Tag Archives: รีวิวหนังผี netflix

รีวิว pacific rim

รีวิว pacific rim

รีวิว pacific rim

รีวิวหนังดัง หลังจากที่ผมได้ลองกลับไปดูแปซิฟิก ริม ใหม่อีกรอบนึงก็ทำให้ผมนึกย้อนถึงไวเด็กๆเลย และผมคิดว่า แปซิฟิก ริม นั้น ทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนี้ มาชีนก้า ซี ( หรือแซด ) กับ เกรท มาชีนก้า มากๆ โดยเฉพาะฉากที่ปล่อยยานบังคับที่มีคนควบคุมอยู่ภายใน ( 2 คน ) ลงไปที่ส่วนศีรษะของหุ่น ไม่แน่นะ ต่อไปอาจมีหุ่นแนว ยานหลายลำมาต่อเป็นส่วนแขนส่วนขาของหุ่น ถ้าไม่คล้าย กับ Getter robo ก็อาจจะคล้ายพวก เรนเจอร์ไปเลย

“เจ้าสัตว์ประหลาดแกตายซะเถอะ” นี่เป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากความทรงจำของเด็กผู้ชายในวัยเพิ่งสิ้นกลิ่นน้ำนม ของขวัญที่แม่มอบให้ในวันนั้นยังคงคุกกรุ่นอยู่ในวันนี้ หุ่นประกอบที่เราเลือกจับมาหยิบต่อสู้กับเจ้าสัตว์ประหลาดยังระรานอยู่ในความทรงจำครั้งเยาว์วัย ไม่มีช่วงเวลาใดที่มอบความสุขให้เท่าโลกจินตนาการที่เราปั้นแต่งขึ้นมา แล้ว ดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเองตลอดระยะที่เรารับบทผู้สร้างสรรค์ เราเลือกแบ่งฝักฝ่ายให้กับหุ่นประกอบของเรา เราใช้สังเวียนที่นอนเป็นที่ต่อสู้เติมเต็มจินตนาการของเรา ดูหนังออนไลน์

รีวิว pacific rim

รีวิวหนังดัง Pacific Rim เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เมื่อกองทัพสัตว์ประหลาดที่โหดร้ายในนามของ ไคจู อุบัติขึ้นมาจากทะเล จึงเกิดสงครามที่คร่าชีวิตคนนับล้าน และ ทำลายทรัพยากรของมนุษย์มานานหลายปี ในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ ไคจู

ทำให้ต้องมีการประดิษฐ์คิดค้นอาวุธพิเศษขึ้นมา หุ่นยนต์ยักษ์ที่เรียกว่า เจเกอร์ส ซึ่งต้องควบคุมพร้อมกันโดยผู้ควบคุม 2 คน จิตของพวกเขาจะถูกเชื่อมต่อกับสะพานกระแสจิต แต่ถึงแม้เจเกอร์สจะพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่สามารถปกป้องผู้คนให้พ้นจากไคจูจอมอึดได้ บนเส้นทางแห่งความพ่ายแพ้

รีวิว pacific rim

กองกำลังแห่งมนุษยชาติไม่มีทางเลือก ต้องหวนไปหากลุ่มฮีโร่ที่ไม่น่าเชื่อ ทั้ง 2 คนอย่างอดีตนักบินตกอับ ( ชาร์ลี ฮันแนม ) และ ผู้ฝึกหัดที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ ( ริงโกะ คิคูชิ ) ผู้ต้องมาร่วมทีมกันสร้างตำนานเจเกอร์สที่ตกยุคจากอดีต และ พวกเขายังยืนหยัดอยู่เป็นความหวังสุดท้ายของเหล่ามวลมนุษย์ที่ต้องต่อสู้กับหายนะล้างโลกที่กำลังทวีคูณ

ภาพยนตร์ใช้เวลาเปิดเรื่องโดยให้น้ำหนักไปกับ ราลีห์ เบ็กเก็ตต์ ( ชาลี ฮันแนม ) คนบังคับหุ่นที่ชะล่าใจทำให้สัตว์ไคจูมาทำร้ายจนสูญเสียพี่ชาย และ ไม่สามารถกลับมาร่วมงานคู่กับใครได้อีก จนกระทั่งพบกับหญิงญี่ปุ่นมาโกะ โมริ ( ริงโกะ คิคูจิ ) ที่มีภูมิหลังไม่ดีเกี่ยวกับความทรงจำเช่นกัน

ไซไฟหรือแฟนตาซี

ภาพยนตร์ใช้วิธีพ่นคำว่าวิทยาศาสตร์มากมายเพื่อให้เรื่องเกิดความสมจริงซึ่งถือเป็นมาตรฐานของหนังฮอลลีวู้ดที่ทำให้หนังหลายเรื่องที่มีเนื้อแท้เป็นนิทานเรื่องเล่าแบบแฟนตาซีถูกดัดแปลงให้เข้าใกล้ความจริงมากขึ้นด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเรื่องนี้ในแง่เรื่องราวที่เราเห็นมีนิมิตรหมายเป็นแฟนตาซีอยู่มากพอสมควรอาจเพราะเรารู้สึกได้ว่าหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากญี่ปุ่นอยู่หลายส่วน ผู้เขียนรู้สึกว่ายิ่งพยายามมากเกินไปเท่าไรยิ่งทำให้เรื่องราวมันเสียความบริสุทธิ์ของตัวมันเองมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งมันก้ำกึ่งระหว่างความเป็นหนังไซไฟก้ำกึ่งกับหนังแฟนตาซี จนอาจพูดได้ว่ามันไม่ดีเด่นสักทาง

รีวิว pacific rim

แอคชั่นแบกหนังทั้งเรื่อง

ในแง่เรื่องราวหรือความหนักแน่นของบทก็ ต้องบอกว่าไม่ใช่ที่ทางของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยเพราะสิ่งที่เป็นความโดดเด่นคือฉากแอคชั่นหุ่นยักษ์ และ หุ่นสร้าง 3 มิติ ที่ประเคนใส่ผู้ชมตลอดเรื่อง การตัดต่อ ฉับไวถูกระดมใส่เข้ามาไม่หยุดยั้ง การตัดสลับหนักหนาสาหัสเพราะ ต้องเปลี่ยนภาพจากตัวหุ่นเข้ามาสู่ผู้บังคับบัญชารวมถึงสถานการณ์ของการต่อสู้ด้วย จึงทำให้การเลือกช็อตมานั้นมหาศาลถึงขึ้นระรานตาหรือมองแทบไม่ทัน ดูหนัง

