Tag Archives: รีวิวหนังระทึกขวัญ

รีวิว Iron Man 1

รีวิว Iron Man 1

รีวิว Iron Man 1

หนังไทยย้อนยุค สวัสดีครับ อย่างที่รู้ๆกันดีว่า ไอร่อนแมน นั้น เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ MARVEL สุดคลาสสิก ไอร่อนแมนภาคนี้ที่แอดจะมารีวิวคือภาค 1 หนังซูเปอร์ฮีโร่ อย่างเรื่องไอหุ่นเหล็ก ไอร่อนแมน สุดมันส์ของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Marvel ที่มีชื่อว่า Iron Man นั้น (มหาประลัยคนเกราะเหล็ก) โดยกำกับการแสดงโดย จอน แฟฟโรว์ เป็นหนังแนวแอคชั่นซูเปอร์ฮีโร ที่กวาดรายได้ถล่มทลายไปถึง 585.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

นำแสดงโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ รับบท (โทนี่ สตาร์ค),กวินเน็ธ พัล โทรว์ รับบท (เปปเปอร์ พอต),เจฟฟ์ บริดเจ็ดส์ รับบท โอบาไดห์ สเตน (ลุงของโทนี่ สตาร์ค) เทอร์เรนส์ โฮวาร์ด รับบท นาวาอากาศโท เจมส์ โรดส์ (เพื่อนสนิทของโทนี่ สตาร์ค) จอน ฟาฟาโร รับบท แฮปปี้ โฮแกน (บริการ์ดผู็ซื่อสัตย์ของโทนี่ สตาร์ค) และ ดาราสมทบอีกมากมายที่จะมาสร้างความสนุกให้กับคุณในหนังแอคชั่นสุดมันส์เรื่องนี้ เว็บหนัง

รีวิว Iron Man 1

รีวิวหนังดัง โทนี่ สตาร์ค เป็นนักประดิษฐ์ และ นักอุตสาหกรรม มหาเศรษฐีพันล้าน ที่ถูกลักพาตัวไป ขณะอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง แล้ว ก็ถูกบีบบังคับ ให้คิดค้นอาวุธ ที่มีประสิทธิภาพ การทำลายล้างสูงแทน ที่เขาจะใช้สติปัญญา อันปราดเปรื่อง และแนว คิดอัจฉริยะ ประดิษฐ์ตามคำสั่ง แต่ว่าโทนี่กลับสร้างชุดเกราะไฮเทค และ หนีรอด การถูกจอง จำมาได้ พอกลับมา ยังอเมริกาโทนี่ ก็ต้องเผชิญหน้า กับอดีต และ ล่วงรู้แผนการชั่วร้าย ที่มุ่งทำลาย ล้างโลก เขาจึงต้องสวมชุดเกราะ ทรงพลัง และ ปฏิญาณว่า จะพิทักษ์โลกใบนี้ ในนาม ไอรอน แมน

เมื่ออัจฉริยะ ผู้ผลิตอาวุธฆ่าคน กลับใจขอเป็นฮีโร่ ช่วยเพื่อนมนุษย์… นั่นคือ ที่มาของฮีโร่คนใหม่ สำหรับผมครับ ยอมรับว่า ไม่เคยรู้จักฮีโร่นามนี้มาก่อนเลยในชีวิต จนมาได้ยิน และ เห็นภาพจากตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งในเว็บในโรง และ ในจอ ‘Iron Man – ไอรอนแมน’

รีวิว Iron Man 1

หลังจากซื้อ Voucher ดู 2 ฟรี 1 ของ Paragon Cineplex ไป วันนี้ ต้องขอใช้สิทธิ์เสียหน่อย จองตั๋วรอบ 17.55 น. โรงภาวาลัย แต่ถูกจำกัดว่า สลากที่จับมานี้ เขาให้ดูได้เฉพาะที่นั่งปกติราคา 140 บาท ก็เลยจำใจต้องเลือกแถวหลังสุดของราคานี้ ไม่พอ ยังต้องจ่าย VAT อีก 40 บาทอีก จะให้ฟรีก็ยังมีโน่นมีนี่เนอะ

หน้าบูดเดินกลับออกมาจากบูธขายตั๋วนิดหน่อย เอาก็เอาว่ะ ถือซะว่า ได้ดูหนังในราคาคนละ 20 บาท แม้จะไม่ฟรีอย่างที่มันบอกก็เถอะ เข้าไปในโรง อืมม ตำแหน่งแถว N นี่ก็โอนะ ไม่ถึงกับคอตั้งบ่าเกินไป นอนเอียงคอดูได้อย่างเต็มที่ นี่ถ้าหนังไม่สนุกล่ะก็ หลับในท่านั้นได้เลยนะ จะบอกให้

‘ไอรอนแมน’ คือ ฮีโร่ตัวใหม่สำหรับผม ในสังกัดของ Marvel Comics หรือ Marvel Studios สำหรับเวอร์ชั่นหนัง นำแสดงโดย Robert Downey Jr. ผู้มีหนวดมีเคราเร้าใจสาว แถมยังมีลูกน้องสาวคู่ใจอย่าง Gwyneth Paltrow อีก ไม่เบาทีเดียว มีดารานำเป็นแม่เหล็กทั้งฝั่งหญิงฝั่งชายเลยเชียว

รีวิว Iron Man 1

ดูท่าทาง โทนี่ สตาร์ค พระเอกของเราจะเป็นพวกทะลึ่งตึงตังไม่ใช่เล่น จีบผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า เนื้อหอมซะมากมาย แต่กลายเป็นอัจฉริยะไปซะงั้น บริษัทของเขาร่ำรวยมหาศาล ผลิตอาวุธชิ้นใหม่ ๆ ให้กับกองทัพสหรัฐฯ และ คิดว่า อาวุธพวกนั้นจะช่วยคุ้มครองปกป้องทหารของพวกเขา

แต่เมื่อวันหนึ่ง เขาต้องตกไปอยู่ในวงล้อมของกลุ่มติดอาวุธนาม Ten Rings ในอัฟกานิสถาน เขาจึงได้รู้ว่า เมื่ออาวุธของเขาไปอยู่ในหมู่ศัตรู มันได้ทำร้ายผู้คนมากมาย โดยเฉพาะคนของชาติตัวเอง ถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างที่อัจฉริยะของโลกคนหนึ่งจะกระทำ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก นั่นคือ เขาได้ผลิตชุดเกราะขึ้นมา กันกระสุนได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่า มีอาวุธครบครัน และ เหาะได้ ดูหนัง

สรุป Iron Man 1

รีวิวหนังดัง ไม่บอกก็รู้ว่า นี่จะเป็นหนังฮีโร่ซีรี่ส์เรื่องถัดไป ใช่แล้ว มันไม่ได้มาแค่ภาคเดียว แล้ว ก็ไปอย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงภาคเริ่มต้นของมนุษย์เหล็กไหล(พันธุ์ตะวันตก)เท่านั้น ภาคเปิดตัวนี้ เล่าที่มาที่ไปของฮีโร่พันธุ์นี้อย่างสนุก และ ขี้เล่น ฮีโร่เรา เจ้าชู้ และ รวยอารมณ์ขันเสียนี่กระไร แจกมุกฮา ๆ ให้ได้หัวเราะร่วนกันรายทาง เรียกได้ว่า เป็นหนังฮีโร่พันธุ์อารมณ์ดีก็ว่าได้

เราได้เห็นชุดเกราะเวอร์ชั่นแรกสุดที่ยังดิบ ๆ กันอยู่เลย จนมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่เติมสีแดงสีทองเข้ามา และ มีวิธีประกอบร่างอันซับซ้อนไม่ใช่เล่น มนุษย์ฮีโร่พันธุ์นี้ไม่ได้เป็นไซบอร์ก ไม่ได้เป็นมนุษย์ดัดแปลง แต่มีหัวใจที่ไม่สมบูรณ์ ต้องใช้พลังงานพิเศษเข้ามาช่วยเหลือ

รีวิว Iron Man 1

พลังงานตรงนั้น อยู่แถว ๆ หัวใจ ที่เห็นเป็นดวงไฟสว่าง ๆ นั่นแหละ แว้บ ๆ ไปดูคลิปการ์ตูน เห็นที่มันมีฮัลค์มาเจอกับไอรอนแมน ตัวพระเอกที่เป็นไอรอนแมนก็ไม่ได้มีอะไรแบบนี้นี่นา หรือว่าเขาเติมแคแรคเตอร์เข้าไป เพื่อสร้างจุดอ่อนให้กับพระเอกในเวอร์ชั่นหนังหว่า

ข้อดีของหนังเรื่อง IRONMAN
มหาประลัยคนเกราะเหล็กก็คือ ในด้านซีจี และ สเปเชียลเอฟเฟกต์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ เช่นในฉากตอนสวมชุดเกาะ และ การบินไปในอากาศ และ ฉากการต่อสู้ในแต่ละฉาก ซึ่งทำได้ยอดเยี่ยมจับผิดไม่ได้เลย รวมไปถึงการดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ก็มีความชัดเจน

ดูแล้ว เข้าใจง่าย และ ด้านดนตรีประกอบฉากก็ทำออกได้สนุกมันส์เร้าใจ รวมทั้งการสอดแทรกมุขตลกของหนังที่มีให้ดูอยู่บ่อย ๆ ทำให้ดู แล้ว ไม่เครียด เช่น ฉากที่โทนี่ทะเลาะกับพวกหุ่นยนต์ตอนสร้างชุดเกาะดู แล้ว ตลกมาก

ข้อเสียของหนัง
ก็คือ ไม่ชอบการให้บทกับโทนี่ สตาร์คต้องมีเตาปฏิกรอาร์คอยู่ในหน้าอก มันทำให้ดู แล้ว หดหู่ และ น่าสงสารมาก ๆ จริง ๆ แล้วไม่ต้องมีก็ได้ และ ข้อเสียอีกข้อก็คือ พระเอกน่าจะเก่งกว่านี้เพราะเท่าที่ดูกว่าจะชนะได้เกือบตาย

สรุปภาพรวมของหนังเรื่อง IRONMAN มหาประลัยคนเกราะเหล็ก เป็นหนังแอคชั่นที่มันส์และ สนุกมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการดำเนินเนื้อเรื่องที่ชวนให้ติดตาม บวกกับซีจี และ สเปเชียลเอฟเฟกต์ถือว่าทำออกมาได้ดีสุดยอดมาก ๆ สม แล้ว ที่สร้างรายได้จำนวนมาก ใครคนที่ชอบดูหนังซูปเปอร์ฮีโร่ของค่ายMarvel จึงไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้เด็ดขาด เว็บดูหนัง

รีวิว Shazam

รีวิว Shazam

รีวิว Shazam

หนังไทยย้อนยุค ถ้าให้พูดถึงหนัง Marvel กับ Dc ผมคงเลือกหนังค่าย Marvel แต่เรื่องนี้ เป็นหนัง ค่าย DC ที่ทำให้หนัง DC กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่อง SHAZAM เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่สายเกรียนของค่าย DC Comics โดยตัวหนัง SHAZAM เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่ฉายความสว่างให้กับค่าย DC ต่อจากหนังเรื่อง Aquaman ซึ่งก่อนหน้านี้ทางค่ายหนัง Warner Bros. Pictures ก็ได้ทำแต่หนังโทนมืด ๆ มาโดยตลอดตัวอย่างเช่น Batman v Superman ซึ่งทางค่ายหนังก็ไม่ประสบความสำเร็จในหนังชุดนี้แล้วยังจะต่อด้วยหนังรวมทีมฮีโร่ Justice League

ที่ยังคงมาในโทนมืดเช่นเดียวกันและก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย จนทางค่ายต้องวางแผนเปลี่ยนแนวทางการทำงานกันอย่างชุดใหญ่ ไม่เอาแล้วรวมทีมซุปเปอร์ฮีโร่แยกเป็นหนังเดี่ยวของใครของมันดีกว่า เดินไปในทางเดียวกับ Aquaman และ Wonder Woman ที่ได้ทั้งเสียงคำชมและรายได้ภาพยนตร์อย่างถล่มทลาย หลังจากที่ตัวผู้เขียนได้ชมภาพยนตร์เรื่อง SHAZAM จบก็ต้องบอกเลยว่าหนังจักรวาล DC กำลังเดินมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้วจริง ๆ

รีวิว Shazam

มาเริ่มกันที่นักแสดงกันก่อนครับ นักแสดงเด็ก ๆ เล่นได้ดีมาก ดูสนุก อมยิ้มตามได้ตลอด น้องแต่ละคนมีบุคลิกนิสัยที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน หนังจะโฟกัสที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและครอบครัวให้รักกันดูแลกันช่วยเหลือกัน ซึ่งตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ จึงอาจทำให้แฟนหนังรู้สึกแปลก ๆ ซะหน่อย

เพราะปกติหนังฮีโร่จะเป็นแต่ผู้ใหญ่ซะมากกว่า แต่ต้องขอชมเลยว่าแม้นักแสดงเด็กจะเยอะแต่ตัวหนังก็จัดว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เพราะตัวหนังจะให้เราเห็นถึงการพัฒนาการของเด็กที่ค่อย ๆ โตขึ้นทางความคิด และ แซ็คคารี่ เลวี่(รับบทชาแซม) เล่นได้ดีมาก คือออกมากี่ฉากก็มองว่าผู้ชายคนนี้เล่นยังไงก็ดูเด็กอะ ความคิด นิสัยคือเด็กจริง ๆ ดูแล้วเนียน ไม่ขัดหูขัดตาดี ผมชอบมากเลย เว็บดูหนัง

ต่อมาเป็นในเรื่องของปมตัวละครเอก บิลลี่ (ชาแซม) และเพื่อนซี้ของบิลลี่ นั่นก็คือ เฟรดดี้ ทั้งสองคนเล่นเข้าขากันได้อย่างดี ทำให้เราอินกับตัวละคร มีฉากเรียกเสียงหัวเราะ อมยิ้ม อยู่ตลอดไม่ขาด และยังมีการล้อหนังของทางค่าย DC เองอยู่เรื่อย ๆ หนังเรื่องนี้สามารถดูกันเป็นครอบครัวหรือจะดูสนุกกับเพื่อน ๆ ก็ยิ่งมันส์ฮา เพราะคนส่วนมากจะไม่รู้เลยว่า ชาแซม นั้นมีพลังอะไรบ้างนอกจากปล่อยสายฟ้า ตัวหนังจะเดินเรื่องไปเรื่อย ๆ แล้วให้คนดูอย่างเราชมและลุ้นไปกับตัวหนังเอง

รีวิว Shazam

รีวิวหนังดัง บิลลี แบตสัน (แอชเชอร์ แองเจิล) หนุ่มน้อยวัย15 หวังจะตามหาแม่ที่แท้จริง จนได้ลงเอยกับครอบครัวมิลานที่อุปการะเด็กหลากเชื้อชาติไว้มากมาย แต่หลังจากเขาช่วยเหลือ เฟรดดี้ (แจ๊ค ดีแลน เกรเซอร์)เพื่อนร่วมชายคา เขาก็ได้รับพลังวิเศษจากพ่อมดชาแซม (ดไจมอน ฮอนซู) จนกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ร่างผู้ใหญ่ (แซคคารี เลวี) แต่ในขณะที่เขากำลังค้นหาพลังวิเศษตัวเอง แธเดียส (มาร์ค สตรอง) กลับกำลังตามหาบิลลีเพื่อหวังจะครอบครองพลังยิ่งใหญ่ของเขา งานนี้ บิลลี่ จะค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่ของตัวเองได้ทันการณ์หรือไม่ ต้องติดตาม…

เรื่องที่เหลือเชื่อมากอย่างหนึ่งคือชื่อเดิมของ Shazam! ฉบับคอมิกคือ Captain Marvel ก่อนที่สำนักพิมพ์เดิมจะปิดตัวและกว่าดีซีจะไปซื้อลิขสิทธิ์มาได้ก็ถูกปู่สแตน ลี ชิงตัดหน้าทำคอมิก Captain Marvel ไปก่อนจนต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Shazam! อย่างที่เห็น ซึ่งฉบับภาพยนตร์ก็ดันฉายไล่เลี่ยกันเสียด้วยจนเหมือนนัดกันมาแข่งอีกรอบแหนะ ฮ่าาาา

และเซอร์ไพรส์อีกต่อที่ ดีซี ไปยืมตัวเดวิด เอฟ แซนด์เบิร์ก ผู้กำกับหนังสยองทั้ง Light Out และ Annabelle Creation มากำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่สายฮาเรื่องนี้ ซึ่งเขาก็พิสูจน์ฝีมือได้ยิ่งกว่าสอบผ่าน เพราะสามารถเอาหนังฮีโร่โทนเบาสมองที่มีปมครอบครัวเป็นแกนกลางได้อย่างลงตัว ทั้งสนุก ฮาเป็นบ้าเป็นหลัง

ที่สำคัญคือปมดราม่ากันครอบครัวทำได้หนักแน่นจนเราอดอมยิ้มไปกับเรื่องราวและปมความสัมพันธ์ในครอบครัวอุปถัมภ์ได้เอ็นจอยไม่แพ้ความมันส์ของศึกพลังเวทย์ในเรื่องเลย ซึ่งก็คงต้องชมทีมเขียนบททั้ง เฮนรี เกย์เดน และ แดเรน แลมเก้ ที่สามารถผสมผสานดราม่าครอบครัวกับหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่เบาสมองได้อย่างกลมกล่อม

