศที่ทำให้ชวนนึกถึงหนังแนวนี้ในยุค 90s ปลาย ๆ ด้วยการปู  เรื่องราวที่ราบเรียบและดำเนินไปอย่างช้า ๆ ให้ผู้ชมได้ซึมซับชีวิตของตัวแสดงไปเรื่อย ๆ และเพิ่มเลเวลไปทีละนิด ๆ จนถึงจุดพีคจนอึดอัดในที่สุด

รีวิว The Good Nurse (2022) : สวรรค์แห่งความสยองขวัญ

ซึ่งถือว่าไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แต่ก็ไม่ได้เก่าจนล้าสมัย หนังเพิ่มเลเวลความอึดอัดที่ชวนลุ้นไปกับนางเอกของเรื่องขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผ่าน 30 นาทีแรกไปแล้ว ความเข้มข้นจะเป็นไปในแบบการเพิ่มพลังงานความน่าสนใจ อยากรู้ เฝ้าติดตาม แต่ไม่ได้หวือหวา จนทำให้เกิดบรรยากาศของหนังที่เป็นดราม่าสืบสวนสอบสวนที่ดูเหมือนจะไร้ลูกเล่น แต่กลับแอบเก็บซ่อนฉากเด็ดเอาไว้ให้คนดูตายใจ และสร้างความรู้สึกบีบคั้น ห่วงใย แอบลุ้นเอาไว้ตลอดทั้งเรื่อง จุดนี้ทำให้ภาพรวมของหนังกลายเป็นดราม่าสืบสวนสอบสวนที่หากไม่มีตัวแสดงอย่าง เจสซิก้า เชสเทน และเอ็ดดี้ เรดเมย์น ก็อาจจะทำให้หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเอาซะเลยก็เป็นไปได้

เรื่องย่อ The Good Nurse

the good nurse เรื่องย่อ The Good Nurse เป็นเรื่องราวของ เอมี่ พยาบาลช่างเห็นอกเห็นใจและคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้มีภาวะโรคหัวใจร้ายแรงถึงชีวิต ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดกำลังเพราะการเข้าเวรกะดึกในแผนกไอซียูที่ทั้งหนักและแสนยุ่ง แต่แล้วก็ได้คนมาช่วยผ่อนแรงเมื่อชาร์ลี พยาบาลผู้ใส่ใจและเข้าอกเข้าใจคนอื่นมาเริ่มงานที่แผนกเดียวกัน มิตรภาพที่มั่นคงแน่นแฟ้นเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งคู่ทำงานที่โรงพยาบาลด้วยกันจนดึกดื่น นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เอมี่เกิดความเชื่อมั่นในอนาคตของตัวเองและลูก ๆ ที่ยังเล็กอย่างแท้จริง แต่การเสียชีวิตอย่างลึกลับของผู้ป่วยหลายคน นำไปสู่การสืบสวนพร้อมเบาะแสที่ชี้ว่า ชาร์ลี คือผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในคดีนี้ เอมี่จึงต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองและความปลอดภัยของลูก ๆ เพื่อค้นหาความจริง

รีวิว The Good Nurse (2022) : สวรรค์แห่งความสยองขวัญ

The Good Nurse จังหวะและโทนของหนังทำให้นึกถึงหนังยุค 1990s

The Good Nurse อาจจะกลายเป็นหนังฆาตกรโรคจิตเรื่องหนึ่งที่ชวนขนลุกเลยก็ว่าได้ แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นโฟกัสและเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองตัวละครใดตัวหนึ่งที่ทำให้ทิศทางของหนังเป็นเช่นนั้น เพราะท้ายที่สุดมันก็เป็นหนังดราม่าอาชญากรรมสืบสวนสอบสวนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความระแวงและไม่ไว้ใจไปตลอดทั้งเรื่อง เป็นการใช้แง่กฎหมายและข้อพิสูจน์ทางการแพทย์มาใช้ในการนำเสนอเล่าเรื่องนี้

จังหวะและโทนของหนังทำให้นึกถึงฟีลหนังแนวนี้ในช่วงปลายยุค 1990s หรือต้นปี 2000s ที่มักจะใช้วิธีการนี้เป็นการปูเรื่องราวและกำหนดทิศทางของหนัง เมื่อนำมาใช้กับหนังเรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าหนังยังไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไรที่แปลกใหม่อะไร ดำเนินไปเรื่อย ๆ ตามสูตรสำเร็จ และแอบเสียดายหน่อย ๆ ที่ผู้กำกับไม่ได้งัดเอาเสน่ห์และเทคนิคการทำหนังในแบบฉบับของเขามาใช้กับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่

รีวิว The Good Nurse (2022) : สวรรค์แห่งความสยองขวัญ

แน่นอนว่า The Good Nurse มีข้อได้เปรียบตรงที่ 2 นักแสดงนำที่เต็มไปด้วยศักยภาพที่ทรงพลังของเขา แม้ว่าบทบาทที่พวกเขาได้รับอาจจะเป็นใครอื่นก็ได้ที่มารับบทนี้ แต่ “เจสสิก้า เชสเทน” ก็อุทิศและทุ่มเทให้กับบทบาทนี้ค่อนข้างสุดตัว ถึงแม้ว่าคาแรกเตอร์นี้ของเธอจะไม่ได้สร้างความแปลกใหม่เท่าไหร่ แต่มาตรฐานการแสดงของเธอก็ยังคงช่วยพยุงให้หนังทรงพลังอยู่ได้