ข้อสังเกตบางประการ

สิ่งที่น่าสงสัยสำหรับประเด็นนี่คือ ทำไมตัวไคจูมักออกมาในช่วงที่ฟ้าสางหรือกลางค่ำกลางคืนที่มืดมิดจนมีปัญหาในความชัดเจนที่ทำให้ผู้ชมไม่ได้รับอย่างเต็มรูสองตา จนผู้เขียนจำไม่ได้ว่ามีฉากไหนหรือไม่ที่เราเห็นฉากต่อสู้เด่นชัดจน เห็นรายละเอียดของหุ่นที่ทุ่มเงินไปมหาศาลอย่างมากมายได้ประจักษ์ชัด เพราะเราถูกความมืดปกคลุมจนแทบจะต้อง ใช้จินตนาการรับชม หากเป็นความตั้งใจของการออกแบบงานสร้างเพื่อเรียกร้องจินตนาการก็ถือว่าจัดเต็มได้ดี แต่ผู้เขียนเคยได้ยินมาว่าการที่ฉาก Cg นั่นต้อง อยู่ในสภาพมืดเพื่อป้องกันเห็นรอยแผลจากงานสร้างที่ทำหน้าที่ไม่ได้เต็มประสิทธิภาพมากนัก

สรุป pacific rim

รีวิวหนังดัง ปัญหาอีกประการที่ผู้เขียนรู้สึกตะหงิดใจตลอดเวลาการรับชมคือ ขณะที่ ราลีห์ เบ็กเก็ตต์ กับ มาโกะ โมริ เข้าคู่แท็คทีมบังคับหุ่นกันในช่วงสำคัญของเรื่อง หรือแทบจะตลอดเรื่อง ทำไมเราไม่เห็นการบังคับหุ่นของมาโกะ ที่มากพอ เห็นแค่เฉพาะตัว ราลีห์ สั่งการเท่านั้น นี่คือความต้องการที่เราจะเห็นแต่เราไม่ได้รับการตอบสนองที่เพียงพอ จนเสมือนว่ามาโกะไม่ได้ถ่ายทำฉากเหล่านั้นด้วยซ้ำไป นี่ทำให้เรารู้สึกเสมอว่ามันมีรายละเอียดงานสร้าง ๆ ที่ขาด ๆ เกิน ๆ เสมอในภาพยนตร์เรื่องนี้

ผู้เขียนให้ความสำคัญจับผิดละเล็กละน้อยเพราะฉากเหล่านั้นที่กล่าวไปคือหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้จริง ๆ เพราะอย่างที่แซ่ซ้องไปแล้วว่า เรื่องราวหรือบทของภาพยนตร์ไม่มีส่วนใดให้น่าติดตามหรือดึงดูดความสนใจกระทั่งเก็บมาเขียนต่อ ได้ยาว ๆ เลย จะมีความน่าสนใจในส่วนเรื่องของการแชร์ความทรงจำร่วมกันในการบังคับหุ่นซึ่งเราเห็นว่าภาพยนตร์ใช้เวลาเน้นน้ำหนักไปกับตัวมาโกะมากมาย ในความทรงจำยามเด็กซึ่งเป็นการสร้างความน่าสนใจของภูมิหลังของเธอ แต่หาใช่เพื่อทำให้เธอเรียนรู้ที่จะผ่านไปหรือไม่ แต่อย่างใดเพราะ ต้องการเพิ่มน้ำหนักให้กับความเป็นคนดีของผู้การสแตร๊คเกอร์ (ไอดริส เอลบา) เสียมากกว่านั่นเอง

ตรงดิ่งสู่เป้าหมาย

อีกส่วนที่ขอกล่าวถึงคือการดำเนินเรื่อง และ ความสำคัญของเรื่องราว ผู้ชมถูกรับรู้ว่ามีการบุกรุกของตัวไคจู ซึ่งแน่นอนเป้าหมายคือการกำจัด และ การกำจัดคือเป้าหมายแรกตั้งแต่ต้นยันจบเรื่อง แล้ว หนังก็ให้น้ำหนักเทไปตั้นแต้ต้นเรื่องเลย ซึ่งทำให้ผู้ชมคาดเดา แล้ว โฟกัสไปถึงที่หมายได้รวดเร็วตั้งแต่ต้น แต่ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน ทำให้ฉากแอคชั่น ต้องแบกหนังไว้ทั้งเรื่องเพราะเนื้อเรื่องมันเป็นสิ่งตรงดิ่งเส้นเดียวคือต้อง กำจัดไคจูสถานเดียว ไม่ได้ลัดเลาะเลียบทางด่วนหรือที่เรียกว่าชั้นเชิงไปยังจุดหมายอื่นใด อาจมีบ้างตรงที่ขายความตลกของ ชาร์ลี เดย์,เบิร์น กอร์แมน และ รอน เพิร์ลแมน ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนผ่อนคลาย ต่อเส้นเรื่องหลักได้เป็นอย่างมาก เพราะเส้นเรื่องมันเดินตรงแข็งทื่อจนขาดชั้นเชิงมากไป และ เชื่อว่าถ้าหนังขาดตัวละครทั้งสามนี่ไปมีสิทธ์ที่จะ ต้องลาหลับกันได้เลยทีเดียว

ผู้การเหมือนใคร ?