รีวิว Shazam

โดยหนังพูดถึงปมครอบครัวได้อย่างน่าสนใจ โดยฉากเปิดหนังนำเสนอเหตุการณ์ที่บอกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวหนึ่งคือ ครอบครัวของแธด หรือ แธเดียสที่ไม่เคยมีใครในครอบครัวเห็นหัวและยิ่งถูกปฏิเสธการถ่ายทอดพลังชาแซมก็ยิ่งเป็นเชื้อไฟแค้นชั้นดีที่ทำให้เขาดำเนินแผนชั่วในเวลาต่อมาเพื่อหวังเอาพลังอำนาจมาถมช่องว่างในใจตนเอง ส่วนบิลลี แบตสัน

หนังให้เรารู้จักเขาจากพฤติกรรมสุดแสบแต่พอเราได้เห็นเรื่องราวเบื้องหลังความขบถ ความดื้อดึงต่าง ๆ มาจากปมที่ตนพลัดหลงกับแม่ในวัยเด็ก จนต้องออกตามหาแม่ เพื่อที่ว่าตนจะได้มีครอบครัวจริง ๆ โดยไม่รู้เลยว่าเขาได้มีโอกาสเจอบ้านและครอบครัวที่แท้จริงแล้ว

ซึ่งการมาอยู่บ้านของครอบครัวมิลานก็ยิ่งทำให้ความหมายของครอบครัวดูใหญ่โตและมีความเป็นมหภาคมากขึ้นเพราะเด็กที่อุปการะมีตั้งแต่เด็กละติน เด็กเอเซีย เด็กสาวผิวสี ไปจนเด็กพิการอย่างเฟรดดี้ แถมพ่อแม่บุญธรรมก็ยังเป็นคนละเชื้อสายกันอีก เรียกได้ว่าคำว่าครอบครัวสำหรับบ้านนี้อาจหมายถึงสหรัฐอเมริกาโดยนัยยะก็มิปาน

ฉากต่อสู้บอกเลยว่ามันส์มากแอคชั่นจัดเต็ม ถ้าตีเวลาทั้งเรื่องน่าจะต่อสู้กันราว ๆ 20 นาทีได้ ฉากต่อสู้ที่แบบว้าว จัดเต็มจะมี 2 ฉากใหญ่ แต่ก็กินเวลานานเช่นกันให้คนดูอย่างเราได้สนุกดูกันเพลินเลยกับฉากสู้ไปกวนโอ้ยไปของพระเอก5555 ในส่วนของตัวร้าย ดร.ซิวานา ทำปมของตัวละครออกมาได้น่าสนใจ

คือไม่ใช่ตัวร้ายแบบจะยึดครองโลกอะไรแบบนี้แต่มันมีปมที่ฝังใจเขาอยู่ ที่ทำให้ต้องการอยากได้พลังต้องการจะกำจัดชาแซม ถึงแม้เขาจะเป็นตัวร้ายแต่บางช่วงแกก็มีมุมฮา ๆ เหมือนกันนะเหมาะสมกับการที่ต้องสู้กับฮีโร่สมองเด็กอย่างชาแซมจริง ๆ ดูหนัง

สรุป Shazam

รีวิวหนังดัง โดยตัวหนังมีจุดที่น่าสนใจสำหรับคอหนังแบบไม่ต้องเป็นแฟนดีซีก็พอเข้าใจ คือหนังพยายามยกฮีโร่ดังของค่ายอย่าง แบทแมน และ ซูเปอร์แมน มาพูดถึงแทบทั้งเรื่อง มองเผินเราอาจเห็นแค่การเกาะกระแสฮีโร่เซเลปของค่าย แต่คิดดูดี ๆ เฮ้ย จุดร่วมของทั้งแบทแมน ซูเปอร์แมน และ ชาแซม คือเริ่มจากการเป็นพวกหนีครอบครัว หรือ มีปมครอบครัวอันปวดร้าว

จนกระทั่งได้เจอครอบครัวใหม่ที่ตนเองอาจกังขาจนพยายามหนีอยู่ตลอด แต่เอาเข้าจริงเมื่อขึ้นชื่อว่าครอบครัวแล้ว มันก็ต้องอยู่สู้กันไปจนถึงที่สุด โดยหนังใส่ฉากเอามือประสานกันบนโต๊ะอาหารที่ดูผ่าน ๆ แทบคิดไม่ถึงเลยว่าต่อมามันจะมีความสำคัญกับเรื่องอย่างไร จนกระทั่งหนังเฉลยนี่แหละแทบกรี๊ดเลย และโดยปริยายมันก็ทำให้ Shazam! หลุดพ้นการเป็นเพียงหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เราได้แต่ดูพระเอกโชว์ความเก่งปราบปรามผู้ร้าย ทีละน้อยเรากลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวเรื่องครอบครัวของบิลลี่และมันยังทำให้ความหมายของพลังที่แท้จริงของหนังทั้งลึกซึ้ง อบอุ่นหัวใจ และแน่นอนเจ๋งเป็นบ้าเลย

รีวิว Shazam

ดเวย์น จอห์นสัน เผยภาพแอนตีฮีโร ‘Black Adam’ เต็มตัว และคนที่ทำให้ชาแซมมีชีวิตได้ก็คงหนีไม่พ้น แซคคารี เลวี ดาราหนุ่มจาก CHUCK ซีรีส์ตลกสุดดัง ซึ่งเลวี ก็รับบทเด็กในร่างผู้ใหญ่ได้อย่างมีเสน่ห์ทั้งตลกทั้งเท่จนน่าจะแจ้งเกิดในฐานะดาราหนังซูเปอร์ฮีโร่ได้ไม่ยาก ส่วนนักแสดงเด็ก ๆ ในเรื่องก็ชวนให้หลงรักจริง ๆ สาว ๆ

อาจหลงหน้าหล่อ ๆ ของ แอชเชอร์ แองเจิล หรือ อยากกอด แจ๊ค ดีแลน เกรเซอร์ ซึ่งรับส่งบทกันอย่างลงตัว ส่วนบรรดาน้อง ๆ หนู ๆ ในบ้านอุปถัมภ์ก็น่ารักเหลือเกิน และยังมีเซอร์ไพรส์ที่เราบอกไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ คอซีรีส์เน็ตฟลิกซ์สาว ๆ มีกรี๊ดแน่นอนตอนไคลแมกซ์ของเรื่อง ฮ่าาาาา.

สรุป
ข้อดี ชมได้ทุกเพศทุกวัย คุณไม่จำเป็นต้องดูหนัง DC เรื่องอื่นมาก่อนก็สามารถดูเข้าใจได้ เพราะหนังปูเนื้อเรื่องตั้งแต่ปมตัวละคร ได้พลังมายังไง จนใช้พลังได้และเป็นฮีโร่ในที่สุด

ข้อเสีย เนื่องจากต้องสร้างปมให้ตัวละครเอกอย่างชาแซม ตัวร้าย และรวมถึงเพื่อนของบิลลี่ ตัวหนังช่วงต้นเลยค่อนข้างจะกินเวลานานพอสมควร ในการทำให้ผู้ชมรับรู้เรื่องราวของตัวละครหลาย ๆ ตัว ฉากต่อสู้ที่ไม่ได้อลังการอะไรมากมาย ไม่มีลีลาท่าทางการต่อสู้สวย ๆ แบบนักสู้ฮีโร่คนอื่น ๆ เพราะบิลลี่เป็นแค่เด็กอายุ 15 มีพื้นฐานแค่ชกต่อยตีธรรมดาเหมือนเด็กทั่วไป เมื่อได้รับพลังก็เพียงแค่เพิ่มพละกำลังเข้าไปเท่านั้น แต่สติปัญญา และทักษะก็ยังเป็นเด็กแบบเดิม แต่ดีที่ตัวหนังยังเอาลูกเล่นทางเวทมนตร์ สปีดความเร็ว ยิงสายฟ้า ออกมาช่วยเสริมสกิลการต่อสู้ให้ตัวละคร ทำให้ดูแล้วเพลินสนุกมากขึ้น เว็บหนัง

สำหรับใครที่ไปคิดจะไปดู ชาแซม ขอเตือนเลยว่าหนังมีเซอร์ไพรส์เยอะมาก ที่สำคัญมี ฉากกลางเครดิต และ ท้ายเครดิตจ้า แถมดีงามทั้งสองตัวเลย ดังนั้นอย่าดื่มน้ำเยอะนะจ๊ะ เตือนแล้ว!

รีวิว The Dark Knight

รีวิว The Dark Knight

รีวิว The Dark Knight

หนังไทยnetflix สวัสดีครับ วันนี้แอดมิน มารีวิว หนังซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง เรื่องแบทแมน เป็นหนังแบทแมนที่หลายๆ สำนัก ต่าง ๆ ให้ขึ้นชื่อว่า เป็นหนังแบทแมน ที่ดีที่สุด เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่ชื่นชอบหนังมหากาพย์ซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง แบทแมน นั้น คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักหนังภาคต่อจากแบทแมน ในชื่อเรื่องว่า Batman: The Dark Knight ที่ได้ปล่อยฉายมาในปี 2008 ซึ่งหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังชุดลำดับที่ 6

รีวิว The Dark Knight

จากมหากาพย์ภาพยนตร์แบทแมน ที่ได้ได้รับการขนานนามว่า เป็น หนังแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่ ที่สามารถสร้างตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์ ออกมาในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดได้ ตั้งแต่เคยมีการแสดงบทโจ๊กเกอร์มาแล้วหลายเวอร์ชั่น นั่งชมกันต่อเนื่องไปเลย หลังจากย้อนหลังกลับไปชม Batman Begins ภาคปฐมบทของแบทแมนฉบับ Christopher Nolan มาแล้ว คราวนี้ก็คงได้เวลาตามต่อกับภาคสอง The Dark Knight / อัศวินรัตติกาล

The Dark Knight | อัศวินรัตติกาล ในสไตล์ของ Christopher Nolan แบทแมน อัศวินรัตติกาลนี่คือภาคต่อของภาคแรก 2008 สามปีถัดมา Christopher Nolan ก็ส่งภาคต่อออกมาให้แฟนๆ ที่รอคอยได้ติดตามชมกัน หลังจากทิ้งท้ายไว้ด้วยไพ่ใบหนึ่งที่เป็นที่มาของชื่อ “โจ๊กเกอร์” ภาคนี้ วายร้ายนามนี้ก็ได้เวลาออกโรง ดูหนัง

รีวิว The Dark Knight

รีวิวหนังดัง ต้องบอกก่อนเลยว่า หนังแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง แบทแมน นั้น นอกจากมีตัวละครสำคัญอย่าง แบทแมท ที่เป็นตัวละครฝั่งผดุงคุณธรรมแล้วนั้น หนังเรื่องนี้ยังมีตัวละครชูโรง ที่มีผู้ชมส่วนมากให้ความสนใจอย่าง โจ๊กเกอร์ ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งหนังแบทแมนในภาคก่อน ๆ นั้น โจ๊กเกอร์ อาจจะเป็นเพียง ผู้ร้าย ที่คอยต่อกรกับแบทแมนเท่านั้น แต่สำหรับบทโจ๊กเกอร์ ในภาค Batman:The DarkKnight ตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์ กลับได้รับบทบาทที่มีความโหด ความดาร์ค ความฉลาด และมีทักษะเก่งกาจไม่แพ้ซุปเปอร์ฮีโร่อย่างแบทแมนเลยแม้แต่นิดเดียว

อีกทั้งนักแสดงที่ได้รับบท โจ๊กเกอร์ ในภาค Batman:The DarkKnight อย่าง ฮีธ เลดเจอร์ นั้น สามารถตีบทแตก แสดงออกถึงความดิบ โหด ป่าเถื่อน และความดาร์คขั้นสุด ที่มาพร้อมกับการตกตะกอนความคิด และวางแผนก่อการได้อย่างแนบเนียน โดยเฉพาะในเรื่องของการปั่นหัวเหล่าตัวละครภายในเรื่องนั่นเอง

ซึ่งหลังจากหนังเรื่องนี้ได้ปล่อยฉายออกมาแล้วนั้น ตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์ ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะเรื่องของการตีบทแตก ทำเอาคนดูอินไปกับการแสดงออกของตัวโจ๊กเกอร์ได้อย่างแท้จริง ที่ไม่ว่าจะเป็นฉากแอคชั่น การต่อสู้ต่าง ๆ หรือฉากของโจ๊กเกอร์ที่ชอบพูดจาเย้าหยอกปั่นหัวตัวละครอื่น ๆ ภายในเรื่อง ก็สามารถทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

รีวิว The Dark Knight

โจ๊กเกอร์ แบทแมน เดอะ ดาร์ค ไนท์
ถึงแม้ว่านักแสดงบท โจ๊กเกอร์ อย่าง ฮีท เลดเจอร์ จะได้เสียชีวิตลงไปหลังจากหนังออกฉายได้เพียงไม่นาน แต่บทบาทการแสดงเป็นโจ๊กเกอร์ของเขานั้น ยังคงตราตรึงใจผู้ชม และกลายเป็นนักแสดงที่รับบท โจ๊กเกอร์ ได้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีบทโจ๊กเกอร์ออกมาเลยอีกด้วย

ต้องบอกเลยว่าหนังแอคชั่นอย่างเรื่อง Batman:The DarkKnight นั้นมีมากกว่าฉากบู๊แอคชั่นทั่ว ๆ ไป ที่นอกจากจะมีฉากการต่อสู้สุดตระการตาแล้วนั้น ตัวหนังยังแฝงถึงเรื่องราวความรู้สึกนึกคิดของตัวละครอย่าง โจ๊กเกอร์888 ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ถือว่าเป็นหนังแอคชั่นที่มอบทั้งความสนุกสุดมันส์ แต่ยังคงแฝงไปด้วยเรื่องราวความดาร์คตามชื่อเรื่องได้อย่างไม่มีที่ติเลยนั่นเอง

เริ่มต้นที่เหตุปล้นเงินในธนาคารอย่างอุกอาจ เปิดเผยโฉมหน้าของ “โจ๊กเกอร์ / Joker” ว่าประหลาดล้ำเพียงใด กับหน้าจริงที่ทาสีเพิ่ม พร้อมกับรอยแผลเป็นที่มุมปาก ใช่แล้ว เขาคือ Heath Ledger ผู้จากไปนั่นเอง ขณะที่ Batman กลับมาภาคนี้ Christian Bale ดูมีริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มเติมขึ้นนิดหน่อย และยังมีอัลเฟรดเป็นคนสนิทคนเดิมคอยดูแล ขณะที่อัยการเขตคนใหม่อย่าง ฮาร์วีย์ เดนท์ (Aaron Eckhart) กำลังได้ เรเชล ดอว์ส (ที่คราวนี้เปลี่ยนตัวเป็น Maggie Gyllenhaal) ไปเป็นแฟน

ส่วน จิม กอร์ดอน (Gary Oldman) เขากลายเป็นหัวหน้ากองปราบฯ ผู้รับรู้เรื่องการปล้นเงินของแก๊งมาเฟีย หลังทีมของพวกเขา (ที่ก็เลือกมาจากพวกโกงกินทั้งนั้น) และแบทแมนไปเล่นจุดตายคือเรื่องเงินของพวกมันเข้า จึงทำให้พวกมันคิดขโมยเงินในธนาคารออกมา เพื่อยักย้ายไปเก็บที่อื่นนั่นเอง เว็บหนัง

ภารกิจครั้งนี้ ขยายวงไปไกลถึงฮ่องกง หนังที่ยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง พาเราไปพบกับเรื่องราววกวนซับซ้อนซ่อนเงื่อน ที่น่าฉงนแต่ดูแล้วสนุก

สรุป The Dark Knight

รีวิวหนังดัง โจ๊กเกอร์ ดูเป็นวายร้ายที่ไม่ค่อยเข้าพวกกะใคร มีวิธีคิดเป็นของตัวเองและเดาทางได้ยาก แต่นั่นล่ะ ทำให้ The Dark Knight ถูกเล่าในทิศทางที่คนดูเดาไม่ออก อีกทั้งการมีตัวละครอยู่มากมาย ทั้งร้ายทั้งดี ทำให้การเขียนบทยืดหยุ่นได้สูง แต่ก็ต้องได้มือเขียนที่เจ๋งด้วยเช่นกัน ที่จะเอาอยู่ทั้งหนังและคนดูแบบนี้

เราได้เห็นด้านที่อ่อนไหวของซูเปอร์ฮีโร่ชุดดำผู้มีคุณธรรม เขาคือคนที่สังคมเลือกไส เขาเลือกทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้–สิ่งที่ถูกต้อง ข้อเรียกร้องของโจ๊กเกอร์ คือ การให้แบทแมนเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เขาเกือบจะได้ทำมันไปแล้ว หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างให้เกิดอีกด้านหนึ่งของคนดีอีกคนขึ้นมา…

รีวิว The Dark Knight

หลายครั้งที่เราได้เห็นอัยการเขตคนนี้หยิบเหรียญขึ้นเสี่ยงทาย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาบอกว่า “เขาไม่ได้เสี่ยง” คือวันที่ยินดีไปเป็นตัวล่อเพื่อการจับกุมโจ๊กเกอร์ และหนังก็เฉลยว่า ทำไม หนังค่อนข้างยาวมาก แต่ก็เล่าอะไรได้ทรงพลังมากๆ อยู่หลายฉากเช่นกัน โดยเฉพาะการโยนความรู้สึกกระอักกระอ่วนให้คนดูลองเลือกเองในใจว่า ใครควรตายมากกว่ากัน ระหว่างคนปกติกับคนชั่วของสังคม ต่อมศีลธรรมต้องทำงานกันวุ่นเลยทีเดียว