เช่นเดียวกับ “เอ็ดดี้ เรดเมย์น” ที่มาพร้อมกับการถ่ายทอดบทบาทที่เต็มไปด้วยมิติซับซ้อน ผ่านทั้งท่วงท่าลักษณะและอัปกิริยาทางการแสดงของเขา การแสดงของเขาที่นุ่มลึกและเยือกเย็นเหมาะกับโครงเรื่องของหนังเป็นอย่างดี เมื่อทั้ง 2 นักแสดงคู่นี้มาผนึกกำลังกัน พ่นไฟสุด ๆ ในหนังเรื่องนี้ในช่วงไคล์แม็กซ์ด้วยแล้วนั้น ก็ถือว่าเป็นกำไรของคนดูโดยแท้ ที่ได้มีโอกาสได้เห็นดาราระดับรางวัลออสการ์มาปะทะกันแบบคุ้มค่า

The Good Nurse บทบาทการแสดงของ เจสซิก้า เชสเทน และ เอ็ดดี้ เรดเมย์น

ในด้าน เจสซิก้า เชสเทน ในบทบาทของเอมี่ที่ดูเหมือนจะราบเรียบและไม่ได้ปล่อยพลังสักเท่าไหร่ กลับทำให้เราเกิดความรู้สึกร่วมกับความรู้สึกของเอมี่ที่มีต่อชีวิตของตัวเอง ต่อความกดดันภายในใจที่ต้องตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องแต่ยังคงมีความห่วงหาอาทรและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จนคำว่า Good Nurse ไม่ได้ห่างไกลไปจากตัวเอมี่เลยจริง ๆ บทที่ดูเหมือนจะเล่นง่ายแบบนี้ กลับไม่ง่ายเลยที่จะถ่ายทอดอารมณ์ทั้งหมดออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้ และ เจสซิก้า เชสเทน เธอทำมันสำเร็จแล้วอย่างยอดเยี่ยม 

ในด้านของ เอ็ดดี้ เรดเมย์น ผู้รับบทชาร์ลี พยาบาลฆาตรกรที่ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำไปทำไม ผู้เขียนอยากทำถ้วยมอบให้เขาเป็นการส่วนตัวไปเลยละค่ะ อินเนอร์เบอร์แรงที่จัดใหญ่จัดเต็มมากระแทกความรู้สึกคนดูนั้น ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของเขาถึงเป็นที่กล่าวขวัญถึงในโลกภาพยนตร์ ถ้าหากจะบอกว่าการดูหนังเรื่องนี้โคตรจะคุ้มเพราะได้ดูฝีมือการแสดงของเขาก็ไม่ได้เป็นการออกตัวเชียร์ที่โอเวอร์เลยสักนิด เพราะประหนึ่งได้ดูพี่น้อย วงพรู สวมบทเป็นพยาบาลโรคจิต อย่างไรก็อย่างนั้น

รีวิว The Good Nurse เรื่องราวมิตรภาพของเขาที่เกิดกับเอมี่

เนื้อเรื่องจงใจเล่าแค่ช่วงท้ายก่อนโดนจับของชาร์ล แล้วสร้างเรื่องราวมิตรภาพของเขาที่เกิดกับเอมี่ โดยพยายามทำให้เข้าใจว่าชาร์ลป่วยทางจิตแบบพยายามซ่อนไว้ จากปัญหาชีวิตที่ไร้ความสุขของเขา แล้วก็ทำให้เอมี่เป็นคนที่เข้าถึงและเข้าใจเขาจริงๆ จนนำไปสู่การจับกุมตัวพร้อมคำสารภาพได้สำเร็จ ซึ่งเรื่องจะเน้นที่ฉากการพูดคุยของสองคนนี้เป็นไคลแม็กซ์สุดท้ายของเรื่องที่มีแต่บทสนทนาเนิบ ๆ ก็จริง แต่ก็ดูสมจริงจนน่าเชื่อถือมากว่าการทำให้ฆาตกรต่อเนื่องที่ป่วยทางจิตสารภาพได้นี่ต้องใช้ความเข้าใจแค่ไหน ซึ่งตัวเรื่องทำได้ดีไม่มีที่ติจากบทการแสดงพลังดาราออสการ์ของทั้งคู่ที่เล่นส่งต่อเคมีอารมณ์ทุกอย่างได้ตามที่เรื่องวางไว้

แม้ว่าตัวเรื่องจะจับจุดเล่าแค่ข่วงสั้นๆ เน้นดราม่าชีวิตมากกว่า และก็ทำได้ดี แต่ปัญหาก็อาจจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ชมคาดหวังว่าจะได้เห็นชีวิตลงลึกของฆาตกรรายได้มากวก่านี้ ซึ่งตัวเรื่องแทบไม่มีรายละเอียดเลยว่าเขาทำไปทำไม และการสืบสวนของเรื่องจากอัยการก็ดูเป็นแค่การบอกเล่าปัญหาว่าที่ชาร์ลทำอย่างนี้มาได้ตลอดกับ 9 โรงพยาบาล ก็เพราะการละเลยปกปิดปัญหา แต่ตัว the good nurse เรื่องจริง มีเหตุผลที่มารายละเอียดค่อนข้างครบและตอบคำถามต่างๆ ที่เรื่องนี้คาไว้ได้โดยละเอียด อย่างจุดเริ่มต้นของการฆ่า แรงจูงใจต่างๆ ซึ่งพอได้อ่านเรื่องจริงกลายเป็นเรื่องนี้แทบจะตัดข้ามละเลยสิ่งที่ควรจะบอกเล่ามาทั้งหมด อย่างปัญหาว่าทำไมโรงพยาบาลละเลยไม่ใช่แค่เรื่องกลัวเป็นข่าวใหญ่ แต่ลึกๆ คืออาชีพพยาบาลขาดแคลน ทำให้ รพ. กลัวว่าจะยิ่งซ้ำเติมเรื่องนี้เข้าไปอีก ซึ่งจริงๆ ก็คือสิ่งที่เรื่องนี้แสดงมาตั้งแต่แรกว่าอาชีพพยาบาลเป็นอาชีพที่หนัก พร้อมเจอปัญหาเฉพาะหน้ากับผู้ป่วยก่อนใครด้วย