ประเด็นสุดท้ายที่กล่าวถึงคือเรื่องความยิ่งใหญ่ของการทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมที่เป็นแก่นหลักขอหนังจนถึงฉากสำคัญสุดท้ายซึ่งหนังเน้นย้ำโดยใช้ผู้การสแต๊คเกอร์เป็นแกนนำ ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ถูกถ่ายทอดด้วยความยิ่งใหญ่ในฐานะผู้ผลิตหนังส่งออกอย่างฮอลลีวู้ดอีกครั้ง ตัวละครตัวนี้เป็นภาพสะท้อนถึงคุณงามความดีตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้ายที่ทำเพื่อโลกหรือชาติด้วยความเสียสละเป็นจุดศูนย์รวมอย่างยิ่งใหญ่ที่สำคัญมีฉากการกล่าวสุนทรพจน์ย่อม ๆ ต่อคนงานสหประชาชาติเสียด้วย ทำให้อดคิดไปไม่ได้เลยว่า ความหมายแฝงของผู้การสแต๊คเกอร์นั่นคล้ายคลึงกับใครที่มากกว่าเพียงแค่สีผิวเท่านั้น

เร้าอารมณ์ไม่ดีพอ

และ ปัญหาสำคัญของเรื่องนี้คือใช้การทำหน้าที่แบบ Complimentary ได้ไม่สมประกอบนั่นคือชักจูงด้วยองค์ประกอบทางภาพยนตร์เพื่อแสดงอารมณ์ให้เรถึงที่สุดได้ไม่เพียงพอซึ่งผู้เขียนคิดว่ายังทำหน้าที่ได้ย่ำแย่กว่า Transformer ด้วยซ้ำไป มันทำให้ในจังหวะหน้าสิ่วหน้าขวานที่เรา ต้องยินดี ต่อความสำเร็จหรือโศกเศร้า ต่อความเสียใจไปไม่ถึงคุณภาพของหนังระดับนี้เลย จนขนาดถึงขั้นเข็นลากชักจูงเราไปมากกว่าให้เรารู้สึกสมยอมแต่โดยดี ดูหนังออนไลน์

ทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้เห็นว่าภาพยนตร์ Pacific Rim ให้ความสำคัญการฉากแอคชั่น และ กระบวนการผลิตหุ่น และ งานด้านคอมพิวเตอร์ เป็นสำคัญซึ่งทำได้ในระดับที่เกินหน้าเกินตาเพียงแต่มันไม่ได้ช่วยหรือไปพร้อมกับส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ควรเป็น และ ถึงแม้หนัง กิลเลอร์โม่ เดอโทโร่ จะทิ้งประเด็นเรื่องหุ่นอนาล็อก กับหุ่นดิจิ ตอลไว้น่าคิด นั่นคือแค่ไฟดับลงความดิจิตอล ก็แทบมลาย ต่างจากเครื่องใช้อนาล็อกที่พร้อมใช้ตลอดเวลาไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงไร ซึ่งเป็นประเด็นร่วมสมัยที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางอีกนานเท่านาน

ถ่ายทำ
การถ่ายทำเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 และ ดำเนินต่อ ไปในโตรอนโตจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2555 เดล โทโรให้ข้อมูลอัปเดตหลังจากสัปดาห์ที่สองของการถ่ายทำเสร็จสิ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกว่าSilent Seas และ Still Seasในระหว่างการผลิต

del Toro ไม่เคยยิงฟิล์มในเวลาน้อยกว่า 115 วัน แต่มีเพียง 103 ในการถ่ายภาพPacific Rim เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ เดล โทโรจึงกำหนดหน่วยเสี้ยนที่เขาสั่งได้ตั้งแต่เช้า ก่อนหน่วยหลัก และ ในวันหยุดของเขา ผู้กำกับทำงาน 17 ถึง 18 ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ สำหรับตารางส่วนใหญ่ เดล โทโรใช้แนวทางใหม่ในการกำกับนักแสดง อนุญาตให้เคลื่อนไหว “หลวม” และ ด้นสด ผู้กำกับยังคงควบคุมการผลิต อย่างเข้มงวด: “ทุกอย่าง 100% จะผ่านฉันไปไม่ช้าก็เร็ว ฉันไม่ได้มอบหมายอะไร บางคนชอบมัน บางคนไม่ชอบ แต่ต้องทำแบบนั้น”

+++++++++++++++++++++++++++++++

Pacific Rim ได้พยายามสร้างภาพจินตนาการขึ้นอีกครั้งให้เด่นชัดขึ้นมาในสิ่งที่เรียกว่าภาพยนตร์ แต่บางครั้งภาพยนตร์ก็ต่างจากจินตนาการ เพราะภาพยนตร์ได้สร้างภาพขึ้นให้จินตนาการมีตัวตนดั่งความจริง ซึ่งใช้ได้เพียงบางเรื่องราว และ โอกาส เท่านั้น เพราะบางครั้งจินตนาการก็มีมนต์ขลังสุดเสน่ห์ ซึ่งภาพของเครื่องจักรไม่สามารถเนรมิต และ ดัดแปลงได้เลย ดูหนัง

รีวิว Godzilla vs Kong

รีวิว Godzilla vs Kong

รีวิว Godzilla vs Kong

 

รีวิวหนังดัง หากจะพูดถึงหนังสัตว์ประหลาดถล่มโลกหนังมอนเตอร์นั้น ก็อตซิล่านั้นเป็นหนึ่งในนั้น เป็นมอนเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยใน Godzilla: King of the Monsters นั้นเราจะได้เห็นการต่อสู้ของบรรดาเจ้าสัตว์ยักษ์จนบ้านเมืองพังถล่มทลาย และ ท้ายที่สุด Godzilla ได้รับการอนุเคราะห์ังจาก Mothraื จึงสามารถเอาชนะ Ghidorah อสูรกายจากต่างดาวลงได้ จนในท้ายที่สุด ก็ได้ขึ้นเป็นราชันย์ ปกครองเหล่าอสูรยักษ์ทั้งมวล แล้วเจ้า Godzilla ก็กลับไปอยู่ในที่ ๆ ควรอยู่

ในช่วงแรกที่เราได้ยินข่าวของหนังภาคต่อว่า Kong ขวัญใจชาวอเมริกา จะมาต่อสู้กับเจ้า Godzilla ขวัญใจชาวญี่ปุ่น ทุกคนก็ตื่นตาตื่นใจ แล้วตั้งคำถามว่า เจ้า Kong นั้นจะสู้ได้หรือไม่ เพราะขนาดของตัวนั้นต่างกันเหลือเกิน แต่เมื่อเราได้เห็นตัวอย่างก็เห็นว่า Kong กลับมีร่างกายใหญ่โตที่สูสีกัน แถมยังมีอาวุธเป็นขวานหน้าตาประหลาด แถมยังต่อย Godzilla หน้าหงายอีกด้วย