ในส่วนของการถ่ายทำ นับว่าการถ่ายทำด้วยมุมกล้อง การตัดต่อ ผสานไปกับเสียงดนตรีประกอบ ทำให้นี่เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำได้ “ถึงใจ” ที่สุดเรื่องหนึ่ง ครบเครื่องทั้งลีลาฉากแอ็คชั่น และซับซ้อนในด้านบท แม้ในขณะที่คนดูเชื่อว่าเรื่องกำลังจะจบ ก็ยังมีเรื่องต่อให้ลุ้นกันอีกเกือบครึ่งเรื่องเลยทีเดียว บางคนอาจจะว่าหนังดูเครียด แต่หนังก็สะท้อนให้เห็นโลกจริงๆ ว่ามันมีสิ่งเหล่านี้อยู่ และเราอาจจะต้องการฮีโร่สักคนขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
คุณอยากตายไปในฐานะฮีโร่ หรืออยากอยู่ไปจนตัวเองกลายเป็นวายร้าย! เว็บดูหนัง

ชื่อภาพยนตร์ : The Dark Knight / อัศวินรัตติกาล
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Christopher Nolan
ผู้เขียนบทภาพยนตร์ : Jonathan Nolan (screenplay), Christopher Nolan (screenplay), Christopher Nolan (story), David S. Goyer (story), Bob Kane (characters)
นักแสดงนำ : Christian Bale, Heath Ledger, Aaron Eckhart, Michael Caine, Maggie Gyllenhaal, Gary Oldman, Morgan Freeman
แนว/ประเภท : Action, Crime, Drama, Thriller
เรท : USA/PG-13
ความยาว : 152 นาที
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย : Warner Bros. Pictures, Legendary Pictures, Syncopy
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย : 17 July 20

รีวิว Joker

รีวิว Joker

รีวิว Joker

หนังไทยnetflix เมื่อสังคมและสภาพแวดล้อม ไม่เป็นใจ สังคมและผู้คนที่โหดร้าย ได้ก่อกำเนิดปีศาจ ที่ต้องทุกข์ทนทรมาณ กับความเจ็บปวดที่ต้องได้รับจนระเบิดออกมาในที่สุด ก็กลายเป็นโจ๊กเกอร์ เขาต้องเผชิญกับความอ้างว้างจนเปลี่ยนเขาจากที่เป็นคนอ่อนแอกลายเป็นคนโหดเหี้ยม เขารับจ้างแต่งชุดตัวตลกรายวัน จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เขาพยายามจะแสดงตลกเดี่ยว แต่กลับพบว่าตัวเองต่างหากที่เป็นเรื่องตลก เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาที่มีผู้คนอยู่รายล้อม ซึ่งเห็นได้จากเสียงหัวเราะที่ควบคุมไม่ได้และดูไม่เหมาะสม

ยิ่งเขาพยายามควบคุมเท่าไหร่มันก็ยิ่งแสดงออกมามากขึ้น จนทำให้เขาแสดงความเยาะเย้ยและความรุนแรงออกมา อาร์เธอร์ทุ่มเทเวลาไปกับการดูแลแม่ที่ไม่ค่อยแข็งแรง และไขว่คว้าตามหาคนที่เหมาะจะเป็นพ่อซึ่งเขาไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่นักธุรกิจมหาเศรษฐี โธมัส เวย์น ไปจนถึงพิธีกรรายการทีวี เมอร์เรย์ แฟรงค์ลิน เขาพบว่าตัวเองอยู่ปลายทางระหว่างโลกแห่งความจริงกับความบ้าคลั่ง การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวกลายเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงมากมาย

รีวิว Joker

ดูหนังจบคุณจะจำชื่อเขาอย่างหลอนหัว “อาร์เธอร์ เฟล็ก” (Arthur Fleck) AKA โจ๊กเกอร์ (Joker) สิ่งหนึ่งที่หนังจากคอมิก ดีซี โดยค่ายวอร์นเนอร์ทำได้อย่างดีเสมอมานับตั้งแต่ไตรภาค Dark Knight ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) คือการเป็นหนังที่ดาร์กเข้ม จริงจังทั้งความสมจริงและดราม่า การสร้างตัวละครที่มีมิติรายละเอียด

และวิช่วลที่ตระการตาในยุคของ แซ็ก ชไนเดอร์ (Zack Snyder) ซึ่งด้วยการไล่ตามความสำเร็จและกดดันจากมาร์เวล ทำให้ยังทำยิ่งเป๋หนักจากการทอดทิ้งแนวทางการสร้างตัวละครมิติเชิงลึก ไปเป็นแอ็กชันผาดโผนผสมอารมณ์ขันสไตล์มาร์เวล ซึ่งงก้ไม่ค่อยขำเพราะสวนทางดราม่าที่ยังพยายามยึดไว้ด้วย

เลยกลายเป็นการใส่ดราม่าแบบฉาบฉวยและพลอตที่ยัดเยียดให้เกิดดราม่าเสียแทน ที่ผู้ชมจะสมัครใจอิน แม้ในยุคของ Wonder Woman และ Aquaman จะเริ่มลงตัวมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังห่างไกลจากการเป็นดราม่าเข้มขึงที่เคยเป็นรากฐานของดีซีจริง ๆ เว็บหนัง

รีวิว Joker

รีวิวหนังดัง มาถึงตรงนี้ก็ต้องขออภัยในการที่ต้องเทียบกับทางมาร์เวล เพื่อให้เห็นว่านี่เป็นความกล้าขนาดไหนของวอร์นเนอร์ที่อาจยอมทิ้งรายได้มหาศาลจากการทำตามมาร์เวลไปเพื่ออนุมัติสร้างหนังเรื่องนี้
JOKER จึงเป็นการแสวงทางสู่ดราม่าจิตวิทยาแบบลงลึก ดิ่งจม ผสมเหล้าข้นปนยารักษาโรคประสาท ที่มีกลิ่นดินปืนคลุกละอองเลือดลอยคละคลุ้งในอากาศ ซึ่งเป็นสายทางหนังประกวดรางวัล เวทีที่ไม่น่าพลาดคงเป็นเวทีลูกโลกทองคำ

แต่สำหรับออสการ์ก็เรียกว่ามีลุ้นไม่น้อยทีเดียว ซึ่งจะว่าก็น่าเสียดายแทนแฟนหนังมาร์เวลที่ไม่สนใจในการทำหนังแนวคว้ารางวัลสาขาหนังยอดเยี่ยม ยิ่งความอ่อนไหวของดิสนีย์ที่ไม่ชอบเล่นประเด็นสุ่มเสี่ยง ขนาดเคยไล่ผู้กำกับอย่าง เจมส์ กันน์ (James Gunn) ออกจากค่ายมาแล้วเพราะผลการกระทำในอดีตที่แทบไม่ควรเอามาเป็นประเด็นอีก

เพราะแนวทางการสร้างของมาร์เวลก็เน้นรายได้ความนิยมมากกว่ารางวัลอยู่แล้ว จึงไม่มีวันคิดจะทำหนังสไตล์ Joker ได้สำเร็จแน่นอน

ดีไม่ดีทำแล้วจะเป๋จนเพี้ยนไปหมดด้วย นี่จึงต้องยอมรับในความกล้าของผู้บริหารของค่ายวอร์นเนอร์มาก ๆ ที่กล้าเสี่ยงเอาตัวละครดังมาทดลองกับแนวทางหนักหน่วงเช่นนี้

หนังสามารถคว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยม สิงโตทองคำ (Golden Lion) จากเทศกาลหนังเมืองเวนิสปีล่าสุด พร้อมการยืนปรบมือยาวนานของผู้ชมหลายนาที ซึ่งคงเป็นเพียงระฆังสัญญาณแรกในการลุยเวทีรางวัลใหญ่ในปีนี้ของหนังที่อาจตามรอยรุ่นพี่อย่าง The Shape of Water (2017) และ Roma (2018) ซึ่งล้วนเคยคว้ารางวัลสิงโตทองคำก่อนไปชนะรางวัลใหญ่ในเวทีออสการ์สำเร็จมาแล้วทั้งคู่ก็เป็นได้ ต้องยอมรับว่าก่อนดูหนังมีความแคลงใจ และคิดไปล่วงหน้าว่าอาจไม่ชอบตัว
หนังไปเลยก็ได้

รีวิว Joker

แต่พอเข้าไปดูแล้วนั้นก็ต้องพูดโดยรวมว่า หนังประสบความสำเร็จอย่างมากในการพาเราจมดิ่งลงไปในตัวละครนำอย่าง อาร์เธอร์ เฟล็ก อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เราจึงทั้งเข้าใจ ต่อต้าน เห็นใจ ขัดแย้ง อยากโอบกอดเขา และดุด่าเขาไปพร้อมกัน และเหนืออื่นใดมันคือประสบการณ์มหัศจรรย์ที่เราจะได้เห็น วาคีน ฟินิกส์ (Joaquin Phoenix) ลอกคราบทีละชั้นจนกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดนาม โจ๊กเกอร์ ในที่สุด

ผู้กำกับทอดด์ ฟิลลิปส์ คว้ารางวัลสิงโตทองคำจากหนังเรื่องนี้ นี่คือผลงานการกำกับของ ทอดด์ ฟิลลิปส์ (Todd Phillips) ผู้กำกับชื่อดังที่สร้างชื่อตัวเองมาจากหนังแนวคอมเมดี้ไตรภาคอย่าง The Hangover นี่จึงเป็นการผันตัวมาทำหนังดราม่าหนักหน่วงจริงจัง โดยเฉพาะเป็นการนำคาแรกเตอร์จากคอมิกดังมาดัดแปลงครั้งแรกของเขาด้วย

สิ่งที่ต้องชื่นชมผู้กำกับอย่างมากคือ วิสัยทัศน์ด้านการนำเสนอ ทั้งฉาก ภาพ วิช่วล ที่พยายามให้นึกถึงนิวยอร์กในยุค 1970 อันเป็นปีแห่งความสับสนวุ่นวาย เส็งเคร็ง กักขฬะ ผู้คนแสวงหาคุณค่าในความดีงาม ในตัวเอง ในตัวผู้อื่น เป็นยุคแห่งการหลงทิศหลงทาง ทั้งสงครามเวียดนาม คดีวอร์เตอร์เกต สงครามเย็น ลัทธิคลั่งศาสนา

การนำยุคที่ถูกต้องมาสู่การสร้างฉากหลังให้ตัวละครที่ถูกตัว คือความสำเร็จที่งดงามที่สุด ยังไม่รวมว่างานด้านภาพและวิช่วลต่าง ๆ ทำออกมาได้อย่างงดงามในความล่มสลาย งดงามในความรุนแรง และงดงามดั่งหัวใจเลวทรามใสซื่อของตัวละครนำ

ทอดด์ และ สก็อตต์ ซิลเวอร์ (Scott Silver) มือเขียนบทรางวัลออสการ์จากหนัง The Fighter (2010) เลือกนำจิตวิเคราะห์มาสู่ตัวละคร และเขียนบทจากผิวแล้วเลาะเปลือกตัวละครลงทีละชั้นได้อย่างที่คนไม่ต้องเรียนจิตวิทยามากมายก็เข้าใจหัวจิตหัวใจอันน่าเวทนาของตัวละครได้ มีดที่เลาะคราบของตัวละครออกมีตั้งแต่

สังคมที่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบคนอ่อนแอ ความพิการทางกายและใจ ความถูกละเลยไม่แยแสจากทั้งคนและจากทั้งรัฐ ความเชื่ออันหลงผิด ความหวังอันจอมปลอม ความรักที่แท้เพียงการหักหลังทรยศ และคุณค่าความภูมิใจในตนเองที่ตกต่ำต้อยแดดิ้นยิ่งกว่าก้นบุหรี่ที่ถูกคายทิ้งแล้วเอาเท้าขยี้ซ้ำ มันคือการตกต่ำลงเรื่อง ๆ ของตัวละครไปพร้อมกันกับการสูญสลายความศรัทธาในความดีงามความถูกต้องใด ๆ ทั้งมวล ดูหนัง

สรุป Joker

รีวิวหนังดัง หนังสร้างตัวละครโจ๊กเกอร์บนโจทย์สำคัญที่ว่า เขาคือตัวละครที่ไร้ตัวตน ไม่มีอดีตที่ชัดเจนว่าคือใคร มีที่มาที่ไปเช่นใด เป็นสุญญากาศ เป็นความกลวงของสังคม เป็นความบ้าคลั่งไร้ทิศทาง และเป็นฮีโร่ของสังคมป่วย ๆ ที่พิทักษ์ความยุติธรรมอันเจ็บป่วยด้วยวิธีการอันเจ็บป่วยพร้อมกัน เหมือนทอดด์กับซิลเวอร์ถอดโจทย์จากคอมิกทุกเล่มไว้บนปลายทาง ก่อนเรียงร้อยสร้างสรรค์ระหว่างทางเพื่อบรรลุผลตอนท้าย จากเรื่องราวที่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคยสู่ตอนจบที่แนบเนื้อเดียวกับตำนานในใจของผู้อ่านทุกคน

ความละเอียดของจิตวิเคราะห์ยังลงลึกไปในประเด็นความโหยหา พ่อ ของตัวละคร ที่พยายามเอาภาพพ่อในจินตนาการที่ไม่เคยได้พบเจอไปซ้อนทับกับไอดอลในชีวิตจริงทั้ง เมอร์เรย์ แฟลงคลินส์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร Robert De Niro) พิธีกรเจ้าของรายการทอล์กโชว์ชื่อดังที่อาร์เธอร์ดูมาแต่เด็ก ตลอดจน โทมัส เวย์น มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยอันจะทำให้ทุกข์ในความยากจนของอาร์เธอร์และแม่ปลิวไปได้เพียงแรงลมผิวปากของโทมัสเท่านั้น

เพียงประเด็นเรื่องพ่อประเด็นเดียวเชื่อว่าก็มีคนวิเคราะห์กันได้ลึกได้ยาวเป็นบทความกันแล้วล่ะ นี่จึงเป็นความเจ๋งที่หนังเรื่องนี้ใส่ใจทุกเม็ดทุกซอกมุมของตัวละคร และการเล่าเรื่องผ่านตัวละครนำทั้งเรื่องจึงประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องพึ่งสูตรบารมีของตัวละครอื่นมาให้แฟนต้องว้าว อย่างเช่นผลงานซูเปอร์ฮีโรครอสโอเวอร์เรื่องอื่น ๆ ต้องใช้เลยก็ตาม

และอีกสิ่งที่คงปฏิเสธได้ยากคือ นี่เป็นผลงานการแสดงที่ต้องจารึกโลกอีกครั้ง ของ วาคีน ฟีนิกส์ (Joaquin Phoenix) นักแสดงผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากหนัง Walk the Line (2006) และ The Master (2012) รวมถึงเคยเข้าชิงสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Gladiator (2000) มาแล้ว นี่น่าจะเป็นอีกครั้งที่เขาน่าจะเข้าใกล้รางวัลนี้มากที่สุด

เพราะโจ๊กเกอร์กลายเป็นบทที่ยากและลำบากในการแสดง เมื่อมันถูกตั้งมาตรฐานมาแล้วจากนักแสดงชั้นยอดในอดีต อย่าง แจ๊ก นิโคลสัน (Jack Nicholson) หรือ มาร์ก ฮามิลล์ (Mark Hamill) โดยเฉพาะที่ว่าการเป็นผลงานทุ่มสุดตัวครั้งสุดท้ายแห่งชีวิตของ ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) ด้วยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นงานหินโคตร ขนาดว่านักแสดงที่ดีอย่าง จาเรด เลโต (Jared Leto) ที่เคยคว้าออสการ์มาแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จกับบทบาทนี้เท่าใด

แต่เชื่อมั้ยว่า วาคีน ฟินิกส์ เขาทำได้ แถมทำได้อย่างเปี่ยมเสน่ห์น่าขนลุก เขาค่อย ๆ กลายเป็นโจ๊กเกอร์ได้อย่างละเมียดมาก ๆ ใช่ เทคนิคคือเขาไม่ได้พยายามจะเป็นโจ๊กเกอร์แต่ต้น หากแต่เป็นคนธรรมดาที่มีความผิดปกติแตกต่างจากคนอื่น ซึ่งทำให้เราเข้าใจและอินไปกับความใกล้เคียงมนุษย์ทั่วไปได้ จนสุดท้ายเขาค่อย ๆ กลืนยาที่เรียกว่าอุปสรรคและโชคชะตาลงไปในท้องทีละเม็ด

ก่อนจะกลายร่างเป็นตัวละครวายร้ายที่โด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่งอย่างงดงาม จุดสังเกตที่เราต้องทึ่งในรายละเอียดการถอดเทคนิคทางการแสดงของวาคีน ฟินิกส์ มีตั้งแต่สีหน้า ดวงตา กายภาพ ท่าทางต่าง ๆ โดยเฉพาะการเดิน การวิ่ง การใช้มือ การหัวเราะ คือทุกสัดส่วนการใช้กายและใจของเขามันถอดตัวละครออกมาเป็นชิ้น ๆ แล้วประกอบใหม่อยู่ซ้ำ ๆ จนอาร์เธอร์กลายเป็นโจ๊กเกอร์ได้ เชื่อว่าสายการแสดงมานั่งดูคงต้องจดเล็กเชอร์รายฉากกันเลยทีเดียว