รีวิว The Good Nurse บทสรุปเรื่องราว

เรียกว่าหนังได้ประคองบรรยากาศของการเล่าเรื่องที่ราบเรียบมาตั้งแต่ต้นจนจบเลยก็ว่าได้ ความตื่นเต้นที่ได้รับถูกกระตุ้นอารมณ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และดำเนินมาถึงฉากจบที่ค่อย ๆ เงียบเสียงลงเหมือนการปิดม่านละครเวทีที่ไร้เสียงปรบมือของคนดู แต่เป็นการโบกมือลาเพียงเบา ๆ ยังไงยังงั้น เอาเป็นว่าโดยภาพรวมนั้น The Good Nurse จัดได้ว่าหนังดราม่าสืบสวนทางการแพทย์ที่ได้ดีเพราะมีนักแสดงนำ 2 คนที่ทรงพลังมาก ๆ และช่วยประคองหนังเอาไว้ทั้งเรื่องได้อยู่หมัด แต่สไตล์การเล่าเรื่องและจังหวะของหนังยังค่อนข้างซ้ำ ๆ และเชยไปสักหน่อย หนังมีข้อมูลและหลักฐานที่ชวนติดตาม แต่วิธีการนำเสนอยังไม่กลมกล่อมได้ถึงที่สุด นี่คือหนังที่ดี ทั้งการแสดงและองค์ประกอบอื่น ๆ เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นน่าประทับใจได้ระดับเทียบชั้นหนังรางวัลขนาดนั้น

ประเภท: ดราม่า / อาชญากรรม

ผู้กำกับ: โทเบียส ลินด์โฮล์ม

นำแสดงโดย: เจสสิก้า เชสเทน, เอ็ดดี้ เรดเมย์น

ความยาว: 121 นาที

กำหนดฉายในไทย: 26 ตุลาคม 2022

สามารถไปติดตามรับชม หนังไทยมาใหม่ เรื่องราวชีวิตสุดน่าติดตามได้ที่นี่ รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time : เวลาไม่ได้อยู่ข้างใคร วันนี้ คุณทำดีที่สุดแล้วหรือยัง

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time : เวลาไม่ได้อยู่ข้างใคร วันนี้ คุณทำดีที่สุดแล้วหรือยัง

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time : เวลาไม่ได้อยู่ข้างใคร วันนี้ คุณทำดีที่สุดแล้วหรือยัง

หนังไทยnetflix แนวดราม่า เรื่อง เวลา (Anatomy of Time) 2021 ของผู้กำกับ จักรวาล นิลธำรงค์ ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่ง แหม่ม เป็นภรรยาของอดีตนายทหารซึ่งปัจจุบันกลายสภาพเป็นผู้ป่วยติดเตียงจนต้องมีคนมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา เวลาที่เดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทำให้แหม่มหวนนึกถึงอดีตอันหอมหวานและขื่นขมในครั้งที่ตนยังสาว ตัดสลับซ้อนทับกับภาพปัจจุบัน ที่อาจกล่าวได้ว่าเวลาไม่เคยคอยใคร วันนี้ คุณทำดีที่สุดแล้วหรือยัง หากคุณชอบหนังแนวดราม่าชีวิตแบบนี้ สามารถไปติดตามรับชมหนังเรื่องอื่น ๆ ได้ที่นี่ ดูหนังออนไลน์

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time : เวลาไม่ได้อยู่ข้างใคร วันนี้ คุณทำดีที่สุดแล้วหรือยัง

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time ผลงานผู้กำกับ เก่ง-จักรวาล นิลธำรงค์

Anatomy of Time (2022) เวลา หรือ เวลา คือผลงานการกำกับของ เก่ง-จักรวาล นิลธำรงค์ ที่ได้เดินทางไปเข้าฉายรอบ World Premiere ในงาน Venice International Film Festival เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี และได้รับรางวัล Bisato Award for Best Screenplay มาได้สำเร็จ รวมถึงยังได้เดินทางไปเข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติอีกหลายแห่งและได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time : เวลาไม่ได้อยู่ข้างใคร วันนี้ คุณทำดีที่สุดแล้วหรือยัง

หากมองจากตัวอย่างและเรื่องย่อที่ถูกเปิดเผยออกมา Anatomy of Time อาจจะดูเป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก กระทั่งเราได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้จนจบ เราค้นพบว่าแกนหลักสำคัญของภาพยนตร์คือการพาผู้ชมมาร่วมกันขบคิดและไตร่ตรองถึงความสำคัญของคำว่า ‘เวลา’ ในแง่มุมที่เราอาจจะไม่เคยตระหนักถึงมาก่อน  

 