ทั้งนี้ เราอาจจะได้รู้เสียทีว่าใครกันแน่คือราชันย์แห่งสัตว์ยักษ์ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไร และ ความสนุกจะสะใจสมการรอคอยหรือไม่ วันนี้ทา Super Review Channel จะมาขอรีวิวแบบไม่มีสปอยกันครับ

รีวิว Godzilla vs Kong

รีวิวหนังดัง เรื่องย่อของ Godzilla vs. Kong ว่าด้วยเรื่องราวที่อยู่ดี ๆ ก็อดซิลล่าก็โจมตีโรงงานของ Apex บริษัทชี้นนำด้านเทโนโลยี วิศวพันธุกรรม และ นวัตกรรมล้ำหน้า ทำให้ เจ้าของบริษัทต้องไปหานักวิทยาศาสตร์ เพื่อหาทางหยุดยั้งเจ้า Godzilla ไม่ให้ทำลายโลกนี้เป็นทางไปก่อน

นักวิทยาศาสตร์สุดหล่อก็เกิดไอเดียว่าต้องพา Kong ไปกลับไปยังโลกโบราณที่อยู่ใกล้กับแกนโลก เพื่อผลบางอย่าง แต่ในระหว่างที่พา Kong เดินทางทางเรือ เจ้า Godzilla ก็เข้าโจมตีขบวนเรือทันที และ นี่ก็เป็นยกที่ 1 ของการต่อสู้กันระหว่าง Godzilla vs. Kong นึกว่ายังมีอย่างนี้อีกหลายยก ซึ่งใครจะเป็นฝ่ายชนะ ใครจะเป็นเจ้าแห่ง Monster ขอให้ทุกท่านไปติดตามชมในโรงภาพยนตร์เองได้เลยครับ

รีวิว Godzilla vs Kong

หากใครเป็นแฟนหนังสัตว์ยักษ์ต่อสู้กัน MonsterVerse ก็คงจะเข้าใจธรรมชาติของหนังแนวนี้ดีคือ หนังเน้นไปที่การต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดกับมนุษย์ หรือว่าสัปปะหลาดกับสัปหลาดด้วยกันเอง

แน่นอนว่าบ้านเมืองจะต้องพังถล่มทลาย ด้วยกันทั้งสิ้น และ ความสนุกมันก็มีอยู่แค่นั้น อย่าไปคาดหวังกับเนื้อเรื่องหรือความสมเหตุสมผลอะไรเลย หากเราไปใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากเกินไปอาจทำให้ดูหนังแล้วไม่สนุกได้

ซึ่งใน Godzilla vs. Kong บอกเลยว่าราชาแห่งสัตว์ประหลาดยักษ์ทั้งสองนี้สู้กันมันส์หยด เรียกได้ว่าแลกกันหมัดต่อหมัด และ มันก็ค่อยทวีคูณความมันสะใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเราดูตัวอย่างที่ Godzilla vs. Kong เอาออกมาสายนั้นมันยังไม่พอ มันยังมีอะไรซ่อนอยู่อีกเยอะ ดูหนังออนไลน์

และ ยิ่งช่วงไคลแมกซ์ของเรื่อง ที่มีการเฉลยตัวละครปริศนาออกมาด้วย เรียกได้ว่ามันหยดติ๋งนั่งหลังไม่ติดเบาะ แถมยังมีสัตว์ประหลาดตัวอื่นออกมาให้อีกด้วย จะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องมากน้อยแค่ไหน ต้องไปชมเอาเอง

เชื่อว่าคำถามคาใจหลายคน ที่ตั้งคำถามกับการต่อสู้กันของ Godzilla vs. Kong ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาแห่งสัตว์ยักษ์ทั้งสองว่าใครจะ เป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ หนังเรื่องนี้ในส่วนตัวของผมแล้วถือว่ามีคำตอบ แต่คำตอบนี้จะถูกใจใครหลายคนหรือเปล่านั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบใคร แต่ถ้าใครชอบทั้งคู่ก็ถือว่า Win Win ดูแล้วมีความสุข

รีวิว Godzilla vs Kong

แต่ขอแอบบอกหน่อยว่า Kong โตขึ้น และ เก่งขึ้น แถมยังมีขวานสายฟ้าที่เป็นสุดยอดไอเทมด้วยแล้ว บอกเลยว่าใครจะสู้ได้ ส่วนเจ้า Godzilla ที่มีพลังในการยิงลำแสงที่มีพลังมหาศาลสีฟ้า นี่ก็อึดมาก

ฉากซักนั้นเรียกได้ว่านัวเนีย ความเก่งกาจนั้นเรียกได้ว่าสมศักดิ์ศรี ไม่มีใครยอมใครไม่มีใครก็หัวให้ใคร หนังทำให้เราเห็นฉากแบบกลางวัน ท้องฟ้าสว่าง เห็นการต่อสู้แบบจะ ๆ แต่ความนัวเนียในข้างต้นที่กล่าวไปนะ ผมมองว่าทั้ง 2 ตัว สู้กันแบบมีอารยะ ไม่ได้บ้าบิ่นแบบสัตว์ประหลาดไร้สติ เรียกว่าดีงาม การสู้แต่ละครั้งก็สร้างความประทับใจให้กับคนอื่น ไม่ว่าคุณจะอยู่ฝั่ง Godzilla หรือ Kong คุณก็เชียร์ได้สนุกไม่แพ้กัน ดูหนัง

ถ้าใครตั้งใจมาชมฉากแอ็คชั่น ฉากการต่อสู้แบบบ้านเมืองพังถล่มทลาย เรียกได้ว่าไม่มีทางผิดหวังแน่นอน โดยเฉพาะการชื่อในช่วงท้าย ห้ามกระพริบตาเด็ดขาด