นี่เป็นหนังที่เราอาจไม่ได้รู้สึกมีความสุขไปกับมัน ไม่ได้หัวเราะกับมัน ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจระเบิดตูมตามเร้าใจ ไม่ใช่หนังฮีโรในกระแสใด ๆ มันอาจเป็นหนังของคนธรรมดาที่เจอวันแย่ ๆ และผิดเพี้ยนจนกลายเป็นขบถต่อสังคมอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ มันจึงเป็นหนังที่อิ่มในความรู้สึก อิ่มในสมองที่ต้องการบทเรียนรู้สำคัญผ่านหนัง หนังที่เรานั่งนิ่งอึ้งเมื่อจบ พลันเมื่อรู้สึกตัวก็อยากปรบมือให้มันยาว ๆ ยาวนานเท่าที่จะทำได้ เว็บดูหนัง

รีวิว Eternals

รีวิว Eternals

รีวิว Eternals

หนังไทยมาใหม่ สวัสดีครับวันนี้แอดมินมารีวิวหนังซุปเปอร์ฮีโร่ค่าย Marvel ที่ผมคิดว่าแค่เปิดเรื่องมาก็ทำให้ผมตื่่นตาตื่นใจแล้ว ด้วยภารกิจอันน่าตื่นตาตื่นใจเราๆคนดูมากๆแล้ว และยังทำให้เราได้รู้ว่า เหล่านักรบนาม อีเทอร์นอลส์ ถูกส่งมายังโลกมนุษย์โดยอริเชมสิ่งมีชีวิตที่เสมือนเป็นพระเจ้าผู้สร้างชีวิต โดยหน้าที่หลักของอีเทอร์นอลส์คือการช่วยเหลือมนุษย์ให้เกิดวิวัฒนาการและปกป้องพวกเขาจากเหล่าดีเวียนต์ สัตว์ประหลาดสุดเกรี้ยวกราดที่มุ่งทำลายมนุษย์และสรรพสิ่งเป็นสำคัญ

หลังอีเทอร์นอลส์ปฏิบัติภารกิจมานับพันปีก็ได้เวลาแยกย้ายเดินทางไปใช้ชีวิตตามวิถีของแต่ละคนโดยหนังเลือกให้เราไปโฟกัสที่ เซอร์ซี (เจมมา ชาน Gemma Chan) อีเทอร์นอลส์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสสารของสรรพสิ่งได้ ซึ่งปัจจุบันเธอกลายเป็นเจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนและเริ่มคบหากับ เดน ไวต์แมน (คิต แฮริงตัน Kit Harington) เพื่อนร่วมงานของเธอแต่แล้วเมื่อเหล่าดีเวียนต์ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในรอบพันปี

รีวิว Eternals

เซอร์ซี สไปร์ต (ไลอา แม็กฮิวจ์ Lia McHugh) ผู้มีพลังในล่องหนและใช้มีดเป็นอาวุธ และอีคาริส (ริชาร์ด แมดเดน Richard Madden) ผู้สามารถทะยานฟ้าและยิงลำแสงพิฆาตจากตาได้ต้องรวมพลกับเหล่าอีเทอร์นอลส์อีกครั้งเพื่อต่อกรกับภัยร้ายระลอกใหม่ที่มีโลกทั้งใบเป็นเดิมพัน

จะว่าไปแล้วจุดเด่นที่สุดของอีเทอร์นอลส์นอกจากการเป็นซูเปอร์ฮีโรกลุ่มแรกที่มีสถานะเทพต่อจากธอร์แล้ว อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือการพยายามเชื่อมโยงความเป็นฮีโรเข้ากับประวัติศาสตร์และความเป็นมนุษย์จนกล่าวได้ว่าเมื่อหนังดำเนินเรื่องไปสิ่งที่สำคัญกว่าภารกิจที่ต้องกำจัดดีเวียนต์คือการตั้งคำถามต่อตัวเองว่าแท้จริงแล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรรักษาไว้หรือไม่ เว็บดูหนัง

รีวิว Eternals

รีวิวหนังดัง Eternals เป็นเรื่องราวของกลุ่ม The Eternals ที่ถูกสร้างขึ้นโดย เซเลสเทียล เผ่าพันธุ์เทพแห่งจักรวาลอายุนับล้านปี พวกเขาได้ถูกส่งให้เดินทางมายังโลกมนุษย์ และได้แฝงตัวอาศัยอยู่อย่างลับ ๆ มานานกว่า 7,000 ปี แต่แล้วพวกเขาก็ต้องออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อปกป้องโลกจาก ดีเวียนต์ คู่ปรับตลอดกาลที่ถูกสร้างขึ้นจากเซเลสเทียลเช่นเดียวกัน

อาจจะต้องบอกผู้อ่านทุก ๆ คนอย่างสัตย์จริงเลยว่า Eternals เป็นหนังมาร์เวลที่แตกต่างไปจากหนังมาร์เวลเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้านี้แทบจะทั้งหมด เหมือนเป็นความพยายามละเลงจัดวิธีการนำเสนอและเล่าเรื่องในแบบที่ซอฟต์ลงหน่อย แต่องค์ประกอบต่าง ๆ ก็ยังถูกใส่มาจัดจ้าน จึงทำให้ตอนนี้ได้คลายความสงสัยแล้วว่า ทำไมมาร์เวลถึงเลือกผู้กำกับหญิงรางวัลออสการ์ “โคลอี้ เจา” มาทำหนังเรื่องนี้ ก็เพราะว่า…น่าจะมีแค่เธอในตอนนี้ที่ทำแบบนี้ได้ถึง

หากคุณเป็นแฟนหนังมาร์เวลตัวยง ที่หวังจะมาดูฉากต่อสู้เจ๋ง ๆ หรือฉากประกอบร่าง Assemble ของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ คงต้องบอกว่า…คุณน่าจะผิดหวัง เพราะ Eternals มาพร้อมกับการเป็นหนังที่ชูเสน่ห์และความโดดเด่นในด้านเส้นเรื่องที่เลือกจะแตะต้องกับสัมผัสเข้าถึงในด้านความเป็นมนุษย์ของปุถุชนในทิศทางนั้นมากกว่า จึงทำให้หนังความยาว 2 ชั่วโมงกว่า ๆ นั้น ดำเนินไปแบบ…เรื่อย ๆ

รีวิว Eternals

แม้ว่าจะมีตัวละครใหม่มาให้แนะนำอยู่หลายตัว แต่ Eternals กลับเลือกวิธีการเล่าเรื่องแบบสลับไปสลับมา อดีตกับปัจจุบันที่ดูจะเป็นเส้นเรื่องที่ต้องปรับตัวและทำความเข้าใจกับไทม์ไลน์ในบางช่วงบางตอน ทำให้การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ทำให้ตัวหนังค่อนข้างจืดชืดไปเกือบตลอดทาง แต่ระหว่างทางก็ยังถือว่ามีความน่าสนใจ ด้วยการประกอบเรื่องราวโยงเข้ากับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์โลกในหลาย ๆ ยุค ที่ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีที่หนังนำมาผนวกเข้าไว้

ในหนังมาร์เวลเรื่องนี้จะสัมผัสได้เห็นลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของ โคลอี้ เจา ปะปนอยู่ไปตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะสไตล์การเล่าเรื่องที่มักจะใช้อารมณ์และท่าทางของตัวละครสื่อสารออกเป็นภาพ จึงทำให้กลายเป็นที่มีมุมมองที่ต่างไปจากวิถีเดิม ๆ ของมาร์เวลอย่างชัดเจน หนังมีความเป็นดราม่าเยอะหน่อย แต่ไม่ถึงกับดราม่าจัด ๆ อะไรขนาดนั้น เพราะเป็นดราม่าแบบมีที่มาที่ไปอย่างสมเหตุสมผล

แต่ก็นับว่ายังดีที่ Eternals ได้ทีมนักแสดงที่ค่อนข้างหลากหลายความสามารถ พวกเขาได้ถ่ายทอดบทบาทที่ตัวเองได้รับได้เป็นอย่างดี และขับจุดเด่นของคาแรกเตอร์นั้น ๆ ออกมาได้น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็น “ริชาร์ด แมดเดน” ที่ใคร ๆ บอกว่าพลังเหมือนซูเปอร์แมน แต่ลึก ๆ ไปกว่านั้นยังมีอะไรให้น่าค้นหาอีก “เจมม่า ชาน” เป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยมิติหลากหลายเช่นกัน

รีวิว Eternals

คำพูดหนึ่งของ เอแจ็ก ตัวละครที่รับบทโดยซัลมา ฮาเยค (Salma Hayek) ที่ยกเหตุการณ์ว่าธานอสดีดนิ้วแล้วเอาประชากรครึ่งจักรวาลหายไปกับตา แต่มนุษย์คนหนึ่งยอมสละชีพ (กล่าวถึงไอรอนแมนในหนัง ‘Avengers Endgame’) ดีดนิ้วเพื่อนำคนกลับมา เธอเลยมองเห็นคุณค่าของมนุษย์และต้องการปกป้องมนุษย์จากแผนการของผู้บังคับบัญชาของเธอแม้จะขัดกับเจตนารมย์ที่เหล่าอีเทอร์นอลส์ถูกส่งมายังโลกก็ตาม

ซึ่งมันทำให้บทหนังที่โคลอี้ เจา (Chloé Zhao) ผู้กำกับของหนังร่วมเขียนดูจะให้ความสำคัญกับการศึกษาตัวละครมากกว่าภารกิจเหมือนหนัง MCU เรื่องอื่นและแม้เธอจะต้องใช้กลไกอันซ้ำซากในการบอกเล่าที่มาที่ไปของตัวละครด้วยฉากแฟลชแบ็กจนทำให้น้ำหนักระหว่างภารกิจที่ต้องต่อกรกับดีเวียนต์ดูเป๋ไปบ้าง ทว่าในทางกลับกันมันกลับทำให้เห็นว่าแม้อีเทอร์นอลส์จะถูกกำหนดให้มีสถานะไม่ต่างจากเทพที่คนเคารพบูชาทว่าความเป็นมนุษย์ล้วน ๆ เลยที่ขับเคลื่อนหนังให้มีมิติของดราม่าที่น่าสนใจ ดูหนัง

สรุป Eternals

รีวิวหนังดัง โดยเฉพาะประเด็นความไม่สมบูรณ์แบบที่เหล่าอีเทอร์นอลส์แต่ละคนต้องมาแก้ปมของตัวเอง โดยเฉพาะกรณีรักสามเส้าของเซอร์ซีกับสไปร์ตที่มีอิคาริสเป็นศูนย์กลาง ที่ฝ่ายแรกรอคนรักที่ถึงกับแต่งงานกันเป็นทางการกลับมาครองคู่นับพันปี ในขณะที่ฝ่ายหลังถูกสร้างให้ร่างกายเป็นเด็กจนฝ่ายชายไม่เคยมองเธอในฐานะสตรี และถึงแม้ว่าประเด็นนี้จะถูกผุดขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไปคล้ายกับพลอตรองเจ้าปัญหาอีกล้านแปด

ซึ่งส่งผลให้หนังดูมีพล็อตรองอันอีรุงตุงนัง อย่างเช่นประเด็นอาการทางจิตของ ธีนา (รับบทโดย แองเจลินา โจลี Angelina Jolie) เทพีสงครามที่ต้องได้รับการดูแลจากกิลกาเมช (รับบทโดย มาดงซ็อก) อีเทอร์นอลส์จอมพลัง หรือเรื่องการหมดศรัทธามนุษย์และการเริ่มความสัมพันธ์ในสถานะ LGBTQ+ ของ ฟาสโตส (รับบทโดยไบรอัน ไทรี เฮนรี Brian Tyree Henry) อีเทอร์นอลส์นักประดิษฐ์ ที่อาจทำให้คนดูหลายคนหงุดหงิดและรู้สึกว่าหนังแวะริมทางบ่อยเหลือเกิน

แต่เหล่านี้ล้วนแสดงเจตนาชัดเจนว่าหนังภายใต้การกำกับของเจา หาใช่หนังมาร์เวลที่เหล่าฮีโรจะมาปล่อยลำแสงเฮ้ากวงเหมือนที่ผ่าน ๆ มาไม่ แต่มันคือการพาผู้ชมไปรู้จักกับแง่มุมความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนซึ่งไม่ได้มีด้านที่เพอร์เฟกต์และไม่ได้มีแค่การผดุงไว้ซึ่งความดีงามอันฉาบฉวยแต่หมายถึงการใช้หลักมานุษยวิทยามาค่อย ๆ อธิบายเหตุผลจนเราได้เห็นพวกเขาต้องสู้ศึกตั้งแต่ศัตรูภายนอกอย่างเหล่าดีเวียนต์จนถึงการสู้รบปรบมือกับจิตวิญญาณตัวเอง

ดังนั้นการแลกเวลาร่วม 1 ใน 3 ของหนังไปกับฉากแฟลชแบ็กที่มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่หลายคนอาจมองว่าน่าเบื่อและแทบจะไม่แตะประเด็นหลักของเรื่องไปมากกว่าการต่อกรกับดีเวียนต์ครั้งที่ผ่าน ๆ มา แท้ที่จริงแล้วหนังเหมือนพยายามเขียนปูมประวัติศาสตร์ของตัวเองในฐานะปฐมกาลของเหล่าฮีโร ซึ่งแน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยรายละเอียดหลายอย่างและเปี่ยมด้วยอารมณ์ความอ่อนไหวของเหล่าอีเทอร์นอลส์จนกล่าวได้ว่านี่คงเป็นหนังมาร์เวลที่เข้าขั้นสโลว์เบิร์น (Slow Burn) ประหนึ่งหนังอาร์ตเฮาส์ที่สุดก็ไม่ผิดนัก

และเมื่อพิจารณาว่าในบรรดาเทพทั้งหมดทำไม มาดงซ็อก ต้องมารับบทกิลกาเมซที่ชื่อไม่ได้เป็นเอเซียเลย ทำไมต้องมีตัวละครเป็นคนใบ้อย่าง มัคคารี (รับบทโดยลอเรน ริดลอฟฟ์ Lauren Ridloff) หรือมีบทของคนอินเดียอย่าง คูมาลิ นานจานี (Kumail Nanjiani)และฮาริช พาเทล (Harish Patel) ในบทคิงโกและผู้จัดการดาราก็ยิ่งชัดเจนเลยว่าเจาต้องการให้เรามองความเป็นมนุษย์ในโลกภาพยนตร์ที่มีมากกว่าฝรั่งหน้าตาดีอันเป็นธรรมเนียมของฮอลลีวูดและมันยังตอบโจทย์กับการนำเสนอความเป็นมนุษย์นิยมอย่างที่หนังต้องการได้อีกด้วย

“คูมาล นานจิเอนี”, “ไบรอัน ไทรี เฮนรี่”, “ลอว์เรน ริดลอฟฟ์”, “มาดงซอก”, “แบร์รี่ โคแฮน”, “ซัลมา ฮาเย็ค” หรือ “ลีอา แม็คฮิวจ์” ถือครองบทของพวกเขาได้เป็นอย่างดี แต่ที่ไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ก็คือ “แองเจลิน่า โจลี่” ที่มาแสดงกับความคิดที่ว่าตัวเองมาเล่นแค่บทรับเชิญ แต่ตัวละครของเธอก็ถือว่ามีความซับซ้อนที่รอคอยการค้นหาอยู่ไม่น้อย

และก็ต้องยอมรับว่า Eternals เป็นหนังที่มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาได้อย่างอลังการ แบบไม่เสียชื่อมาร์เวลเลยสักนิดเดียว เมื่อมาเจอกันตรงกลางกับไอเดียคอนเซ็ปต์จากโคลอี้ เจา ทำให้หนังมาร์เวลเรื่องนี้เป็นหนังที่มุมภาพและงานภาพที่ค่อนข้างสวยงามและโดดเด่นแปลกตาจากเดิมไม่น้อย โดยเฉพาะงานภาพที่มักจะเล่นกับแสดงธรรมชาติเป็นหลัก ที่นับว่าเป็นงานถนัดของผู้กำกับหญิงคนนี้

เอาเป็นว่าสรุปโดยรวมแล้ว Eternals เป็นหนังเปิดตัวฮีโร่กลุ่มใหม่ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ พร้อมกับสร้างตัวละครใหม่ ๆ เอาไว้ประดับจักรวาลได้อย่างก้าวไกลทีเดียว แต่ก็ยังไม่เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากนัก เหมือนปรุงแกงหม้อหนึ่งที่ใส่เครื่องไปเยอะแยะมากมาย แต่ปรากฏว่ารสชาติที่ได้ออกมายังคงจืดชืดอยู่ รสแท้ยังไม่ออก และเมื่อหนังเรื่องนี้ผ่านไปไม่กี่ปี ก็อาจจะเข้าทำเนียบหนังมาร์เวลที่ถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย…

ถ้าหากแฟนหนังที่อยากจะมีดูแอคชั่นโกลาหลกับภัยของโลกครั้งใหม่ก็คงจะไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ เพราะหนังเรื่องได้เลือกนี้ใช้ “ความรัก” เป็นแรงขับเคลื่อนในการเดินเรื่องมากกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะวิธีที่ผิดแต่อย่างใด เพียงแต่อาจจะหยิบนำมาใช้กับหนังที่ยังไม่เหมาะกับวิธีนี้สักเท่าไหร่ จึงทำให้เป็นหนังที่มีประเด็นการสื่อสารที่ดี แต่ยังไม่มีรสชาติที่กลมกล่อมออกมาสักเท่าไหร่…