เรื่องย่อ เวลา Anatomy of Time

anatomy of time เรื่องย่อ เริ่มจากภาพของชายเฒ่าบนเตียง และหญิงชราคู่ชีวิตที่คอยดูแล ชายเฒ่าหลับใหลไร้สติ หญิงชราคลำหารอยนูนตรงขา เธอคว้ามีดออกมา กรีดลงไปและควักเอาลูกกระสุนออกมา ปราศจาการตอบสนองราวกับว่าร่างกายนั้นคือศพที่ไร้เลือด เรือนร่างของเขามีกระสุนฝังอยู่ในต้นขา มันเกิดขึ้นจากภารกิจที่เขาซ่อนตัวไปเป็นสายลับในขบวนการของพวกคอมมิวนิสต์ ในภารกิจนั้นเขาถูกยิงที่ต้นขา และปล่อยให้หญิงชาวบ้านแม่ลูกอ่อนที่เป็นสายให้ทหารไทยต้องถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด

เพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบการปกครองที่ดี ก็ต้องมีคนเสียสละกันบ้าง เด็กสาวเป็นลูกสาวเจ้าของร้านนาฬิกาในตลาด บ้านของเธออยู่ติดธารน้ำ บ้านที่เต็มไปด้วยนาฬิกาพ่อของเธอนอกจากขายยังเป็นช่างซ่อมเวลา หมายถึงเป็นช่างซ่อมนาฬิกา เธอรักอยู่กับคนหนุ่มพื้นเมืองคนหนึ่ง พวกเขาขี่จักรยานไปเที่ยวกัน เขาพาเธอไปดูการเก็บน้ำผึ้ง ฟังเรื่องเล่าของนางพญาผึ้งที่เลือกผึ้งงานตัวผู้มาผสมพันธ์ จากนั้นก็ฆ่าทิ้งเสีย นายทหารหนุ่มมาตามจีบเธอ ซื้อน้ำหอมมาให้

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time : เวลาไม่ได้อยู่ข้างใคร วันนี้ คุณทำดีที่สุดแล้วหรือยัง

แต่เธอเลือกทาน้ำผึ้งจากหนุ่มคนรัก ไม่นานจากนั้นหนุ่มคนรักของเธอก็ถูกลอบทำร้ายจนปางตาย ไม่นานหลังจากนั้นเธอออกไปเที่ยวกับนายทหารคนนั้น และได้อยู่ในเหตุการณ์ระทึกขวัญร่วมกับเขา สามีนายพลของเธอนอนกำลังตายอย่างเชื่องช้า ร่างของเขาเนือยนิ่งหากในความฝันเขายังคงกล่าวสบถ จนพยาบาลที่เธอจ้างมาดูแลก็สาปแช่งเขาและหนีไป ในห้วงยามสุดท้ายของชีวิต เหรียญตราเกียรติยศกลายเป็นเพียงสิ่งที่จมในกองฝุ่น เครื่องแบบเดียวที่หลงเหลือคือผ้าอ้อมผู้ใหญ่และความทุกข์ทรมานในเรือนร่างที่เปื่อยเน่า

เวลา Anatomy of Time เสียงประกอบและดนตรี บรรยากาศฉากต่างๆ ทำออกมาอย่างประณีต

ขณะเดียวกันเรื่องราวของแหม่มทั้งในพาร์ตอดีตและปัจจุบันก็ทำหน้าที่บอกเล่า ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ผ่าน ‘กาลเวลา’ ในแง่มุมต่างๆ ของมนุษย์อย่างละเมียดละไม ทั้งมุมมองความรัก ความเยาว์วัย ความเชื่อ ความศรัทธา ชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์ ที่สามารถแปรเปลี่ยนไปได้เฉกเช่นเดียวกับสิ่งของรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเองหรือผู้คนรอบข้างก็ตาม   

รวมถึงประเด็นของ ‘ความตาย’ ที่ตัวภาพยนตร์ได้ตั้งคำถามกับเราว่าเรารู้จักคำๆ นี้มากน้อยแค่ไหน พร้อมชวนเราขบคิดต่อไปขั้นว่าเราเคยลองจินตนาการภาพของตนเองในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตไว้อย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง ผู้คนรอบข้างเรา ณ เวลานั้นจะรู้สึกอย่างไร ไปจนถึงตัวตนของเรา ทั้งความคิด ความเชื่อ ความรู้สึกต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time : เวลาไม่ได้อยู่ข้างใคร วันนี้ คุณทำดีที่สุดแล้วหรือยัง

จากเนื้อหาเรื่องราวแล้ว หลายๆ คนก็อาจรู้สึกเหมือนกันว่าก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่น่าตื่นเต้น แต่ผู้กำกับ จักรวาล นิลธำรงค์ กลับใช้ plot เรื่องแบนๆ บางๆ นี้เป็นเวทีในการแสดงความสามารถด้านการกำกับส่วนที่เขาถนัดจัดเจนที่สุด คือการสร้างสีสันบรรยากาศอันแตกต่างของฉากหลัง ณ สถานที่ต่างๆ โดยอาศัยเทคนิคทางภาพยนตร์ ทั้งการถ่ายภาพ การจัดองค์ประกอบศิลป์ แสง สี เสียงประกอบและดนตรี ให้ลีลาเชิงบรรยากาศสำหรับฉากต่างๆ ได้อย่างประณีต ด้วยพื้นเพของการเป็นนักทำหนังทดลองมาก่อน สายตาการจับจ้องเฝ้ามองภาพต่างๆ ของจักรวาล นิลธำรงค์ จึงมีวิถีที่เป็นเอกลักษณ์ สามารถสร้าง visual ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นความเก่าเขรอะภายในบ้านผู้ป่วย ภาพธรรมชาติหินผาและรังผึ้งกระเพื่อมบนชะง่อนผนังศิลา ไปจนถึงแสงสีเจิดจ้ายามราตรีใน nightclub ซึ่งก็น่าจะเป็นจุดเด่นที่สะดุดตากรรมการคัดเลือกหนังของเทศกาลภาพยนตร์เวนิสที่ขึ้นชื่อในเรื่องการส่งเสริมศิลปะภาพยนตร์โดยเฉพาะในเชิงเทคนิคต่างๆ