สรุป Godzilla vs Kong

รีวิวหนังดัง ส่วนเรื่องคนในภาคนี้ผมก็ว่าทำได้ดี คนในที่นี้หมายถึงคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ เขาไม่ได้ใส่มามากจนน่ารำคาญ หากย้อนกลับไปใน Godzilla: King of the Monsters เราจะเห็นได้ว่าผู้คนมีความวุ่นวายมาก ในขณะที่เจ้าสัตว์ยักษ์ต่อสู้กัน คนก็ไปเพ่นพ่าน ขับรถวิ่งลอดแข้งลอดขา ตัดสลับฉากไปมาระหว่างคนกับสัตว์ประหลาด ดูแล้วน่าปวดหัว

แต่ใน Godzilla vs. Kong ทำได้ดี เวลาที่เจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ต่อสู้กันคนก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งยาก เราจะได้เห็นสัตว์ประหลาดต่อสู้กันแบบเต็ม ๆ ไม่มีอะไรขัดจังหวะ ส่วนคนก็เป็นตัวเสริมได้อย่างดี หากจะเทียบกับ MonsterVerse ในภาคก่อน ๆ แล้ว Godzilla vs. Kong จัดระเบียบจัดความสำคัญของคนไว้ได้ดี ซึ่งในเรื่องนี้ พระเอกของเรื่องจริง ๆ ก็คือ เจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นั่นแหละ

แต่จะว่าคนไม่สำคัญก็ไม่ได้ เพราะคนเข้าไปช่วยเจ้าสัตว์ประหลาดได้ถูกที่ ถูกเวลา และ ถูกจังหวะ โดยเฉพาะ เจีย น้องผู้หญิงที่หน้าตาออกไปทางเอเชีย ซึ่งในตัวอย่างทำให้เราเห็นว่าเธอมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งทางใจกับเจ้า Kong น้องคนนี้ มีความสำคัญมาก ๆ โดยเฉพาะการแสดงของเธอนั้นยอดเยี่ยม โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าเธอโดดเด่นมากที่สุดในหนังเลยก็ว่าได้ บทที่เธอจะเรียกน้ำตาคนดูก็ทำได้ดี ดูหนังออนไลน์

ในส่วนตัวแล้วผมชอบโลกใต้ดิน ที่เจ้า kong พาพวกเราลงไปมาก ดูแล้วก็อดคิดถึงหนังเรื่อง Journey to the Center of the Earth ดิ่งทะลุสะดือโลก ไม่ได้แต่ Godzilla vs. Kong ทำได้สวยกว่า และ อีกจุดหนึ่งก็คือในหลาย ๆ ฉาก เช่นแสงไฟ หรือบางสิ่งบางอย่าง ที่ไม่สามารถบอกได้ในที่นี้ หรือการต่อสู้ในเมือง ก็ทำให้คิดถึงหนัง Pacific Rim

อย่างไรก็ตามหนังมีประมาณ 3-4 จุดที่ดูแล้วผมมีความรู้สึกเบื่อ มีความยืดมากเกินไป เล่าเรื่องยานเกินไป อีกจุดหนึ่งที่รู้สึกว่ามันไม่เต็มอิ่มก็คือ เหล่าบรรดาสัตว์ประหลาดยักษ์ที่อยู่ในใจกลางโลกนั้นเห็นน้อยเกินไป เธอเข้าใจได้ว่าเขาต้องการจะมาโฟกัสที่ Godzilla กับ Kong มากกว่า ตัวละครหลายตัวก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความจำเป็น ตัดทิ้งไปบ้างก็ได้เพราะเสียเวลาไปเล่าเรื่องถึง

ส่วนเรื่องทั้งหมด หากใครดูหนังใน monsterverse แบบเก็บครบตั้งแต่ Godzilla (2014), Kong: Skull Island (2017) และ Godzilla: King of the Monsters (2019) ผมว่าน่าจะดูสนุกมากขึ้น เพราะผู้กำกับใน Godzilla vs. Kong เขาได้นำประเด็นสำคัญของทุกภาคมาเป็นรายละเอียดสำคัญได้ดี

กล่าวโดยสรุป Godzilla vs. Kong เป็นภาพยนตร์การต่อสู้ของราชาแห่งสัตว์ยักษ์ มีความตระการตาในด้านฉากการต่อสู้ ความสวยงามด้านภาพ ความประทับใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ยักษ์ ที่ดีงาม โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบภาคนี้สนุกมากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา 7.5/10 ดูหนัง

รีวิว godzilla 2014

รีวิว godzilla 2014

รีวิว godzilla 2014

รีวิวหนังดัง สวัสดีครับวันนี้แอดมินมารีวิว Godzilla (ก็อดซิลล่า) แอดมินจะมาเขียนแนะนำหนัง สัตว์ประหลาด เป็นภาคในปี 2014 ครับกับการคืนชีพให้กับเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของค่าย Toho (ญี่ปุ่น) ภายใต้การกำกับของ Gareth Edwards ซึ่งเขียนบทโดย David Callaham (Story) และ Max Borenstein (Screenplay) ดูหนัง

และ นี่คือภาพยนตร์ตัวแรกของค่าย Legendary ที่ทำมาเพื่อเปิดจักรวาลสัตว์ประหลาดหรือที่เรียกว่า MonsterVerse รับชมได้ทางช่อง HBO GO

รีวิว godzilla 2014

รีวิวหนังดัง เนื้อเรื่อง / เรื่องย่อ หนังเปิดเรื่องด้วยบทบรรยายถึงช่วงยุคปี 1954 ที่มีการปล่อยข่าวถึงเรื่องการทดสอบยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ของชาติต่าง ๆ ซึ่งอันที่จริงแล้ว เบื้องหลังของการยิงนิวเคลียร์ในครั้งนั้น กลับไม่ใช่การทดสอบอาวุธแต่อย่างใด แต่มันคือการยิงนิวเคลียร์เพื่อทำลายล้างอะไรบางอย่าง

ตัดมาในช่วงปี 1999 นักวิทยาศาสตร์ของบริษัท Monarch ซึ่งนำทีมโดย Dr. Ishiro Serizawa (รับบทโดย Ken Watanabe) และ Dr. Vivienne Graham (รับบทโดย Sally Hawkins) ได้เข้าทำการศึกษา และ ตรวจสอบซากฟอสซิลยักษ์ปริศนา 2 ชิ้นที่ขุดค้นพบเจอโดยบังเอิญในขณะที่กำลังทำเหมืองแร่ยูเรเนี่ยมในประเทศฟิลิปปินส์