กระนั้นนอกจากบทที่พูดถึงมนุษย์ได้อย่างถึงแก่นและนำเสนอวัฒนธรรมอันหลากหลายแล้วหนังยังไม่ลืมจุดขายสำคัญของหนังมาร์เวลทั้งฉากแอ็กชันและงานวิชวลสุดตื่นตา พร้อมการปรากฎตัวของฮีโรรายใหม่ในฉากท้ายเอนด์เครดิตที่ดูจะเป็นธรรมเนียมมาตั้งแต่ ‘Black Widow’ หนังเปิดเฟส 4 ของมาร์เวลที่ดูจะไม่ได้แยแสเหล่าฮีโรดังจากเฟสที่ผ่านมามากนักจนดูเหมือนว่ามาร์เวลเองก็ดูจะมั่นอกมั่นใจในคุณภาพหนังและศักยภาพของเหล่าซูเปอร์ฮีโรรายใหม่มากเหลือเกิน

ที่สุดแล้วไม่ว่าคะแนนของ ‘Eternals’ จะได้ครองตำแหน่งหนังมาร์เวลที่คำวิจารณ์เลวร้ายที่สุดหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าคำวิจารณ์หนังก่อนหน้านี้ในต่างประเทศก็ดูจะใจร้ายกับหนังมากไปหน่อย แต่ยังไงคุณภาพหนังจะดีไม่ดีคำตอบก็คงต้องอาศัยประสบการณ์ตรงในโรงภาพยนตร์อยู่ดีถูกไหมครับ ? เว็บหนัง

ประเภท: แอคชั่น / แฟนตาซี
ผู้กำกับ: โคลอี้ เจา
นำแสดงโดย: ริชาร์ด แมดเดน, เจมม่า ชาน, แองเจลิน่า โจลี่, ซัลมา ฮาเย็ค
ความยาว: 157 นาที
กำหนดฉายในไทย: 4 พฤศจิกายน 2021

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

 

หนังไทยnetflix มังกรหยก จัดว่าเป็นนิยายจีนกำลังภายในแถวหน้าที่ชาวยุทธต่างครอบครองมาเป็นเจ้าของจนตาเปียก เพราะความรักที่มีต่อโลกบู๊ลิ้มนั้นช่างเร้าใจ ก็กิมย้งแกช่างเล่าได้สนุกสนานแถมยังกระชับได้ใจความ ยิ่งอ่านยิ่งมันจนวางไม่ลงกันเลยเชียว

จักรวาลมังกรหยกที่กิมย้งแกได้สร้างไว้ก็มีถึง 3 ภาคกันเลยค่ะ เรียกว่าดูดเงินในกระเป๋าไปอย่างสนุกสนานตั้งแต่มังกรหยกภาค 1 เล่าเรื่องก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้ง ต่อด้วยภาค 2 เอี้ยก้วยกับเซียวเหล่งนึ่ง ที่เป็นรุ่นลูก และ ภาค 3 ‘ดาบมังกรหยก’ ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายเล่าถึง เตียบ่อกี้ กับกระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร และ บรรดาสาว ๆ ของเขา แถมด้วยแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ที่เป็นเรื่องราวก่อนยุคก๊วยเจ๋งไปอีกเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่านิยายมัน ๆ ขนาดนี้เมื่อถูกนำมาทำซีรีส์หรือภาพยนตร์มันก็มักจะถูกนำมาทำซ้ำหลาย ๆ รอบซะด้วยสิ เว็บดูหนัง

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

เตียบ่อกี้/หลินฟง ดาบมังกรหยกเวอร์ชันนี้เสนอตอน ‘ประมุขพรรคมาร’ เล่าเรื่องราวห่างจากมังกรหยกทั้งสองภาคราว ๆ 70 ปีเห็นจะได้ (หรืออาจจะมากกว่านั้น) เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเคยดูมังกรหยกสองภาคแรกมาก่อนเลยจ้ะ ดูภาคนี้เลยก็ได้เพราะเป็นเอกเทศอยู่พอสมควร จุดเชื่อมโยงมีอยู่แค่เหล่าจอมยุทธในตำนาน เคล็ดวิชา และ สำนักต่าง ๆ ที่กล่าวถึงแค่นั้นเอง สำหรับ ‘ดาบมังกรหยก 1 : New Kung Fu Cult Master 1’ เป็นภาพยนตร์ที่ถูกปัดฝุ่นใหม่โดยฝีมือของ หวังจิง ผู้กำกับคนเดิมกับที่ทำดาบมังกรหยกเมื่อปี 1993 แล้วค้างภาค 2 ที่ปูว่าจะทำเอาไว้นานจนคนดูตายตกไปตามกันเยอะแยะแล้ว นำแสดงโดยหลี่เหลียนเจี๋ย และ เป็นผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย กำกับคิวบู๊โดยหงจินเป่า

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

รีวิวหนังดัง ใช่จ้ะ ภาคนี้ภาคเดียวกันนี่แหละมันเคยออกสู่สายตาชาวโลกมาแล้วนานมาก การกลับมาคราวนี้หวังจิงร่วมมือกับ วีนัส เคียง รีเมกดาบมังกรหยก 1 เมื่อครั้งกระนู้น โครงเรื่องคล้ายเดิมแต่มีการปรับปรุงใหม่ให้ดีกว่าเดิม อย่างน้อยภาคนี้ก็เอาเตียบ่อกี้คนดีคนเดิมของเรากลับมา ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ดุดัน ผยองเดชแบบเมื่อคราวที่หลี่เหลียนเจี๋ยแสดงนำ แหม นอกจากกิมย้งแกจะชอบปรับปรุงนิยายตัวเองอยู่บ่อย ๆ แล้ว คนเอามาทำหนังก็ยังสืบทอด DNA ของกิมย้งมาอีก ปรับกันไปจ้ะจนกว่าจะตายไปข้างนึง

ภาค 1 จบไปก็ต่อภาค 2 แบบไม่ต้องให้รอนาน ‘ดาบมังกรหยก 2 New Kung Fu Cult Master 2’ จะเริ่มในตอนที่เตียบ่อกี้ และ พรรคเม้งก่า ต้องหาทางช่วยยอดฝีมือจาก 6 สำนักใหญ่ที่ถูกกักขังไว้บนเจดีย์วัดบ้วนอัน ก็คือพรรคมารยกพวกตามมาช่วย 6 พรรคคนดีที่ราวีเม้งก่านั่นแหละ แต่มิกจ้อเจ้าสำนักง้อไบ๊ก็ตายลงในศึกครั้งนี้ โดยมีคำสั่งเสียให้จิวจี้เยี้ยก รับตำแหน่งเจ้าสำนักง้อไบ๊ต่อ พร้อมกับบอกความลับของ ‘กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร’ เตี๋ยเมี่ยง ก็อยากรู้ความลับเช่นกันจึงขอให้เตียบ่อกี้พาไปหาราชสีห์ขนทอง

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

เตียบ่อกี้ และ สามสาวเตี๋ยเมี่ยง จิวจี้เยี้ยก เสี่ยวเจียว จึงออกเดินทางไปยังเกาะน้ำแข็งอัคคี เพื่อค้นหาความลับของสองยอดศาสตราที่เหล่าจอมยุทธ์ทั่วหล้าหมายครอบครอง ในขณะเดียวกัน เซ่งคุน (ซื่อสิงอวี่) ก็รอคอยโอกาสที่จะกำจัดทุกคนที่ขวางทาง จนสุดท้ายสู้กันไปสู้กันมาพระเอกก็ต้องชนะอยู่วันยังค่ำ พร้อมกับรักสามเส้าของเตียบ่อกี้ที่ ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องตีกันเองเลยจ้ะ เพราะนางทั้งสามสามัคคีกันรักพระเอกอย่างกับอะไรดีแน่ะ ถึงจะมีเรื่องราวดุเดือด และ การสูญเสียให้พระเอกต้องน้ำตาตกก็ตามที ดูหนัง

คิวบู๊ได้อยู่แต่ CG ล้ำเลิศกว่า ก็เป็นไปตามยุคสมัยนะคะที่ภาพยนตร์กำลังภายในสมัยนี้จะใช้ CG เข้ามาช่วยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสำหรับดาบมังกรหยกก็อลังการงานสร้างและเฟี้ยวฟ้าวได้อยู่กับ CG ที่ออกมามากมายจนหมัดและดาบหงอยไปเลยจ้ะ บอกตามตรงว่าก็แอบคาดหวังอยู่พอสมควรกับคิวบู๊ที่รอคอย ถึงจะสนองความต้องการไม่ได้มากอย่างที่คาดหวังเอาไว้แต่ไม่ได้ทำให้อกหักซะทีเดียว เพราะสิ่งที่ออกมาสู่สายตาก็ไม่ผิดไปจากสไตล์ของหนังจีน-ฮ่องกงสมัยใหม่ที่จะเน้นไปที่ CG ซะมากกว่า ก็ของมันมีให้ใช้แล้วจะฟาดฟันเหนื่อยทำไมละเนอะ

บทสรุปเรื่องราวใน ดาบมังกรหยก 2

รีวิวหนังดัง จุดนี้ก็เรียกจินตนาการในนิยายออกมาได้พอสมควร ปล่อยพลังกันอย่างมโหฬารไปเลย ถึงลีลาออกหมัด ฟาดดาบจะไม่สาแก่ใจป้าข้างบ้านเท่าไหร่แต่ให้อภัยในความอลังการเหนือมนุษย์ของเขาก็แล้วกัน ภาค 1 กำลังมัน ๆ อ้าวจบเว้ยเฮ้ยต้องรอภาค 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้การรอคอยต้องผิดหวัง เพราะเตียบ่อกี้ในฐานะประมุขพรรคมารนั้นเก่งกาจหาใครทัดเทียม เรียกว่าไร้พ่ายทั่วสารทิศ เรื่องนี้หลินฟงในบทเตียบ่อกี้ถูกบ่นว่า ทำไมแก่จังเลยจ๊ะเตียบ่อกี้ต้องหนุ่มกว่านี้สิ ก็ต้องบอกก่อนเลยค่ะว่าภาคนี้เขามารับบทในช่วงที่เตียบ่อกี้เป็นประมุขพรรคมารแล้ว ตัวจริงแก่กว่าในเรื่อง 10 ปีเอง หยวน ๆ น่า

บทปรับใหม่ที่รักสามเส้าเป็นจุดเด่น
เวอร์ชันนี้ เตียบ่อกี้ กลับมาเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงและมีนิสัยอ่อนโยน แตกต่างปี 1993 ที่บทปรับให้เตียบ่อกี้ทะเยอทะยาน เจ้าคิดเจ้าแค้นซึ่งกลายเป็นคนละคนกับเตียบ่อกี้ในนิยายไปซะฉิบ พอมาเจอเตียบ่อกี้คนเดิมก็รู้สึกดีขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ และแน่นอนว่าสาว ๆ ทั้งสามนางสวยหยดจนถ้าเกิดเป็นเตียบ่อกี้อิชั้นก็เลือกไม่ถูกจริง ๆ จ้ะ แต่หากใครสงสัยว่าใครนะจะเป็นนางเอกก็นี่เลยเขาบอกไว้อยู่แล้วว่าคือ เตี๋ยเมี่ยง ธิดาแห่งอ๋องมองโกลนี่แหละค่ะ ตัวจริงของฮี แต่กว่าจะได้มาบรรจบสมกับที่เกิดมาคู่กัน ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามากมาย

เตี๋ยเมี่ยง/เหวินหย่งซาน
คือหนาวจริง ๆ เพราะไปผจญภัยกันถึงเกาะน้ำแข็งอัคคี ต้องผ่านการต่อสู่ แย่งชิงต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องความลับในกระบี่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกรที่ทำให้นางหนึ่งเปลี่ยนไป นางหนึ่งต้องเสียสละ ภาคแรกปูเรื่องไว้ถึงการฝ่าฟันจนถึงเตียบ่อกี้ได้รับตำแหน่งประมุขพรรคมาร พอมาภาค 2 ก็ไปที่การปกป้องบ้านเมืองจากอ๋องมองโกล ซึ่งนิยายกำลังภายในของกิมย้งก็มักจะสอดแทรกคุณธรรมความดีเอาไว้มากมาย และตัวละครบางตัวมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ให้เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของความจริงบนโลกที่เราเห็นกันอยู่แล้ว ว่าผู้ที่บอกว่าตนเป็นฝ่ายธรรมะก็ไม่ใช่ผู้ทรงคุณธรรมเสมอไป แถมยังต้องให้พรรคมารที่ตัวเองแสนรังเกียจมาคอยช่วยอีกต่างหาก

เสี่ยวเจียว/อวิ๋นเชียนเชียน
ในส่วนนี้ผู้สร้างไม่ได้ทิ้งรายละเอียดไป แต่น่าเสียดายที่การห้ำหั่นเพื่อคุณธรรมความดีและความถูกต้อง การปกป้องบ้านเมืองเบาบางกว่าความรักซะด้วยซ้ำ ก็เข้าใจได้จ้ะเพราะเตียบ่อกี้เขาก็ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องนี้มันเด่นอยู่แล้วตั้งแต่นิยายเลยละ รักมั่นคงให้หญิงอีกคนก็ยังใช่ เสียดายความภัคดีของอีกนางก็ได้อยู่ ผูกสมัครกับอีกนางที่ร่วมทุกข์ก็ได้อีก เกิดเป็นเตียบ่อกี้นี่ก็ลำบากเหมือนกันแฮะ และด้วยความที่เป็นหนังจะให้เล่าได้ครบถ้วนแบบนิยายมันยากมาก ในส่วนนี้ก็ทำให้เนื้อเรื่องขาดความกลมกล่อมไปอยู่สักหน่อย เพราะมันช่างรวบรัดเหลือเกิน พ่อคุณเอ้ย และหลาย ๆ ฉากที่ควรจะมีก็หายวับไปอย่างน่าเสียดาย

รีวิว ดาบมังกรหยก 2

จิวจี้เยี้ยก/ชิวอี้หนง
ทำให้บทของเรื่องนี้ดูพร่องไปอย่างเห็นได้ชัด เราเข้าใจถึงการดัดแปลงอยู่แล้วละเพราะรายละเอียดในนิยายค่อนข้างเยอะ ที่เราจะเห็นในหนังเรื่องนี้ทั้งสองภาคผู้สร้างก็เลือกฉากใหญ่ ๆ มาให้ดูกันทั้งนั้น การปะติดปะต่อเรื่องราวก็รวดเร็วปรู๊ดปร๊าดและรวบรัดอยู่พอสมควร จุดนี้ถึงจะไม่ดุเดือดเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่น่าเบื่อ แต่ใด ๆ ก็ตามคิวบู๊ที่เฟี้ยวฟ้าวยังคงอยู่โดยเฉพาะช่วงต่อสู้ที่เม้งก่า และการออกลีลาของ ดอนนี่ เยนในบทเตียซำฮง ที่ต้องยอมรับเลยว่า ศิลปินชั้นครูผู้นี้ฝีมือไม่พร่องไปเลยจริง ๆ

เตียซำฮง/เจินจื่อตัน (ดอนนี่ เยน)
คอสตูมอลังการ สวยหยดจนไม่อาจละสายตา
ดูหนังกำลังภายในสมัยนี้ถ้าไม่เสพคอสตูมก็เห็นทีจะเสียของนะคะ และเรื่องนี้ก็ประเคนความสวยงามอลังการมาให้ได้เสพกันแบบเต็ม ๆ ตา โดยเฉพาะสาว ๆ ทั้งหลายในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกหรือไม่เอกก็ตาม การออกแบบคาแรกเตอร์ของตัวแสดงทุกตัวจัดได้ว่าใส่ใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมและเปรียบเทียบกับเวอร์ชันเก่าเมื่อนานมาแล้ว ที่เวอร์ชันนี้คุ้มค่าต่อสายตาจริง ๆ ค่ะ โดยเฉพาะค้างคาวปีกเขียวที่อิชั้นชอบการดีไซน์ของตัวละครตัวนี้มาก และราชสีห์ขนทองที่สร้างภาพภายนอกให้ดูน่าเกรงขาม แต่ความจริงเป็นตาแก่ปวกเปียกที่ถ้าไม่มีวิชาราชสีห์คำรามก็เข่าทรุดกันเลยทีเดียว เว็บหนัง

มังกรเสื้อม่วง เสี่ยวเจียว ค้างคาวปีกเขียวและอินทรีคิ้วขาว
บวกกับความสวยงามของสาว ๆ ที่แต่ละนางนั้นบรรจงแต่งเหมือนจะมาแข่งกันประชันความงามก็ไม่ปาน และลุคเท่ ๆ ของเตียบ่อกี้ที่มาถึงวันนี้คงลบคำปรามาสเรื่องอายุไปได้แล้วเพราะเตียบ่อกี้ลุคนี้สร้างมาให้เราเชื่อได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่สาว ๆ สมควรจะตกหลุมรัก หล่อไม่มากแต่เร้าใจเพราะช่างอบอุ่นและแสนดีไปทุกหย่อมหญ้า ภาษาบ้านเราก็คงจะเรียกคุณพี่เขาได้ว่าพระเอกขี้อ่อย ที่ซื่อ ๆ ใส ๆ ไม่ได้คิดอะไรมากกว่าความเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดีเลยจริงจริ้ง จนทำให้เรื่องนี้เป็นหนังกำลังภายในที่ฉาบด้วยความรักสามเส้าเราสามคนที่ต่างคนต่างเสียสละเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง รวมคนดีที่โลกต้องจำอ่ะจ้ะ ว่าอย่างนั้นแหละ