ความรู้สึกหลังรับชมหนัง เวลา Anatomy of Time

ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมเลยว่าเซตติ้งต่างๆ ในหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเซตติ้งปัจจุบันอย่างบ้านของแหม่มที่ดูเป็นบ้านของ “คนจริงๆ” กระจกที่ไม่ได้สะอาดเนี๊ยบ ต้นไม้ใบหญ้ารอบบ้าน ข้าวของที่มีฝุ่นจับประปราย เตียงนอนของชายชราที่ดูเป็นเตียงผู้ป่วยจริงๆ หรือแม้กระทั่งฉากคลอดลูกของน้องหมาที่งงว่าผู้กำกับไปหาน้องมาจากไหนนน รวมไปถึงเซตติ้งในอดีตที่ราวกับว่าได้พาคนดูท่องกาลเวลาไปในยุคนั้น

โดยรวมคือชอบเซตติ้งในเรื่องแทบทุกฉากเลย  ถ้าใครสายเสพย์ภาพ เสพย์งานศิลป์ แค่ได้ดูเซตติ้งเรื่องนี้ก็คุ้มแล้ว แม้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ดูแล้วเข้าใจยากเกินไปก็ตาม รู้สึกแค่พอมึนๆ หน่อยๆ ว่าหนังต้องการจะสื่ออะไรให้กับเราให้รับรู้ ความยากของเรื่องนี้ไม่ใช่การเล่าที่ซับซ้อน แต่ส่วนที่ยากคือการจะมีสมาธิที่จะไม่รู้สึกเบื่อจากการเล่าเรื่องแบบเอื่อยๆ จนพาเราจิตหลุดไปนี่แหละคือความยาก ดูหนังออนไลน์2023

รีวิวหนัง เวลา Anatomy of Time การดำเนินเรื่อง

หนังจะเล่าถึงคุณป้าหรือย่าดี? ในช่วงเวลาปัจจุบันที่ต้องดูแลคุณปู่วัยชราภาพป่วยติดเตียง และจ้างเด็กสาวมาช่วยพยาบาลแบบให้ที่พักไปในตัว ส่วนอีกช่วงเวลาคือสมัยปู่และย่าเป็นหนุ่มสาว น่าจะเป็นช่วงเวลาซ้อนทับในยุค ‘60s ของไทย ที่ทหารหนุ่มสมัยนั้นต้องต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คืบคลานเข้ามาครอบงำหนุ่มสาวอีกกลุ่มนึงเหมือนกัน และในอดีตปู่เป็นทหารระดับ เสธ.(เสนาธิการ) ส่วนย่านั้นเป็นวัยรุ่นสาวลูกร้านนาฬิกาในเมือง

เซ็กซ์ซีนริมหาดสมัยย่าในวัยสาวกับชายหนุ่มที่หลงรัก ตอนแรกก็แอบงงว่าจะใส่มาทำไม ใส่มาแล้วก็ควรจะมีความหมายหน่อยได้มั้ย ให้คนดูรู้สึกเชื่อว่ารักกันจริงๆ หรือ แบบให้ไปสู่จุดพีคแบบใน Oldboy (2003) ก็จะเข้าใจได้ แต่พอใช้เวลามานั่งคิดทบทวนอีกสักหน่อย ก็คิดว่าหนังคงเล่าอีกช่วงเวลานึงแหงๆ ซึ่งเวลานั้นเป็นห้วงคำนึงของย่า หรือ เป็นจินตนาการของย่าหลังจากแก้แค้นสำเร็จแล้ว เพราะแมสเสจในหนังตอนที่ย่ายังสาวจะได้ยินว่า ย่านั้นอยากไปทะเล แต่ได้มาเที่ยวป่าเขาแทน แสดงให้เห็นว่า ทะเล, ชายหนุ่ม, เซ็กซ์ และ สาวอีกคนข้างๆ น่าจะเป็นความสุขที่แท้จริงของย่านั่นเอง

บทสรุป เวลา Anatomy of Time

ส่วนตัวดูแล้วคิดว่านี่คือการแก้แค้นของย่าแก้แค้นปู่  เนื่องจากตราบาปของปู่ในอดีต ที่ทำร้ายคนรักของย่า จึงต้องให้มีชีวิตอยู่ต่อนานๆ ทรมานให้ถึงที่สุดเท่าที่จะยื้อเวลาไว้ได้ เพราะส่วนตัวดูแล้วไม่ใช่ดูแลกันด้วยความรักสักเท่าไหร่ ยิ่งมาเห็นสัญญะในภาพแล้วก็คิดว่าใช่แหละ แม้บางฉากจะดูขาดๆ เกินๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าแสดงได้ดีกว่าที่คาดไว้ ทั้งคุณเอิงเอย ประภามณฑล เอี่ยมจันทร์ ที่แสดงเป็นแหม่มตอนยังสาว ก็ดูสวยน่ารักตามแบบฉบับของหญิงสาวในยุคนั้น หรือคุณอุ้ม วัลลภ รุ่งกำจัด ที่แสดงเป็น “เสธ.” ได้กร้าวใจมาก ตอนใส่แว่นกันแดดแล้วยิ้มคือใจละลายจริงอะไรจริง ดูเป็นนายทหารสุดเท่ที่สาวๆ ในเรื่องต้องตามจีบเป็นขบวนแน่นอน รวมถึงคุณโสระบดี ช้างศิริ ที่แสดงเป็น เสธ. ตอนชรา ก็ดูซูบผอมแบบคนป่วยติดเตียง สมจริงมาก