ในระหว่างที่ทำการตรวจสอบอยู่นั้น สิ่งมีชีวิตลึกลับตัวหนึ่งได้ตื่นขึ้นจากซากฟอสซิลดังกล่าว และ ได้เดินทางลงสู่ทะเล โดยมีทิศทางการเคลื่อนไหวไปยัง Janjira โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น และ นั่นเอง จึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างไม่ปรกติไปทั่วหมู่เกาะญี่ปุ่น ส่งผลให้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ Janjira เกิดการระเบิด ทำให้บริเวณดังกล่าวปนเปื้อนไปด้วยสารกัมมันตภาพรังสี จนต้องอพยพผู้คนออกจากเมือง Janjira

15 ปีต่อมา ปี 2014 ในระหว่างที่ Ford Brody (รับบทโดย Aaron Taylor-Johnson) นายทหารฝ่ายสรรพาวุธของกองทัพเรือสหรัฐอมเริกา กำลังจะเดินทางกลับบ้านหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจ โดยมีภรรยา และ ลูกชายของเขารออยู่นั้น (รับบทโดย Elizabeth Olsen และ Carson Bolde) เขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของประเทศญี่ปุ่น ว่า Joseph Brody (รับบทโดย Bryan Cranston) พ่อของเขา ได้ทำการบุกรุกเข้าไปยังเขตกักกันของ Janjira จึงทำให้ ฟอร์ด ต้องเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นเพื่อรับตัว โจ พ่อของเขาออกมา

รีวิว godzilla 2014

Godzilla: ก็อดซิลล่า ( 2014 ) – Dr. Ishiro Serizawa ( รับบทโดย Ken Watanabe ) และ Dr. Vivienne Graham ( รับบทโดย Sally Hawkins )
Godzilla: ก็อดซิลล่า ( 2014 ) – Joseph Brody ( รับบทโดย Bryan Cranston )
Godzilla: ก็อดซิลล่า ( 2014 ) – Ford Brody ( รับบทโดย Aaron Taylor-Johnson )
Godzilla: ก็อดซิลล่า ( 2014 ) – Elle Brody ( รับบทโดย Elizabeth Olsen )

เหตุผลที่ โจ พยายามเข้าไปยังบริเวณเขตกักัน Janjira เนื่องจากเขาต้องการจะค้นหาปริศนาของการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ทำให้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดในปี 1999 ให้ได้ เพราะเขาเชื่อว่า แผ่นดินไหวในครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เป็น อะไร สักอย่างที่เป็นต้นเหตุ ดูหนังออนไลน์

และ เมื่อพวกเขาได้กลับเข้าไปยังบริเวณเขตกักกัน พวกเขาจึงได้พบว่าในตอนนี้บริเวณดังกล่าวไม่ได้มีการปนเปื้อนของสารกัมมันตภาพรังสีอีกแล้ว และ สถานที่ที่เคยเป็นโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น ก็ได้กลายเป็นสถานที่ทดลองทางวิทยาศาสตร์ของบริษัท โมนาร์ซ ที่กำลังทำการทดลอง และ ตรวจสอบดักแด้ขนาดยักษ์ชนิดหนึ่งอยู่

แต่ถึงหนังจะออกตัวช้าไปนิด แต่เมื่อเข้าสู่ในช่วงท้าย ๆ แล้ว หนังก็ค่อนข้างจัดเต็มให้กับฉากแอคชั่นได้เป็นอย่างดี มีฉากแฟนเซอร์วิสอยู่ไม่น้อยที่ชวนกรี๊ดกันได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยสัดส่วนที่มันค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการเอาเวลาไปเล่าพาร์ทคนที่มากกว่าแล้ว ก็นับว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดายอยู่ดี

บทสรุป godzilla 2014

รีวิวหนังดัง สำหรับคนที่อยากเห็นการถล่มเมือง หรือสัตว์ประหลาด ตีกัน มากกว่านี้ ทำให้ภาพรวมแล้วกระแสของ Godzilla เวอร์ชั่นนี้จึงค่อนข้างแตกอยู่พอสมควร เพราะหากใครชอบพาร์ทดราม่าของมนุษย์ ก็จะชอบที่มันปูมาดี แต่ถ้าชอบหนังเห็นมอนสเตอร์ ตีกันก็อาจจะผิดหวังไม่น้อย เพื่อมันเต็มไปด้วยฉากคุยกันของเหล่ามนุษย์ แทนที่จะเป็นฉากแอคชั่นอลังการแทน

ในระหว่างนั้นเองที่จู่ ๆ สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งที่อยู่ในดักแด้ก้อนนั้นได้ตื่นขึ้นจากการจำศีล และ ออกอาละวาดไปทั่ว ทางกองทัพสหรัฐอเมริกาจึงต้องปฏิบัติการร่วมกับบริษัท โมนาร์ซ ในการกำจัดสิ่งมีชีวิตยักษ์ตัวนี้ที่ถูกเรียกว่า MUTO ให้ได้

หลังจากที่ MUTO ได้โผล่ขึ้นมาบนพื้นดินแล้ว มันได้ทำการส่งสัญญาณชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งคาดการกันว่ามันกำลังส่งสัญญาณเรียกหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ ซึ่งสิ่งนั้นคืออะไร ต้องไปชมกันเอาเองนะฮะ ไม่เล่าต่อแล้ว

ความคิดเห็นหลังจากดูจบ
ถือว่าเป็นงานเปิด Monster Verse ที่ดีเลยฮะ แม้ว่าฉากการปะทะกันของ Godzilla และ MUTOs จะไม่มากเท่าไหร่ แต่ทุกฉากทำออกมาได้สะใจ และ บันเทิงมาก งาน CG ก็ทำออกมาได้สวยงาม และ ดูเนียนมากเลยฮะ ดูหนัง

รีวิว godzilla 2014

ฉากที่ประทับใจใหญ่ ๆ เลย มี 2 ฉาก ก็คือ ฉากการกรีดร้องครั้งแรกของพี่ก็อด และ ฉากการยิง Atomic Breath ใส่เจ้าตัว มูโต้ เรียกได้ว่าตอนเห็นครั้งแรกนี่แทบกรี๊ดเลยทีเดียว

แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นจุดเสียของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ บทของตัวละครที่เป็นมนุษย์ทั้งหลาย แลดูไม่ค่อยมีมิติ และ ไม่ค่อยจะมีประโยขน์อะไรมากมายต่อการเดินเรื่องเท่าไหร่ ความดราม่าในหนังก็ใส่มาได้ไม่สุด จึงทำให้ในหลาย ๆ ฉากดูจะค่อนข้างน่าเบื่อไปบ้าง ดูหนังออนไลน์

Godzilla ( ก็อดซิลล่า )
สรุป >> ให้ไป 7.5 เต็ม 10 ฮะโดยรวมถือว่าเป็นหนังที่ดูสนุก และ บันเทิงดีนะ เอามันส์ได้ในระดับหนึ่ง จึงไม่แปลกที่จักรวาลนี้จะได้ไปต่อเรื่อย ๆ

หมวดหมู่ : Action Adventure Sci-Fi
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Gareth Edwards
ความยาว : 2 ชั่วโมง 3 นาที
นักแสดงนำ : Aaron Taylor-Johnson, Elizabeth Olsen, Bryan Cranston

รีวิว Godzilla King of the Monsters

รีวิว Godzilla King of the Monsters

รีวิว Godzilla King of the Monsters

รีวิวหนังดัง สวัสดีครับนี้คือการกลับมาของราชาสัตว์ประหลาดผู้ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือเจ้า Godzilla และดูแล้วท่าทางจะประตูบานใหญ่ที่ตั้งใจเปิดออกสู่ “Monsterverse” ดูจะมีวี่แววไม่ดีเสียแล้ว กับโปรเจกต์สำคัญของค่ายลีเจนดารี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ที่คาดหวังจะมีจักรวาลเป็นของตัวเอง ด้วยการซื้อสัญญาร่วมกับโตโฮ ค่ายหนังใหญ่ของญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของตัวประหลาดยักษ์มากมายในจักรวาลก็อดซิลล่าของเขา ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ยุค 60s หลังจากปูทางมาตั้งแต่ Godzilla (2014)

ต่อเนื่องมาถึง Kong : Skull Island (2017) แล้วก็ถือโอกาสเปิดตัวเต็ม ๆ ว่านี่คือการเปิดจักรวาลสัตว์ประหลาดยักษ์ ด้วยการดึงเหล่าตัวประหลาดยักษ์ของโตโฮมาโชว์โฉมกันเพียบทั้งก็อดซิลล่า , คิงกิโดราห์ , ม็อธร่า และ โรดัน แถมยังมีอีกหลายตัวที่มาเดินโชว์โฉมแต่ไม่ได้มีการแนะนำชื่อเสียงเรียงนามให้ได้รู้จัก เว็บดูหนัง

รีวิว Godzilla King of the Monsters

รีวิวหนังดัง หนังสานต่อเรื่องราวจาก Godzilla (2014) ตามช่วงเวลาจริง หนังเว้นห่างกัน 5 ปี เหตุการณ์ในหนังก็ห่างกัน 5 ปี หลังจากการปรากฏตัวของ ก็อดซิลล่า วิทยาการขององค์กรโมนาร์ชก็พัฒนาขึ้น สามารถค้นเจออสูรยักษ์ที่หลบซ่อนอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของโลกได้ถึง 17 ตัว และ ภายในช่วง 5 ปีนี่ ดร.เอ็มม่า ก็สามารถพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถสร้างคลื่นความถี่ที่สามารถติดต่อสื่อสารกับอสูรยักษ์ได้

เรียกอุปกรณ์นี้ว่า “ออการ์” ในระหว่างที่ใช้ออการ์สื่อสารกับม็อธร่า โจนาห์ อลัน หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายก็มาชิงออการ์ และ จับตัว ดร.เอ็มมา กับเมดิสัน ลูกสาวไป และ ใช้ออการ์ในการปลุกอสูรยักษ์ทั่วโลก ทำให้ก็อดซิลล่าต้องลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อกำราบเหล่าอสูรยักษ์ทั่วโลก และ หนึ่งในนั้นคือ คิงกิโดร่า มังกร 3 หัว คู่ปรับตลอดกาลของก็อดซิลล่า ที่รอบนี้เล่นเอาพี่ก็อดเกือบแย่อยู่หลายครั้ง

หลังจาก Godzilla (2014)ออกฉาย ก็มีเสียงบ่นจากผู้ชมว่าได้เห็นตัวก็อดซิลล่าน้อยเกินไปไม่จุใจเลย ทางค่ายก็รับฟังเสียงจากผู้ชม มาถึง Godzilla: King of the Monsters ก็เลยจัดให้แบบสะใจกันไปเลย หนังปูเรื่องเพียงแค่ 10 นาที บรรดาอสูรยักษ์ก็ทยอยกันปรากฏตัว พี่ก็อดก็ออกมาพะบู๊กันตั้งแต่ต้นเรื่องไปเลย

ทำให้บรรยากาศของภาคนี้ดูห่างไกลจาก Godzilla (2014)ไปมาก แม้นี่คือหนังภาคต่อเนื่องกัน จากภาคที่แล้วเห็นก็อดซิลล่ากันแบบวับ ๆ แวม ๆ มืด ๆ ภาคนี้ก็เลยมายืนจังก้าให้เห็นกันเต็ม ๆ ไป เน้นขายเหล่าอสูรยักษ์ตีกันแบบจริงจัง แม้ว่าในเทรลเลอร์บอกว่าโมนาร์ชค้นพบอสูรยักษ์ทั่วโลก 17 ตัว แต่ก็มีบทบาทจริง ๆ แค่ 4 ตัวหลักคือ ก็อดซิลล่า , คิงกิโดราห์ , ม็อธร่า และ โรดัน เท่านั้น ที่เหลือก็เดินผ่านกล้องให้เห็นแค่ 2-3 ฉาก

โทนหนังของภาคนี้น่าจะถูกใจผู้ชมในกลุ่มเด็กผู้ชาย ที่ชอบตัวประหลาดยักษ์เสียมากกว่า เพราะบรรยากาศหนังออกไปแนวอุลตร้าแมนมาก จากภาคก่อน ๆ ที่วางบทบาทของก็อดซิลล่าให้เป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ซุกตัวอยู่ใต้ทะเลลึก เพื่อหนีห่างจากมนุษย์โลก ดูหนัง