กำกับ หวังจิง
ความยาว 1 ชั่วโมง 52 นาที
แสดงนำ หลินฟง /เหวินหย่งซาน /ชิวอี้หนง /อวิ๋นเชียนเชียน
OUR SCORE 7.2

รีวิว Sonic the Hedgehog 1

รีวิว Sonic the Hedgehog 1

รีวิว Sonic the Hedgehog 1

ปี 2020 นี้มีหนัง มีกาตูนน่าดูออกมามากมาย หนังไทยnetflix แต่เรื่องที่แอด อยากดูเป็นพิเศษก็คงจะหนีไม่พ้นอย่าง โซนิค โดยหลังจากที่ทีมงานได้ปล่อยให้เราปวดหัวกับโมเดลแบบเก่า จนทางสตูดิโอหนัง ยอมเลื่อนกำหนดฉาย เพื่อหอบเอาโมเดลโซนิคแบบเก่ากลับไปแก้จนถูกใจแฟน ๆ มากขึ้น ก็ถึงวันเข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ Sonic : The Hedgehog ฉบับภาพยนตร์ จะออกมาดีหรือแย่อย่างไร วันนี้ขอเชิญพบกับรีวิว Sonic : The Hedgehog

เนื่องจากต้นฉบับเกมไม่มีที่มาที่ไปของโซนิคที่ชัดเจนนัก และ พอถูกนำมาเล่าเป็นหนัง ทำให้ต้องมีการเล่าปูมหลัง และ ที่มาที่ไปของโซนิค ที่ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น เราก็จะดำดิ่งสู่โลกของโซนิคในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ อย่างแรกเลยคือ ใครที่ติดภาพลักษณ์ของเจ้าโซนิคในฉบับเกมที่หน้าตาห้าว ๆ หน่อย อาจจะต้องปรับระดับความคาดหวังลงมา โซนิคในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้น หน้าตาดูน่ารัก เหมือนเด็กวัยรุ่น ส่วนนึงก็เพราะนี่น่าจะเป็นหนังภาคแรก และ เป็นจุดกำเนิดของโซนิคด้วย ยังไม่เข้าสู่ช่วงห้าวเต็มวัยแบบภาพลักษณ์ที่เราเห็นในเกม

รีวิว Sonic the Hedgehog 1

สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ กับการยอมรับฟีดแบ็คของผู้ชม และ นำเอาโมเดลโซนิคกลับไปแก้ไข จนออกมาดูดี แม้จะยังไม่ดีที่สุด แต่ก็ทำให้คาแรคเตอร์โซนิคดูน่าจดจำขึ้นมาทันที ทั้งนี้เพราะผู้เขียนนึกภาพไม่ออก ว่าถ้าเป็นเจ้าโซนิคโมเดลเก่า แต่ถูกนำมาเล่าเรื่องในหนังเรื่องนี้ เราจะอินดีหรือไม่ เพราะหน้าตามันไม่ค่อยน่าเอ็นดูเหมือนเวอร์ชั่นใหม่เอาซะเลย เว็บดูหนัง

รีวิว Sonic the Hedgehog 1

รีวิวหนังดัง ฉบับภาพยนตร์นั้น นำเสนอโซนิคให้เหมือนกับเด็กที่ได้พลังพิเศษ และ เพราะการที่เขามีพลังพิเศษแถมไม่ใช่คนนี่แหละ เลยทำให้เขาไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้ และ ต้องอยู่คนเดียวอย่างเหงา ๆ ตลอดเวลา ทำให้คาแรคเตอร์ของโซนิคในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากตัวละครจำพวกเด็กมีพลังพิเศษ และ โดนรังเกียจในเรื่องอื่น เพียงแต่เขาไม่ได้เผยตัวตน และ ไม่ได้โดนรุมกลั่นแกล้งเท่านั้น

นักแสดงหลักของหนังเรื่องนี้คือ James Marsden อดีตผู้รับบท Cyclops จากหนังชุด X-MEN (เวอร์ชั่นเก่าปี 2000) และ อีกคนที่ขาดไม่ได้เลยคือ จิม แครีย์ แต่เราคงจะไม่บอกว่าจิม แครีย์แบกหนัง เพราะซีจีของโซนิค และ การแสดงของนักแสดงท่านอื่นก็ทำออกมาได้ดี เพียงแต่ จิม แครีย์ แกออกแนวจ้างร้อยเล่นล้าน เล่นจนล้นสุด ๆ เลยทำให้ดูเหมือนว่าตัวละครของเขานั้นแย่งซีนนักแสดงท่านอื่นก็เพียงเท่านั้น เพราะต้องยอมรับจริง ๆ ว่าทุกครั้งที่จิม แครีย์ออกมาในหนัง น้อยที่สุดก็ทำให้เราหัวเราะแห้ง ๆ ได้ หรือบางฉากก็ฮาลั่นโรงเลยก็มี

รีวิว Sonic the Hedgehog 1

น่าจะเป็นหนังวีดิโอเกมที่ถูกจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ สำหรับ Sonic the Hedgehog (2020) ที่ช่วงต้นปีที่แล้วมีประเด็นดราม่าจากเหล่าแฟนบอยของน้องเม่นสายฟ้าในตำนาน ซึ่งออกอาการไม่ปลื้มอย่างแรงหลังจากได้เห็นเทรลเลอร์เปิดตัว โดยเฉพาะดีไซน์ตัวโมเดลในแบบฉบับ live action

ที่ทำเอาโหงวเฮ้งหน้าตาของเจ้าโซนิคดูห่างไกลกับเวอร์ชันต้นฉบับในเกมหรือการ์ตูนมากจนถูกแฟน ๆ แห่เข้าไปกด dislike กันใหญ่ และ จากกระแสต่อต้านอย่างหนักนั้นก็ส่งผลให้ Jeff Fowler ผู้กำกับ และ ทีมผู้สร้างตัดสินใจยอมปรับดีไซน์ตามคำเรียกร้องให้ใกล้เคียงกับในเกมมากที่สุด เว็บหนัง

ซึ่งจากปัญหาเรื่องแก้ดีไซน์นี้ทำให้หนังต้องเลื่อนฉายจากกำหนดเดิมราว 3 เดือน แถมทาง Sega เจ้าของแฟรนไชส์ต้องเข้ามาดูแลการดีไซน์รอบใหม่ด้วย โดย Paramount Pictures ใช้งบประมาณการออกแบบตัวละครใหม่อยู่ประมาณ 5 ล้านเหรียญฯ เจ้าเม่นสายฟ้ากับบทบาทที่ต้องออกมาเล่นกับคนจริง ๆ

ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายไม่น้อย โดยไลน์อัปก็ไม่ขี้เหร่ นอกจาก เจมส์ มาร์สเดน (James Marsden) พ่อหนุ่ม Cyclops และ ที่หลายคนอาจคุ้นเคยกับบทคาวบอยในซีรีส์ Westworld, ทิก้า ซัมพ์เตอร์ Tika Sumpter สาวผิสีทรงเสน่ห์จาก Gossip Girl, แล้วยังมีลุงจิม แคร์รี (Jim Carry) กับบท ดร.โรบอทนิกส์ คู่อริตลอดกาลของโซนิค ที่คาแรกเตอร์ของ ดร.สติเฟื่องนี่ดูเข้าทางลุงแกมาก ๆ

บทสรุป Sonic the Hedgehog 1

รีวิวหนังดัง เรื่องราวของ Sonic the Hedgehog เริ่มจากการปรากฏตัวขึ้นของโซนิค สิ่งมีชีวิตในต่างดาวอันไกลโพ้นหน้าตาคล้ายเม่น ที่มาพร้อมสกิลวิ่งเร็วระดับวาร์ปอันเลื่องชื่อ รวมทั้งมีพลังงานไฟฟ้าแรงสูง ต้องหลบหนีจากบ้านเกิดที่เติบโตตั้งแต่ยังเล็ก จับพลัดจับผลูหลุดมาอยู่ในโลกมนุษย์ที่เมืองกรีนฮิลล์ เมืองเล็ก ๆ ในรัฐมอนทาน่า โซนิคใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อน อยากเล่นอะไรทำอะไรก็ทำคนเดียว

จนกระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝันเผลอใช้พลังพิเศษในตัวระเบิดแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง ซึ่งรัฐบาลสหรัฐช็อกกับเหตุการณ์ครั้งนี้มากจนเชิญนักวิทยาศาสตร์อย่าง ดร.โรบอทนิกส์ เข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุ ดร.แกะรอยจนรู้ว่าเป็นโซนิค และ ค้นเจอเบาะแสสำคัญที่ทำให้ตระหนักถึงพลังไร้ขีดจำกัดของเม่นจอมแสบรายนี้ จึงออกไล่ล่าเม่นสีน้ำเงินทันที

ขณะที่โซนิคเองก็ได้พบกับ ทอม วาชอวสกี้ (เจมส์ มาร์สเดน ) เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มประจำเมืองกรีนฮิลล์ ซึ่งโซนิคขอร้องให้ทอมช่วยคุ้มครองความปลอดภัยจาก ดร.โรบอทนิกส์ ขณะเดียวกันก็ต้องออกตามหาเหรียญวาร์ปสีทองที่เคยนำพาเขามายังโลกมนุษย์ ซึ่งบังเอิญทำหล่นหายไปในเมืองซานฟรานซิสโก

สำหรับ โซนิค เวอร์ชันนี้ต้องบอกเลยว่าลบฝันร้ายหรือคำสาปสำหรับวิดีโอเกมที่มักออกมาเละเทะเมื่อดัดแปลงเป็นหนังจอเงิน ด้วยการถูกวางในพลอตสำเร็จรูปที่เข้าถึงง่าย ขายความน่ารักสมจริงกับกลุ่มคนที่โตมากับการ์ตูนหรือเกมมากกว่าโฟกัสเด็กรุ่นใหม่ ยิ่งหากต่อยอดจากตัวละครแบบนี้ที่มีความเป็น iconic จ๋าอยู่ในตัวสูงแล้ว

ความกดดันจากฐานแฟนบอยนี่แทบจะเป็นตัวกำหนดมาตรฐานไว้เลย นอกจากอาจจะมีบางเรื่องหลุดฟอร์มเลวร้ายจนกลายเป็นไปทำลายความฝันวัยเด็กซะงั้น อย่างพวก เต่านินจา, ดราก้อนบอล หรือนานกว่านั้นก็มาริโอ้ ที่แทบอยากจะลืม ๆ ไปเคยทำเป็นหนัง (ฮา)

รีวิว Sonic the Hedgehog 1

ความน่ารักแสบสันต์ และ แววตาก๋ากั่นของเจ้าโซนิคที่ต้องยกความดีความชอบให้ทีมผู้สร้างที่ตัดสินใจดีไซน์ใหม่ ตัวหนังเซอร์วิสแฟนดั้งเดิมของโซนิคเป็นอย่างดี โดยจะใส่รายละเอียดศัพท์แสงที่คนเคยเล่นเกมโซนิคสมัยเด็ก ๆ ในยุค 90s ต้องคุ้นเคยมาเป็นระยะ ทำให้รู้สึกอินได้ง่ายมาก ซีจีทำได้ค่อนข้างดีเลย แต่ยังมีส่วนที่รู้สึกลอย ๆ อยู่บ้าง

ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ใจว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการดีไซน์โซนิคใหม่ที่มีความเป็นตัวการ์ตูนมากกว่าเดิมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เหนือเรื่อง CGI ออกไป MVP ตัวจริงคือ ลุงจิม แคร์รี นี่แหละที่ขยันขโมยซีนมาก! บางฉากลุงแกฮาซะเอาน้องเม่นเจื่อนไปเลย (ฮา) เรียกว่าเข้ามาเป็นเดอะแบ็กตัวจริง และ เมื่อหักลบกับพลอตเบา ๆ ตัวละครแบน ๆ แบบดูขำ ๆ แล้ว ลุงจิม คือคนที่ยกระดับ Sonic the Hedgehog ขึ้นมาสู่ระดับที่เรียกว่า ‘ดีเกินคาด’ อย่างแท้จริง

ตัวละครหญิงผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามของตัวเอกในอนิเมะ
นอกจากนี้ พาร์ตหนึ่งที่ประทับใจชนิดเซอร์ไพรส์หน่อย ๆ ก็คือเมสเซจเรื่องชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะการตั้งคำถามกับการมีชีวิตอยู่ มันทรงพลังกว่าที่คิดไว้มาก ช่วงท้ายทำซึ้งเอาเรื่อง มันเป็นภาพจำใหม่ ๆ ของโซนิคในมุมที่แตกต่างออกไปจากยี่สิบกว่าปีก่อน เจ้าเม่นสายฟ้าไม่ได้เป็นเพียงตัวละครเท่ ๆ ที่มีไว้โชว์สปีดเร็วกว่านรกอีกต่อไป แต่จะได้เห็นโซนิคมีพัฒนาการหันเหมาเป็นซุปเปอร์ฮีโรคอยปกป้องเมืองกรีนฮิลล์แห่งนี้ด้วย แถมยังมีเครดิตแถมท้ายให้สาวกได้กรี๊ดกร๊าดกันอีก

Sonic : The Hedgehog ไม่ใช่หนังจากเกมที่แย่ และ ดูจากรายได้ ณ ตอนนี้ มันน่าจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และ น่าภูมิใจในฐานะที่เป็นหนังจากเกม แต่ถ้ามองมันเป็นภาพยนตร์ทั่วไป ก็คงต้องบอกว่ามันขาดอารมณ์ร่วม และ ไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไร อาจจะเป็นเพราะต้องวางโครงสร้าง และ เนื้อเรื่อง และ เชื่อได้เลยว่าภาค 2 นี่ล่ะ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของโซนิคจริง ๆ ซึ่งเราก็หวังว่ามันจะประสบความสำเร็จ จนได้ทำออกมานะ

ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ หากอยากจะผละออกจากบ้านหรือคอมพิวเตอร์ และ เครื่องเกม เพื่อหาหนังดู ในสัปดาห์นี้ก็คงไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวเลือกที่ดีไปกว่า Sonic : The Hedgehog แล้ว และ เราคงต้องย้ำกันอีกครั้งว่า แม้มันจะไม่ใช่หนังที่น่าจดจำอะไรนัก แต่มันเป็นหนังที่ “สนุก” ครับ ใครไปชมก็อย่าลืมมาพูดคุยกันได้ล่ะ! ดูหนัง

รีวิว Jai Bhim

รีวิว Jai Bhim

รีวิว Jai Bhim

สวัสดีครับวันนี้แอดมินจะมารีวิวหรือมาแนะนำหนังนั้นเอง หนังไทยnetflix เป็นหนังแขก หนังอินเดีย ที่ได้รับคะแนะของ IMDB สูงมากๆ แอดจึงอยากหยิบมาแนะนำ ถกหนังแขก ‘ตำรวจทุกคนไม่ได้เป็นคนเลวนะ’ … ‘ก็จริง แต่ตำรวจทุกคน ก็ไม่ได้เป็นคนดีหนิ’ … นี่คือเรื่องราวเรียกน้ำย่อยของ Jai Bhim (2021) หนังอินเดียอันดับ 1 ใน Top 250 และ Top 1000 ของ IMDb ที่ทำคะแนนโหวตสูงสุด ที่ 9.6/10 โดยเพจ ‘หลงอินเดีย’ ได้นำมาเผย ถึงเหตุผลที่หนังเรื่องนี้ได้คะแนนแซงหน้าหนังอมตะอย่าง The Shawshank Redemption ที่ 9.3 คะแนน และ The Godfather ที่ 9.2 คะแนน ว่า… เว็บดูหนัง

รีวิว Jai Bhim

รีวิวหนังดัง พล็อตเรื่องสั้นๆ ทนายความ Madras K. Chandru ผู้ที่เข้ามา ว่าความต่อสู้ กับคดีที่ดูจะไม่เป็นธรรมแก่ชาวเผ่า Irulas ที่ถูกผู้มีอิทธิพลในชุมชน และ บรรดาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ใส่ความว่าได้เข้าไปขโมยของมีค่า จากบ้านหลังหนึ่ง ทำให้พวกกลุ่มคน ชาวเผ่าอิรูลัส ต้องกลาย มาเป็นแพะ รับบาป และ ต้องถูกกดขี่ ด้วยการใช้อำนาจ ที่เกินกว่ากฎหมาย กระทั่งทนาย ความจันดรู ได้เข้ามาต่อสู้กับคดีนี้ เพื่อชาวเผ่า และ ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดัน ที่อยู่เหนือกฎหมายมากมาย… และ ทนายความจันดรู จะสามารถ ช่วยชาว เผ่าที่เกือบ เป็นผู้ไร้ตัวตนของ ประเทศอินเดีย ในคดีนี้ได้หรือไม่ เพราะบรรดาผู้มีอิทธิพล ทั้งหลาย สามารถทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงได้เลยจริง ๆ

รีวิว Jai Bhim

ความสนุก ของหนัง ช่วงแรก ของหนัง อาจจะสร้างความสงสัยให้แก่ผู้ชมมากพอสมควร เพราะหนังเปิดมาด้วยฉาก การคัดแยกคนกระทำผิด ด้วยการให้ขานชื่อ ของวรรณะ แล้ว หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้เลือกปฏิบัติ กับคนกลุ่มหนึ่งทันที