ถึงที่สุดเมื่อเวลาจบสิ้นลง anatomy of time ตอนจบ แหม่มกลับไปที่บ้านเกิดที่ไม่มีพ่อแล้ว เธอไขลานนาฬิกาอีกครั้ง ให้เวลาเดินอีกครั้ง โดยลำพังเธอสัปหงกริมน้ำ  อาบน้ำจากลำธาร หนังเลื่อนไหลไปหาวัฏสงสารของต้นไม้ประหลาดบนเขา ที่นกไปพาเมล็ดของมันมาจากที่อื่น ถ่ายทิ้งไว้ และต้นไม้ค่อยๆ งอกขึ้นมาจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ภาพร่างอีกชนิดของเวลา และไปสู่ทัศนียภาพของเรือนร่างของเธอที่เปลือยกาย นอนลงบนพื้น เวลาผ่านเรือนร่างหย่อนคล้อยฉายอยูในแสงแดด ในบ้านที่ดูเหมือนหยุดนิ่งมาหลายสิบปี โดยมีความตายปลดปล่อยเธอออกมาจากเวลาชนิดหนึ่ง ไปสู่เวลาอีกชนิดหนึ่ง

สุดท้ายนี้ ขอแนะนำหนังแนวดราม่าแฟนตาซีดูเพลิน ๆ ได้ทั้งครอบครัว ไปติดตามรับชมได้แล้ววันนี้ที่ รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ – หนังอเมริกันแฟนตาซีผจญภัยปี 2022

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ - หนังอเมริกันแฟนตาซีผจญภัยปี 2022

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ – หนังอเมริกันแฟนตาซีผจญภัยปี 2022

หนังไทยnetflix แนวดราม่าแฟนตาซีที่สามารถ ดูได้อย่างเพลินได้ทั้งครอบครัว เรื่อง Slumberland 2022 : สลัมเบอร์แลนด์ หนังที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนสุดคลาสสิก ที่เป็นการตีความออกมาเป็นฉบับไลฟ์แอคชั่นล้ำจินตนาการ จากผู้กำกับ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (Francis Lawrence) เรื่องราวจะสนุกขนาดไหน ไปติดตามรับชมหนังเต็มเรื่องได้ที่ทาง Netflix และ ดูหนังออนไลน์ กันเลย

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ - หนังอเมริกันแฟนตาซีผจญภัยปี 2022

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ หนังครอบครัวแฟนตาซี

สำหรับภาพยนตร์ Slumberland (2022) เรื่องนี้ถือว่าเกินความคาดหมายมาก ตอนแรกคิดว่าจะเป็นหนังเด็กที่ไม่มีอะไรมากมาย เพราะด้วยความที่เป็นหนัง Netflix เลยเผื่อใจเอาไว้แต่แรก ซึ่งถึงมันจะเป็นหนังเด็กก็จริง แต่ตัวหนังกลับมีเสน่ห์และรายละเอียดที่ดี เรียกได้ว่าเป็นหนังเด็กที่ผู้ใหญ่สามารถดูได้สนุกเพลินๆ เลย มาเริ่มกันที่ส่วนของบทก่อน บทของเรื่องนี้ก็ไม่ได้ซับซ้อนหรือพิเศษอะไรมากมาย แต่ก็มีความแปลกและความน่าสนใจ นั่นคือเรื่อง โลกแห่งความฝัน หรือ สลัมเบอร์แลนด์ นั่นแหละ ตัวหนังได้อธิบายเซ็ตอัพของโลกนี้มาแบบไม่ได้ละเอียดมากนัก แต่มันก็มากเพียงพอให้เราเข้าใจและไม่ตั้งคำถาม ซึ่งถือว่าทำได้ดีมาก การดำเนินเรื่องก็ไปแบบรวดเร็วและน่าติดตาม มีปมปัญหาของเรื่องให้เราอยากรู้ต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นและคู่หูคู่ฮานี้จะลงเอยอย่างไร แถมตอนจบก็ทำออกมาได้ซึ่งกินใจอีกด้วย

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ - หนังอเมริกันแฟนตาซีผจญภัยปี 2022

‘Slumberland’ จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นหนังครอบครัวแฟนตาซีที่อาจจะไม่ได้มีอะไรเกินความคาดหวังนะครับ แต่เป็นหนังที่รู้ตัวเองดีว่าจะทำให้ออกมาสนุกถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างไร เป็นหนังเด็กที่มีทั้งมุกฮา ๆ เรื่องราวสุดมหัศจรรย์ แลเป็นหนังผู้ใหญ่ที่ตื่นตาตื่นใจด้วยวิชวลและ Color Grading ที่สวยสดงดงาม เป็นหนังดราม่าน้ำดีที่เอาไว้ดูแก้เครียดก็พอไหว ไม่ว่าจะเครียดกับชีวิต หรือแม้แต่เครียดจากซีรีส์ ‘1899’ ก็ตาม (555) ก็ถือว่าดูเอาเพลินแบบได้น้ำได้เนื้อ หรือถ้าดูกับน้อง ๆ ก็เป็นหนังที่เอาไว้คอยสอนลูกให้เรียนรู้และรับมือกับความเป็นจริงของชีวิตได้ไม่เลวเลย