หนังพาเราย้อนไปในเหตุการณ์ปี 1993 ว่า ในประเทศ อินเดียนั้น ยังคงมีกลุ่มชาวเผ่าอาศัยอยู่ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมี โดยกลุ่มชาวเผ่าต่าง ๆ นี้ มักจะถูกกดขี่ ข่มเหง รวมถึงถูก ตั้งชนชั้นวรรณะ ให้แก่พวกเขา ในลำดับที่เกือบจะต่ำที่สุดด้วย

และ เพราะชนชั้นที่สังคมได้ตีตราให้นั้น มันค่อนข้างต่ำมาก จึงทำให้การที่ชาวเผ่า จะกลายเป็น #แพะรับบาป ในกรณีผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัย เป็นการง่าย ที่จะโยนความผิดให้

รีวิว Jai Bhim

Jai หรือ Jay แปลว่า Victory หรือ ชัยชนะ ส่วนคำว่า Bhim หรือออกเสียงว่า ภิม นั้นหมายถึง Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar หรือ บิดา แห่งรัฐธรรมนูญ อินเดีย ผู้ที่เกิดมาจาก ชนชั้นจัณฑาล จนได้กลายเป็นทนายความ ก่อนถูกแต่งตั้งให้เป็น สมาชิก นิติบัญญัติ ของบอมเบย์ และ ท่านคือ ผู้ที่ต่อสู้ เพื่อสังคม การเมือง และ ศาสนา ให้แก่คนชนชั้นจัณฑาลได้สำเร็จ นั่นเอง
.
ไม่อยากให้พลาด
เป็นหนังที่เข้มข้น และ สนุกมากจริง ๆ บ่อยครั้งที่หนังอินเดียสไตล์ Drama Social มักทำออกมาให้ชวนเครียดอยู่บ้าง แต่ถ้าหากใครได้รับชมสักเรื่อง แล้ว ล่ะก็ รับรองจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะคุณจะยิ่งเข้าใจในระบบสังคมที่สุดแสนซับซ้อนนี้ เพิ่มขึ้นทีละนิด ๆ นั่นเอง ดูหนัง

บทสรุปเรื่องราว Jai Bhim

รีวิวหนังดัง หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อภาพยนตร์เรื่อง ‘The Shawshank Redemption’ ในฐานะหนังที่ทำคะแนนสูงสุดบนเว็บไซต์ IMDb ที่ 9.3/10 ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน แต่ล่าสุดสถิตินี้ได้ถูกทำลายลง แล้ว ซึ่งผู้ที่ทำลายก็ไม่หนังฟอร์มยักษ์จากฮอลีวูดหรือซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลหรือดีซีที่ไหน แต่เป็นหนังอินเดียแนวสืบสวนสอบสวนชวนดราม่า แต่สามารถเรียกคะแนนจากผู้ชมได้สูงถึง 9.6/10 เลยทีเดียว

Jai Bhim (2021) บอกเล่าเรื่องของ ทนายความผู้ว่าความให้กับชาวเผ่าอิรูลัส (Irulas) ในคดีขโมย ของมีค่า ซึ่งถูกผู้มีอิทธิพล และ ผู้มีอำนาจใส่ร้ายป้ายสีให้เป็นแพะรับบาป ซึ่งตัวเอกเป็นผู้เข้ามาว่าความต่อสู้คดีกับสิ่งที่อยู่เหนือกฎหมาย ที่มาพร้อมเหตุการณ์รุนแรงตามมาต่าง ๆ นานา แต่เขาทำไปเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชนเผ่าที่อยู่นอกสายตา ของประเทศอินเดียนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ

รีวิว Jai Bhim

Jai Bhim เป็นภาษาฮินดี ที่ผสมคำสองคำระหว่าง Jai แปลว่าชัยชนะ กับ Bhim ที่ย่อมาจาก ชื่อของ Dr. Bhimrao Ramji Ambedkar หรือ บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ต่อสู้เพื่อสังคม และ การเมืองเพื่อคนชนชั้นจัณฑาล เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่เกิดมาจากชนชั้นจัณฑาล และ สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นทนายความได้ในที่สุด

ผู้กำกับหนังเรื่อง Jai Bhim พ่วงด้วยหน้าที่เขียนบทชื่อว่า ที.เจ.นานาเวล (T.J. Gnanavel) พาเราย้อนกลับไปในปี 1993 ซึ่งขณะนั้น ประเทศ อินเดียยังมีกลุ่ม ชาวเผ่าอาศัยอยู่ต่างมุมเมืองต่าง ๆ และ ถูกสังคม ยัดเยียดวรรณะ ที่อยู่ด้านล่างสุดของสังคมให้แก่พวกเขา ชนเผ่าเหล่านี้จึงมักตกเป็นแพะรับบาป ของคนวรรณะเหนือกว่าอยู่เสมอ

หนังเรื่อง Jai Bhim จึงพยายามเปิดให้เห็นการยื้อยุดระหว่างคนชนชั้นวรรณะสูง และ วรรณะต่ำ โดยมีทนายความผู้หวังดีเป็นตัวกลาง ให้ความรู้สึกเหมือนหนังสืบสวนสอบสวนที่เข้มข้น และ ตึงเครียดไปพร้อม ๆ กัน ขณะเดียวกันก็ได้ทำความเข้าใจระบบสังคม ของอินเดียไปด้วย ที่สำคัญเหตุการณ์ ในหนังเรื่องยังอ้างอิง จากเรื่องจริงด้วยนะ ใครอ่าน แล้ว อยากดูสามารถหาชมได้ที่ Amazon Prime Video เท่านั้น เว็บหนัง

ปล. และ Jai Bhim สามารถทำคะแนนโหวตได้สูงมากถึง 9.6/10 ซึ่งแซงหน้าหนังอมตะอย่าง The Shawshank Redemption ที่ 9.3 คะแนน และ The Godfather ที่ 9.2 คะแนน

รีวิว 1917

รีวิว 1917

รีวิว 1917

สำหรับภาพยนต์ฟอร์มยักที่เกี่ยวกับสงครามโลกนั้นแอดขอแนะนำเรื่องนี้เลยครับ เรื่่อง 1917 แอดขอบอกเลยว่า หนังไทยnetflix เป็นหนังที่ดีที่สุดจริงๆ ไม่ว่าะเป็นคุณภาพของหนังบทหนังหรือเทคนิคการถ่ายทำต่างๆ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารอังกฤษ ประกอบด้วย สคอฟิลด์ (จอร์จ แมคเคย์ จาก Captain Fantastic) และ เบลก (ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน จาก Game of Thrones) ได้รับมอบหมายให้ไปร่วมปฏิบัติการที่ดูเหมือนว่าอาจไม่มีทางสำเร็จ พวกเขาต้องข้ามเขตแดนของข้าศึก เพื่อส่งสารสำคัญก่อนทหารพันกว่าคนจะต้องสังเวยชีวิตให้กับกับดักของเยอรมัน

แซม เมนเดส ผู้กำกับอังกฤษเจ้าของรางวัลออสการ์ที่เคยมีผลงานอย่าง American Beauty และ แฟรนไชส์ 007 อย่าง Spectre กับ Skyfall ครั้งนี้กลับมาด้วยงานที่คงเป็นภาพฝังใจเขาแต่เด็ก โดยนำเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของปู่ตนเองที่ชื่อ อัลเฟร็ด เอช. เมนเดส ในวันที่ 6 เมษายน ปี 1917 ครั้งที่เป็นทหารราบในสงครามโลกครั้งที่ 1 บริเวณแนวรบในประเทศฝรั่งเศสระหว่างกองร้อยของอังกฤษกับเยอรมันที่ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด

ทั้งนี้เมนเดสได้เขียนบทด้วยตนเองเป็นครั้งแรกร่วมกับ คริสตี้ วิลสัน-แคร์น (จากซีรีส์ Penny Dreadful) นำเสนอมุมมองที่แตกต่างของหนังสงครามย้อนยุค ซึ่งก็แปลกตาดีกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เครื่องแต่งกาย และ ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ยังไม่หลากหลายทันสมัยอย่างในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่วงการหนังมักชอบยกมานำเสนอมากกว่า ไม่ว่าจะ Saving Private Ryan ของสปีลเบิร์ก หรือ Dunkirk ของโนแลน ก็เป็นหนังสงครามคุณภาพที่ชิงพื้นที่ออสการ์มาแล้วทั้งสิ้น

รีวิว 1917

รีวิวหนังดัง การที่ใช้สงครามโลกครั้งที่ 1 อาจมองเป็นจุดด้อยในแง่การนำเสนอด้านภาพยิ่งใหญ่ที่น้อยหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีจุดแข็งตรงความอ่อนประสบการณ์ ทั้งในแง่คนดูที่ไม่คุ้นชินกับการสู้รบในยุค 1900 ต้น ๆ อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่ได้ประสิทธิภาพสูง พอยืนระยะห่างกันสักหน่อยปืนทหารราบก็เรียกได้ว่ายิงพลาดได้แบบวัดดวงกัน

ทำให้หนังมันดูน่าลุ้นไปอีกแบบ เมื่อรวมกับความอ่อนสถานการณ์ของผู้ชมต่อเนื้อหาประวัติศาสตร์ว่าเกิดอะไรขึ้น และ จะเกิดอะไรต่อไป มันจึงสร้างประสบการณ์แบบอินไปกับตัวหนังได้อย่างกลมเกลียวเพราะเราก็ไม่รู้อะไรมากพอ ๆ กับตัวละครว่าการเดินทางในสมรภูมินิรนามนี้จะจบลงอย่างไร

ความอ่อนประสบการณ์ของตัวละครเองก็สร้างพื้นที่สำคัญในทางปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ในเนื้อหนังอันต่างจากหนังสงครามทั่วไป เพราะโลกยังขาดประสบการณ์แบบที่เรียกว่าสงครามโลก การไตร่ตรองความหมายของการต่อสู้ และ ชีวิตจึงแตกต่างจากหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มุ่งหมายเอาเรื่องการเสียสละ และ ความกล้าหาญเป็นตัวนำ สำหรับ 1917 กลับทำให้เรามองเห็นตัวละครในฐานะคนธรรมดาที่ต้องเข้าร่วมสงครามได้มากกว่า เว็บหนัง

รีวิว 1917

เพราะความกล้าหาญหรือวีรกรรมเล่าขานกลายเป็นเรื่องไร้ค่าสำหรับ สคอฟิลด์ ผู้ทิ้งเหรียญกล้าหาญของตัวเองแลกกับอาหารเครื่องดื่มดี ๆ สักชิ้นอย่างไม่ไยดี เขาไร้จุดหมายที่จะกลับบ้าน และ มองสงครามเป็นเรื่องที่ยากน้อยกว่าการสร้างครอบครัว สงครามไม่ได้มีค่าอะไรกับเขาเท่าการมีชีวิตต่อไปอย่างพอมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ การได้ทานขนมปังแฮมชิ้นเล็ก ๆ ที่หาได้ยากเย็นกลับดูยิ่งใหญ่กว่าสำหรับเขา และ เมื่อเขาถูกทดสอบทางเลือกระหว่างทำภารกิจที่ถูกโอบล้อมในดงศัตรูที่อาจทำให้ตายได้ กับช่วยเหลือหญิงสาวฝรั่งเศสที่บังเอิญพบเจอแล้วสร้างครอบครัวให้เด็กทารกกำพร้าแม่ เขาก็เลือกไปเสี่ยงตายมากกว่าได้อย่างไม่ลังเล

ในขณะที่เพื่อนทหารอีกคนอย่าง เบลก เองก็สะท้อนความอ่อนประสบการณ์ในการมองสงคราม เขาเห็นวีรกรรมเป็นเพียงเรื่องไว้คุยโม้เมื่อกลับบ้าน เพราะเขามีเป้าหมายที่จะกลับบ้านพร้อมพี่ชายของเขาที่อยู่อีกกองร้อย โดยประเมินความเป็นจริงของสงครามต่ำไป อาจเพราะเขาเป็นเพียงทหารแนวหลังที่ห่างจุดปะทะสำคัญ ภารกิจที่เขานึกออกมีเพียงการออกไปหาเสบียงหรือการอ่านแผนที่ทั่วไป

เมื่อได้รับการเรียกตัวด่วนเขาจึงไม่คาดคิดว่าเพียงฉับพลันเขาจะต้องฝ่าแนวรบออกไปเพื่อส่งสารให้กองร้อยที่พี่ชายสังกัดอยู่ โดยแบกภาระชีวิตทหารมากกว่าพันนายไว้กับตัว แม้กระนั้นแรงผลักดันที่ทำให้เบลกมุ่งต่อไปแม้เจออุปสรรคเฉียดตายจนสคอฟิลด์เอ่ยปากให้ทิ้งภารกิจกลับไม่ใช่เรื่องชีวิตทหารมากมายเป็นหลัก หากแต่เป็นเรื่องส่วนตัวอย่างความปลอดภัยของพี่ชายตนเองมากกว่า

จะเห็นได้ว่ามันคือคนหัวคิดธรรมดา ๆ ที่คิดแบบใช้ชีวิตเรียบง่ายปกติสุขจริง ๆ ไม่ได้มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่อะไร แล้วชาวบ้านที่มีความสุขในชีวิตอันเรียบง่าย มองสงครามเป็นเพียงฉากนิยายที่น่าตื่นตาตื่นใจก็ถูกโยนลงกลางสมรภูมิจริง มันจึงคือเรื่องราวของการรู้จักสงครามใหญ่ครั้งแรกของมนุษย์ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ที่ชวนให้ตั้งคำถามว่าบทเรียนแค่นี้ยังไม่เพียงพอให้เข็ดขยาดสงครามอีกหรือ เพราะไม่กี่สิบปีคล้อยหลังมันก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาอีก

รีวิว 1917

การเอานักแสดงนำอย่าง จอร์จ แมคเคย์ และ ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน ที่ภาพลักษณ์ดูอ่อนต่อโลกจึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ทั้งนี้ว่ากันตามตรงตัวหนังอาจไม่ได้มีเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อหรืออัศจรรย์ใจเมื่อเทียบกับหนังสงครามโลกที่ผ่าน ๆ มาที่ต่างใช้วีรกรรมกับสมรภูมิที่โด่งดังมาเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ และ หากดูไปพลอตของหนังเรื่องการเดินทางเพื่อยับยั้งการบุกก่อนเข้าไปติดกับดักก็เป็นพลอตที่เชื่อมโยงกับหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ของ ปีเตอร์ เวียร์

เรื่อง Gallipoli (1981) อยู่ไม่น้อย ในขณะที่ด้านปรัชญาของหนังเองก็ไม่ได้ขวนขวายจะลงลึกให้เกิดพุทธิปัญญาอย่างจะแจ้งชัดเจน หากแต่เรียกร้องให้ผู้ชมเติมเต็มเข้าไปพอสมควร กระนั้นความโดดเด่นของหนังจริง ๆ กลับอยู่ที่โพรดักชันที่งดงาม ละเอียด ประณีต ผ่านการคิดมาอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ศิลป์ ซึ่งถ้าให้จำเพาะชื่อลงไป ก็ต้องกราบโดยตรงไปที่ผู้กำกับภาพของหนังอย่าง โรเจอร์ ดีกินส์ ผู้กำกับภาพเบอร์หนึ่งของโลกในยุคสมัยนี้

หนังถูกคิดแบบหนังเทคเดียว คือกล้องจับภาพลองเทคยาวตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเนื้อเดียวกัน โดยใช้กลเม็ดคือ Hidden Editing อาศัยจังหวะการเคลื่อนกล้องผ่านวัตถุหนึ่งจนภาพวัตถุเต็มเฟรมเพื่อซ่อนคัตของหนังที่ไม่ต่อเนื่องกันให้ดูเหมือนลื่นไหลยาวไป อันเป็นเทคนิคที่ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ผู้กำกับชั้นครูทำให้โด่งดังขึ้นมาจากหนัง Rope (1948) ที่ทำให้หนังลองเทคจำนวน 10 คัตสามารถร้อยเรียงดูคล้ายหนังเทคเดียวทั้งเรื่องได้ เว็บดูหนัง

บทสรุป 1917

รีวิวหนังดัง แต่ความน่าสนใจของหนัง 1917 นั้นก็ต้องยอมรับว่า ฉากสงครามเป็นฉากที่ใหญ่ หลุมเพลาะที่ขุดยาวกว่า 5,000 ฟุต เพื่อใช้ถ่ายทำ ไหนจะซากเมืองทั้งกลางวันกลางคืน การถ่ายลองเทคในพื้นที่เปิดโล่งก็มีข้อจำกัดมากมายทั้งว่ายากต่อการจัดแสง และ ต้องพึ่งพาการวางแผนกับแสงธรรมชาติ

การควบคุมกลุ่มนักแสดงเรือนร้อย และ อุปกรณ์ประกอบฉากต่าง ๆ ให้ทำงานถูกต้องถูกจังหวะเมื่อเฟรมกล้องเคลื่อนไปสัมผัสก็ย่อมยากกว่าหนังที่ถ่ายลองเทคในสตูดิโอที่ควบคุมทุกอย่างได้หมด (ที่จุดบุหรี่จุดไม่ติดก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้หนังต้องถ่ายทำใหม่หลายเทคได้อย่างไม่น่าเชื่อ) แถมในความยากพวกเขาก็ไม่ละทิ้งความสมบูรณ์

เมื่อมีตัวละครในฉากตายเราจะเห็นเขาค่อย ๆ หน้าซีดลงจากเดิม ซึ่งต้องอาศัยความว่องไว และ แม่นยำระหว่างการเคลื่อนกล้อง และ การแสดง รวมถึงทีมงานเมกอัปที่เข้าไปให้ทันท่วงที เพื่อเปลี่ยนสีหน้านักแสดงโดยยังรักษาความต่อเนื่องของเทคไว้ได้

ในขณะที่หลายฉากถูกออกแบบอย่างสวยงาม และ เป็นที่น่าจดจำแทบทุกฉาก ตั้งแต่หลุมเพลาะในกองร้อยของตัวเอก แอ่งโคลนที่เต็มไปด้วยลวดหนาม และ ซากศพ อุโมงค์ลับของเยอรมัน สนามปืนใหญ่ที่ปลอกกระสุนเกลื่อนกลาด ทุ่งกว้างตัดกับขอบฟ้า ฟาร์มเลี้ยงวัวที่ถูกทิ้งร้างกับต้นเชอร์รี่สีขาว โรงนาที่ถูกเครื่องบินตกใส่

เมืองร้างที่มีเยอรมันเฝ้าในห้วงเวลากลางคืนที่พลุไฟถูกยิงวาดโค้งในอากาศจนเกิดเป็นมิติระหว่างแสงเงาอย่างน่าพิศวง (ฉากนี้เด็ดดวงมาก) โบสถ์สูงที่ไฟลุกไหม้จนควันสีส้มคลุ้งคลุมเมือง (ใช้อุปกรณ์จัดแสงขนาดใหญ่เหมือนตึกหลายชั้น – เชื่อว่าเป็นหนึ่งในการจัดแสงที่ใหญ่ที่สุดที่วงการหนังเคยทำขึ้นมา) สายน้ำที่เชี่ยวกราก และ มากมวลด้วยซากศพลอยติดตลิ่ง

รีวิว 1917

จนถึงจุดปะทะในแนวหน้าของสงครามที่ต้องวิ่งผ่าลูกกระสุนปืนใหญ่ จนถึงฉากสุดท้ายที่จบลงตรงต้นไม้ราวกับวนกลับมายังฉากเปิดเรื่องอีกครั้งในอารมณ์ความคิดของตัวละครที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในเวลาไม่กี่ชั่วโมงของวัน หนังมันทำสำเร็จจนเราแยกฉาก และ จดจำมันได้ทั้งหมดจริง ๆ เรียกว่ามีภาพจำสวย ๆ ในฉากของหนังเยอะมาก และ นอกเหนือจากนั้นการเคลื่อนกล้องยังฉกฉวยจังหวะสำคัญได้อยู่มือ

ไม่ว่าจะความตื่นเต้นของการค่อย ๆ ตามหลังตัวละครโผล่พ้นหลุมเพลาะสู่ทุ่งโล่งที่อาจโดนยิงใส่ หรือการโคลสอัปตัวละครสลับกับขนาดภาพต่าง ๆ โดยการเคลื่อนแบบลองเทค ผสานไปกับดนตรีประกอบที่ทำหน้าที่เปลี่ยนโมเมนตัมทางอารมณ์ผ่านฉากเดียวได้อย่างน่าสนใจ มีบ้างที่รู้สึกเล่นใหญ่เกินภาพอย่างฉากการลอบถึงแนวหลุมเพลาะของเยอรมัน แต่นั้นก็เป็นจุดฉุกใจครั้งเดียวในหนังตลอดเรื่อง

ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเหตุผลที่อาจพูดได้ว่าในทางโพรดักชันไม่มีเรื่องไหนที่ดีงาม และ ท้าทายมากไปกว่าหนังเรื่องนี้อีกแล้วสำหรับปีที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้

ข้อเสียที่พบในหนังเป็นเรื่องของดาบสองคมในการเลือกการเล่าแบบเทคเดียว เพราะหนังสร้างจุดอ้างอิงไว้แต่ต้นว่านี่คือภารกิจเดินเท้าแบบเร่งด่วนที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงเพื่อจะถึง แต่เมื่อหนังมีความยาวเพียงราว 2 ชั่วโมง การอ้างอิงระยะทางของสถานที่ต่าง ๆ จึงต้องถูกบิดเบี้ยวไปจนขาดความสมจริง ไม่ว่าจะการรับรู้เรื่องความใกล้ไกล

อย่างฉากโรงหน้าที่ตัวละครไม่รู้ตัวเลยว่ามีขบวนรถของทหารวิ่งมาใกล้แบบห่างไปไม่กี่เมตร หรือการเดินทางจากเมืองสู่เมืองที่ดูสั้นกว่าความเป็นจริงมาก ยังไม่นับท่าทีการแสดงที่ประหนึ่งตัวละครเป็นนักแสดงบนละครเวทีที่ใช้การเคลื่อนตัวไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนฉาก และ อารมณ์ได้แล้ว โดยเฉพาะฉากสุดท้ายยิ่งชัดเมื่อตัวละครเปลี่ยนมู้ดของฉากแล้วเดินสู่ต้นไม้ราวกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างก่อนหน้าละลายหายไปแล้ว ดูหนัง

แบบไฟบนสเตจของฉากก่อนหน้าโดนดับไฟลง ก็อาจเป็นสิ่งที่ แมซ เมนเดส จงใจให้ออกมาลักษณะเหมือนละครเวทีดังกล่าว แต่มันก็ทำลายความสมจริง อินในสถานการณ์ที่หนังใช้ทั้งฉาก ภาพ การเคลื่อนกล้องสร้างสมมาตลอดเรื่องทิ้งไปด้วย และ อีกส่วนก็มาจากความสมจริงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูผิดเหตุผลไปหมดเช่นว่าภารกิจสำคัญอย่างนี้ เหตุใดผู้นำทัพจึงเลือกเสี่ยงให้คนสองคนไปทำ แทนที่จะส่งออกไปเป็นคู่ ๆ หลาย ๆ เส้นทางแยกกัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น

 

รีวิว shershaah

รีวิว shershaah

รีวิว shershaah

สวัสดีคร้าบวันนี้แอดจะมารีวิวหนัง Shershaah เป็นหนังช่วงสงคราม หนังไทยnetflix ในช่วงยุคปลาย 80 เป็นหนังใน ปี 2021 ที่แอดรับประกันว่าการดูเรื่องนี้จะคุ้มค่ามากๆ หนังเรี่องนี้ให้ข้อคิดอย่างมาก ภาพยนตร์สัญชาติอินเดีย ที่สร้างจากเรื่องจริง ของ Vishal Batra และ Vikram Batra พี่น้องฝากแฝด และ การออกรบในสงครามอินเดีย ที่มีหลากหลายอารมณ์ ทั้ง แอคชั่น ดราม่า เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในช่วงปลายยุค 80 เว็บหนัง

รีวิว shershaah

รีวิวหนังดัง เรื่องราวที่เข้มข้นชวนให้เกาะติดทุกสถานะการณ์ สามารถติดตาม ดูหนัง Shershaah ได้ที่ Amazon Prime Video สิ่งแรกที่นึกขึ้นได้เมื่อเชอร์ชาห์เปิดเผยคือ: วีรบุรุษสงครามสมควรได้รับภาพยนตร์ที่มีส่วนร่วม และ มีพลังมากขึ้น เป็นเรื่องราวที่เคร่งขรึม และ เคร่งขรึมอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับชีวิต และ อาชีพสั้น ๆ ของกัปตันกองทัพบกวัย 25 ปีที่เสียชีวิตจากการสู้รบในสงครามคาร์กิลปี 2542 แต่ต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึงที่ใดที่ใกล้จะเต็มกำลัง

ด้วยน้ำเสียง และ การปฏิบัติที่ Shershaah เลือกใช้ การหาประโยชน์จากกัปตัน Vikram Batra ในฐานะเจ้าหน้าที่ และ สุภาพบุรุษรวมกันเป็นเรื่องเล่าที่หันไปใช้จังหวะที่กว้างกว่าการเจาะลึกถึงความแตกต่างของวิวัฒนาการของฮีโร่ที่มียศศักดิ์ในฐานะชายผู้กล้าหาญพิเศษที่เขากลายเป็น

รีวิว shershaah

ฝาแฝดที่เหมือนกันของตัวเอกเป็นผู้เล่าเรื่อง แต่เขาเหมือนกับคนอื่นๆ ในครอบครัวของทหาร ถูกผลักไสให้อยู่นอกโครงเรื่อง การตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์ที่ป้องกันไม่ให้เชอร์ชาห์กลายเป็นเรื่องราวที่ครอบคลุมซึ่งคร่อมความกล้าหาญพิเศษของผู้พลีชีพ ตลอดจนความเข้มแข็งของพ่อแม่พี่น้อง

ภาพยนตร์สงครามที่กำกับโดยพระนารายณ์ Varadhan อำนวยการสร้างโดย Dharma Productions ของ Karan Johar และ สตรีมบน Amazon Prime Video รวบรวมชิ้นส่วนของชีวิตที่แกะสลักจากรายละเอียดที่เป็นเอกสาร และ จัดวางในโครงสร้างเชิงเส้นที่น่าขนลุก

รีวิว shershaah

นักแสดงนำ Sidharth Malhotra มีสิ่งที่จะทำให้เนื้อตัวผู้พลีชีพในชีวิตจริงที่ทิ้งไว้เบื้องหลังออร่าที่ใหญ่กว่าชีวิต แต่วิวัฒนาการของบุคลิกภาพที่แข็งแกร่งดุจเล็บของตัวละครที่อยู่ที่ฐานของสนามรบของเขา derring- do จะถูกส่งในรูปแบบของ driblets ตื้น ๆ ซ้ำซาก

กัปตัน Batra ซึ่งมีชื่อรหัสว่า Shershaah ก่อนปฏิบัติการสำคัญในช่วงสงคราม Kargil ทำให้โลกมีสายสัมพันธ์ว่า “Yeh dil maange more” น่าเสียดายที่หนังเกี่ยวกับเขา และ ชีวิตสั้นของเขาไม่มีพลังขับเคลื่อนที่จะทำให้คุณขออะไรอีก

เมื่อเผชิญหน้า Shershaah ซึ่งเขียนบทโดย Sandeep Shrivastava มองหาโศกนาฏกรรมของชีวิตที่ถูกตัดขาดจากสงคราม เช่นเดียวกับความกล้าหาญ และ เกียรติยศที่มีอยู่ในการเสียสละสูงสุดของกัปตัน Batra อย่างไรก็ตาม มันใช้วิธีการที่ไม่เสี่ยงอันตรายเพื่อสร้างเรื่องราวที่เป็นสาธารณสมบัติมากว่าสองทศวรรษแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีการเปิดเผยที่น่าตกใจที่เชอร์ชาห์เตรียมไว้สำหรับผู้ชม

เมื่อยังเป็นเด็กที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น Vikram ต่อสู้กับคนพาลที่ไม่ยอมคืนลูกคริกเก็ต พ่อของเขาซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนในเมืองปาลัมปูร์ รัฐหิมาจัลประเทศ พาลูกชายไปทำภารกิจ และสงสัยว่าเขาจะลงเอยด้วยการเป็นอาชญากรหรือไม่ Vikram พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน: “Meri cheez mere se koi nahi chheen sakta (ไม่มีใครสามารถฉวยสิ่งที่เป็นของฉันได้)”

รีวิว shershaah

เป็นความก้าวหน้าทางธรรมชาติต่อจากนี้ไป ละครโทรทัศน์เรื่อง Param Vir Chakra ช่วงปลายทศวรรษ 1980 โดยเฉพาะตอนหนึ่งของ Major Somnath Sharma ของ Palampur ผู้รับรางวัลความกล้าหาญสูงสุดของอินเดียคนแรกได้สะกด Vikram

เด็กชายเริ่มสวมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการต่อสู้ไปงานปาร์ตี้ และ งานสังสรรค์ทางสังคมเพื่อสร้างความอับอายให้กับครอบครัวที่เหลือของเขา แต่จิตใจของเด็กชายถูกสร้างขึ้น เขาให้ทุกคนรอบตัวเขารู้ว่าเขาจะเป็นทหารปกป้องพรมแดนในวันหนึ่ง

เรื่องราวต่อไปของ Vikram Batra เกิดขึ้นในวิทยาลัย Chandigarh ซึ่งตอนนี้เขาเป็นเด็กรัดตัว และ ตกหลุมรักเพื่อนร่วมชั้น Dimple Cheema (Kiara Advani) เมื่อความรักในวิทยาเขตเบ่งบาน พ่อแม่ของเขา พี่สาวสองคนของเขา และ Vishal น้องชายฝาแฝดที่เหมือนกันของเขา (แสดงโดย Sidharth Malhotra) ก็ถูกผลักไปที่ปีก

Dimple Cheema เป็นซาร์ดาร์นี พ่อของเธอเสียชีวิตแล้วเพราะลูกสาวของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กชายปัญจาบคาตรี แต่จำไว้ว่าไม่มีใครสามารถเอาสิ่งที่ Vikram Batra ตั้งเป้าไว้ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เจอสิ่งกีดขวางบนถนนเมื่อ Vikram ถูกจับในสองความคิดในอนาคตของชีวิตของเขา

ด้วยความคิดของ Dimple เขาจึงไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าควรไล่ตามความฝันในวัยเด็กในการเข้าร่วมกองทัพหรือตั้งรกรากสำหรับงาน Merchant Navy ที่ได้รับเงินเดือนสูง ในท้ายที่สุด ไม่มีรางวัลให้เดา เขาทำการตัดสินใจที่ถูกต้องโดยคนรักของเขา และ ซันนี่ (ซาฮิล เวด) เพื่อนสนิทของเขา ดูหนัง

สรุป shershaah

รีวิวหนังดัง แปดสิบนาทีของภาพยนตร์ – เวลาแสดงของเชอร์ชาห์คือ 135 นาที – ใช้จ่ายในการจัดฉากสำหรับวีกรามวีรสตรี ตอนแรกในเมืองโซพอร์ ตำแหน่งของการโพสต์ครั้งแรกของเขา ซึ่งเขาได้พัฒนาความสนิทสนมกับรุ่นพี่ และ รุ่นน้อง และ จากนั้นใน ความขัดแย้งในคาร์กิลที่บังคับให้เขาต้องเดินทางกลับไปยังจันดิการ์เพื่อพบกับดิมเพิล และ ให้ความมั่นใจกับเธอว่าความรักของเขามีไว้ให้คงอยู่

ในการขี่ในฉากต่อสู้ที่ตามมา เชอร์ชาห์ได้รับโมเมนตัมในขณะที่ผู้เล่นทุกคนทั้งก่อนหน้า และ หลังกล้อง รวมถึงผู้กำกับภาพ (คามัลจีต เนกิ) นักออกแบบท่าเต้น และ นักแสดงนำต่างก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย จังหวะที่ตั้งใจไว้ของสองควอเตอร์แรกของเรื่องนั้นเร็วเกินไป และเชอร์ชาห์ก็ทำบางอย่างที่คล้ายกับจังหวะ

“อยู่โดยบังเอิญ รักโดยเลือก และฆ่าโดยอาชีพ” เป็นคติประจำใจของ Vikram ในการเป็นทหาร แม้ว่าการสูญเสียเพื่อนในสงครามจะทำให้เขาไม่พอใจ เขาก็ไม่หยุด อันที่จริง เขาสาบานว่าเขาจะทำทุกอย่างในอำนาจของเขาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บล้มตายในฝั่งอินเดีย

“จะไม่มีใครตายบนนาฬิกาของฉันอีก” ร้อยโทปืนไรเฟิลจัมมูและแคชเมียร์ผู้กล้าหาญ 13 คนบอกกัปตันซานจีฟ “จิมมี่” จัมวาล (ชีฟ บัณฑิต) รุ่นพี่ของเขาในกองทัพอินเดียหกเดือน “หากมีผู้บาดเจ็บรายอื่นนอกจากศัตรู มันจะเป็นฉันเอง” วิกรมกล่าว

พ.ต.ท. วาย.เค. หัวหน้านายทหารหนุ่ม โจชิ (ชิตาฟ ฟิการ์) มองเห็นประกายไฟของทั้งวิกกี้และจิมมี่อย่างรวดเร็ว และไม่ลังเลเลยที่จะยอมรับว่าทั้งสองเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดของเขา น่าเสียดายที่ตัวละครของจิมมี่และตัวละครอื่นๆ อีกหลายคนได้รับการรับประกันอย่างไม่มีการลดหย่อน นักแสดงที่เล่นบทบาทรองเหล่านี้ – Shiv Pandit, Nikitin Dheer, Anil Charanjeett – มีเพียงฉากหลงทางที่จะทำให้การปรากฏตัวของพวกเขามีค่า เป็นการต่อสู้ที่พ่ายแพ้

ด้วยความเมตตา เชอร์ชาห์ไม่หันไปใช้การตีหน้าอกและการโบกธง มันเฉลิมฉลองทหารผู้กล้าหาญ อย่างไรก็ตาม ฮีโร่นี้ไม่ได้มอบให้กับความกล้าแสดงออกหรือความองอาจ เขาเป็นคนหัวใสที่รู้ว่าเขาต้องทำอะไรและพยายามทำมันด้วยความตั้งใจแน่วแน่

นั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นในระดับหนึ่ง พลังยิงในโรงภาพยนตร์และหินเหล็กไฟเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เชอร์ชาห์สูงขึ้น – และไกลออกไป – ในฐานะละครสงคราม เว็บดูหนัง

ฉายวันที่ : 12 สิงหาคม 2021
ผู้กำกับ : Vishnuvardhan
นำแสดงโดย : Sidharth Malhotra, Kiara Advani, Shiv Panditt
ชื่อหนัง : Shershaah (2021)
IMDB : 8.9