เรื่องย่อ Slumberland

slumberland เรื่องย่อ เป็นการพาเดินทางไปยังดินแดนใหม่สุดมหัศจรรย์ โลกแห่งความฝันซึ่ง นีโม่ เด็กสาวผู้ฉลาดเกินวัยและเพื่อนสุดแปลกของเธออย่าง ฟลิป ออกผจญภัยครั้งสำคัญในชีวิตด้วยกัน หลังจาก ปีเตอร์ พ่อของเธอหายสาบสูญไปในทะเลอย่างไม่มีใครคาดคิด การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของสาวน้อยนีโม่ในย่านแปซิฟิกนอร์ธเวสต์ก็ต้องจบลง เพราะเธอถูกส่งไปอยู่ในตัวเมืองกับคุณอาผู้หวังดีแต่มีความประดักประเดิดแบบสุด ๆ อย่าง ฟิลิป

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ - หนังอเมริกันแฟนตาซีผจญภัยปี 2022

ชีวิตประจำวันในโรงเรียนใหม่ตอนกลางวันนั้นช่างท้าทาย แต่ในตอนกลางคืน แผนที่ลับสู่โลกสุดมหัศจรรย์ของสลัมเบอร์แลนด์ช่วยให้นีโม่ติดต่อกับฟลิป คนนอกกฎหมายที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบทว่าน่ารัก เขากลายเป็นเพื่อนคู่หูและไกด์ผู้นำทางให้กับเธออย่างรวดเร็ว และในไม่ช้า นีโม่และฟลิปได้พาตัวเองเข้าสู่การผจญภัยสุดมหัศจรรย์กับการเดินทางข้ามความฝันและหนีจากฝันร้าย ซึ่งทำให้นีโม่เริ่มมีความหวังว่าเธอจะได้กลับไปพบกับพ่ออีกครั้ง

จากกาตูนคลาสสิก สู่จอภาพยนตร์ Slumberland

ก็อย่างที่เกริ่นเอาไว้ข้างต้นว่า Slumberland สลัม เบอร์ แลนด์ Netflix สร้างมาจากการ์ตูนคลาสสิก ตั้งแต่ช่วงต้นยุคศตวรรษที่ 20 ที่ชื่อว่า Little Nemo in Slumberland ของ วินซอร์ แม็คเคย์ เป็นนิทานแนวเด็กน้อยผจญภัย โดยครั้งนี้ได้ผู้กำกับฝีมือจัดจ้าน อย่าง “ฟรานซิส ลอว์เรนซ์” มารับหน้าที่สร้างหนังแฟนตาซีที่มีเนื้อหาแนวครอบครัวจ๋า ๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของเขาไม่น้อยเช่นกัน

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ - หนังอเมริกันแฟนตาซีผจญภัยปี 2022

เราอาจจะคุ้นเคยกับผลงานก่อน ๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็นหนังชุด The Hunger Games หรือหนังสายลับ Red Sparrow แต่เพราะได้รับอานิสงส์จากการทำงานในซีรีส์ไซไฟ อย่าง See ทำให้เขาได้ลองมาหยิบจับสร้างหนังเรื่องนี้ ด้วยการกลับมาร่วมงานกับ “เจสัน โมโมอา” อีกครั้ง ในรูปแบบคาแรกเตอร์ที่ต่างกันออกไป จะบอกได้ว่าวิสัยทัศน์ของเขาค่อนข้างใช้ได้กับหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองและการเติมแต่งจินตนาการต่าง ๆ ที่ใส่เข้าไปในเรื่อง

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ ความประทับใจที่มีต่อหนัง

จริง ๆ ถ้าดูแค่ตัวอย่างก็คงสัมผัสได้นะครับว่า งานนี้ Netflix ไม่ได้มาเล่น ๆ แม้ว่าจะเป็นแฟนตาซีครอบครัวก็ตาม เพราะเรียกได้ว่าเฉพาะโปรดักชันและงาน CGI ก็ต้องเรียกได้ว่าทุ่มทุนและทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจใกล้เคียง หนังเรื่อง Slumberland บ็อกซ์ออฟฟิศเลยแหละ ซึ่งวิชวลก็มีการอ้างอิงมาจากคอมิกต้นฉบับหลายส่วน และแอบมีกลิ่นอายความ Weird แบบในหนังของ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ผสมความ Realistic เข้าไป และยังแอบมี CGI ที่แอบงานหยาบนิดหน่อย แต่โดยรวมก็ถือว่าออกแบบวิชวลได้สวยงามตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย

ส่วนในแง่ของบทก็น่าสนใจ แม้วิชวลของตัวหนังเองจะชวนให้นึกถึงปรากฏการณ์ฝันซ้อนฝันแบบในหนัง ‘Inception’ (2010) ตะหงิด ๆ แต่ตัวหนังเองไม่ได้ซับซ้อนหัวแตกขนาดนั้น ตรงกันข้าม ตัวหนังยังยึดความเป็นหนังครอบครัวผสมผจญภัยแฟนตาซีที่ดำเนินเรื่องด้วยพล็อตที่เน้นดูง่าย ดูสนุก มีมุกฮาแกล้ม ตรงไปตรงมาตามขนบของหนังครอบครัวผจญภัยที่เดาตอนจบได้ไม่ยากนัก แต่เสน่ห์หลัก ๆ ของหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ตัวหนังสามารถดูได้เพลิน ๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คงหนีไม่พ้นการนำเสนอแก่นสารของเรื่องครับ เพราะว่าตัวหนังเองก็เพิ่มสารที่เป็นประเด็นดราม่าลงไปผสมผสานในหนังด้วย

ทั้งเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว ความรู้สึกแปลกแยก ตัวตนอีกแบบของตัวเราที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก หรือแม้แต่การตีความสภาวะจิตในรูปแบบต่าง ๆ ออกมาเป็น Conflict ที่คอยคุกคามน้องนีโมทั้งในโลกความฝัน และโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งสารอันหนึ่งที่ผู้เขียนว่านำเสนอออกมาได้ดีก็คือ เรื่องของการทำใจยอมรับถึงการจากไป ซึ่งผู้เขียนว่าอันนี้ทรงพลัง และน่าจะเป็นประเด็นที่โดนใจคนที่เคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้เหมือนกันจนอาจน้ำตาซึมไปเลยก็ได้ แม้ว่าการเล่าสลับโลกไป ๆ มา ๆ แบบนี้จะชวนให้เนื้อเรื่องแอบสับสนอยู่เล็ก ๆ ก็ตาม

รีวิว Slumberland สลัมเบอร์แลนด์ บทน่าสนใจ การแสดงยอดเยี่ยม

โทนของหนัง Slumberland ก็ค่อนทางความเป็นสูตรสำเร็จแบบคุ้นเคยดีในหนังแนวผจญภัยครอบครัวสไตล์นี้ ทุกอย่างไร้ขอบเขต เมื่อหนังตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำว่าแฟนตาซี เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ และมันก็ล้ำจินตนาการแบบสุด ๆ งานสร้างและเทคนิคพิเศษของหนังค่อนข้างตื่นตาตื่นใจได้ดี แม้ว่าการย้อนภาพและสีของหนังจะค่อนข้างออกเหลืองจัดไปในบางช่วง แต่ก็มีเหตุผลของตัวหนังที่เลือกย้อมแสงสีออกมาเพื่อเป็นตัวแทนในการเล่าเรื่องจากมุมต่าง ๆ

เพียงแต่ว่าน่าเสียดายสักเล็กน้อยที่ในส่วนของการเล่าเรื่องใน Slumberland จะยังไม่ค่อยให้ความกลมกล่อมและสปาร์กจอยทางอารมรณ์ให้กับผู้ชมได้เต็มที่สักเท่าไหร่ แม้ว่าองค์ประกอบของมันอาจจะเป็นแนว ๆ Monsters Inc. ผสมกับ Inception อะไรทำนองนั้น แต่บางทีก็พาเข้า ๆ ออก ๆ ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกแห่งความฝันสลับกันไป ก็ชวนพาให้คนดูรู้สึกอยากจะหลับใหลในบางช่วงได้อยู่เหมือนกัน

จะว่าไป ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่เห็นได้ชัด นอกเหนือจากมาร์โลวแล้วก็คือ งานซีจีที่สดสวยตระการตาเอามากๆ มากจนโดดเด่นยิ่งกว่าเรื่องราวเสียอีก แต่ยังไงก็ตาม มันดูเข้ากันดีกับโลกในความฝัน ความละเอียดละออของต้นหญ้าที่พลิ้วไหว ฉากการเต้นรำที่ระยิบระยับไปด้วยปีกผีเสื้อ หรือฉากของนครที่เต็มไปด้วยตึกแก้ว ทำให้คิดไปว่า ถ้าได้ดูในโรงหนังคงอึ้งทึ่งว้าวได้มากกว่านี้แน่

งานโปรดักชั่นดีไซน์ของหนังเรื่องนี้ถือว่าคุ้มค่ากับทุนสร้างกว่า 150 ล้านเหรียญอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้อลังการหวือหวาถึงที่สุด แต่งานเทคนิคพิเศษและฉากสเปเชียลต่าง ๆ ของหนังก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างละเอียด และเสริมพลังแห่งจินตนาการแห่งโลกความฝันได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ พวกเหล่าสัตว์รูปทรงและขนาดที่ประหลาดก็ถือว่าเป็นสีสันและความบันเทิงชั้นดี

บทสรุป Slumberland

โดยภาพรวมแล้วนั้น Slumberland ถือว่าเป็นหนังที่เฟรนด์ลี่กับครอบครัวเป็นอย่างดี แต่โครงสร้างและความหนักแน่นเกี่ยวกับเรื่องราวของหนังยังไม่ค่อยสมูทมากนัก การเล่าเรื่องยังไม่ชวนในติดตามไปตลอดเส้นทางการผจญภัย ถึงตัวหนังจะพยายามเป็นอย่างมากที่จใส่ประเด็นการเปลี่ยนแปลงในช่วง coming of age แต่กลับยังไม่คมคายพอ แม้ว่างานสร้างต่าง ๆ ทำออกมาได้ค่อนข้างดีอยู่ แต่เมื่อนำมาประกอบร่างเข้าด้วยกันแล้ว หนังยังส่งไปได้ไม่สุดทางเท่าไหร่นัก กลายเป็นสูตรสำเร็จของหนังผจญภัยแฟนตาซีแบบซ้ำ ๆ ที่พอเป็นหนังที่ดูได้เพลิน ๆ แบบผ่าน ๆ แต่ยังหาจุดเด่นและเอกลักษณ์ไม่ค่อยได้เลย

ประเภท: ผจญภัย / ตลก / ครอบครัว
ผู้กำกับ: ฟรานซิส ลอว์เรนซ์
นำแสดงโดย: มาร์โลว บาร์กลีย์, เจสัน โมโมอา, คริส โอดาวด์
ความยาว: 117 นาที
กำหนดฉายในไทย: 18 พฤศจิกายน 2022

ติดตามซีรี่ย์น่าสนุก ๆ ได้ที่นี่ รีวิวซีรีย์ DELETE