รีวิว Godzilla King of the Monsters

ตัวก็อดซิลล่ายังมีความลึกลับน่ากลัวให้สัมผัสได้ ในโทนที่ใกล้เคียงกับบรรดาไดโนเสาร์ในแฟรนไชส์ Jurassic Park ทุกครั้งที่แนะนำไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ ก็ต้องลุ้นกับภาพลักษณ์ และ พิษสงของมัน แต่กับบรรดาอสูรยักษ์ใน Godzilla: King of the Monsters กลับไม่มีความลึกลับน่ากลัวเหลือให้สัมผัสเลย

แต่ละตัวเหมือนสัตว์ประหลาดในหนังอุลตร้าแมนที่ออกมาตบตีกันตุ้บตั้บ แล้วมีท่าไม้ตายด้วยการปล่อยแสง เป็นภาคที่พาเหล่าอสูรยักษ์ยกระดับไปไกลจนไม่คงความเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ให้เห็นอีกต่อไป ฉากที่บรรดาอสูรยักษ์ตีกันก็พอบันเทิงดี ชอบที่สุดคือฉากโรดันต่อสู้กับเครื่องบินรบเป็นฉากที่ยาว และ สนุกแม้จะทำใจไว้แล้วว่านี่คือหนังสัตว์ประหลาดที่สร้างโดยฮอลลีวู้ด ต้องปล่อยวางเรื่องตรรกะความเป็นจริงให้มากที่สุด

แต่ในรายละเอียดของหนังเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร ความคิดการตัดสินใจของตัวละคร ที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ก็ช่างดูไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดต้องชี้นิ้วไปที่คนเดียวคือ ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ ผู้กำกับที่เหมาหน้าที่เขียนบทเองด้วย กับการเพิ่มตัวละครบุคคลเข้าไปอีกมากในหนังที่มีอสูรยักษ์วิ่งกันเต็มจอไปหมดแบบนี้ ตัวละครมนุษย์หลาย ๆ ตัวก็ดูใส่เข้ามาให้เกินความจำเป็น

แต่ว่าภาคนี้ดึงตัวละครจากภาคที่แล้วมาเกือบครบ แล้วยังเพิ่มตัวละครใหม่ ๆ เข้าไปทั้ง จางซิยี่ , โอเชียร์ แจ็คสัน และ ชาร์ล แดนซ์ ที่แต่ละคนก็เล่นกันด้วยอารมณ์หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกันหมด พอเพิ่มเรื่องราวของฝั่งมนุษย์ก็เลยกลายเป็นความกังวลที่จะต้องแบ่งน้ำหนักเฉลี่ยมาให้บรรดาตัวละครมนุษย์

โดยเฉพาะฉากดราม่าที่ไม่ได้สร้างอารมณ์ร่วมเลยแม้เพียงนิด ฉากการเสียสละชีวิตของตัวละครหลักก็ใส่เข้ามาตามสูตรสำเร็จในหนัง ตามธรรมเนียมหนังภัยพิบัติ ฉากดราม่าพ่อแม่ลูกก็เช่นกันตามสูตรเป๊ะที่จะต้องเห็นอกเห็นใจกันท่ามกลางภัยพิบัติ บทเมดิสัน ของมิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ ยังคงเอกลักษณ์ของตัวละครเด็กสาวในหนังภัยพิบัติที่เป็นตัวสร้างภาระความวุ่นวายในหนังประเภทนี้ กรี๊ด กรี๊ด

สรุป Godzilla King of the Monsters

รีวิวหนังดัง สำหรับหนังในแนวนี้ที่ชื่อเรื่องยังสปอยล์ให้คนดูรู้ผลลัพธ์กันตั้งแต่ชื่อเรื่องว่าใครคือผู้ชนะ ฉะนั้นบทภาพยนตร์คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง ว่าจะเล่าเรื่องราวที่คนดูรู้บทลงเอยอยู่แล้ว ให้สนุก ชวนลุ้น น่าติดตามได้อย่างไร ก็ต้องถือว่า ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ ยังไม่ใช่ผู้กำกับที่เหมาะสมกับหนัง 200 ล้านเรื่องนี้ และ เป็นตัวอย่างด้านลบต่อกระแสความนิยมของค่ายหนังในช่วง 10 – 20 ปีหลังมานี่ ที่ชอบดึงผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จจากหนังเทศกาล หนังฟอร์มเล็กแล้วได้เงิน ให้มากำกับหนังทุนสูงระดับบล็อคบัสเตอร์ ซึ่งหลาย ๆ คนก็ประสบความสำเร็จ

รีวิว Godzilla King of the Monsters

ชวนให้ชื่นชมผู้บริหารค่ายที่มีสายตาเฉียบคม และ กล้าเสี่ยง ได้ผู้กำกับมือใหม่ไฟแรงมีวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ โดยไม่ต้องไปจ่ายผู้กำกับมือเก๋าค่าตัวแพง ๆ ยกตัวอย่างให้เห็นอย่าง สก็อตต์ เดริคสัน จาก sinnister ก็ไปกำกับ doctor Strange , เจมส์ วาน จาก The Conjuring ก็ได้ไปกำกับ Fast 7 , ไรอัน จอห์นสัน จาก Looper ก็ได้ไปกำกับโคตรหนังอย่าง Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi หรือแม้ แต่ แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดจาก Godzilla (2014) ก็มาจากหนังสายรางวัล Monster (2010) แต่กับ ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ ผู้กำกับเรื่องนี้ เคยมีผลงานมาแค่ Krampus ,trick ‘r Treat เป็นหนังที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้ และ รางวัล แต่ทางค่ายก็โยนโปรเจกต์ระดับ 200 ล้านให้ทำ ผลก็ออกมาแบบนี้ล่ะครับ เว็บหนัง

Godzilla: King of the Monsters เหมาะจูงลูกจูงหลานเข้าไปดูสัตว์ประหลาดยักษ์ตีกัน 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ห้ามคาดหวังความสมเหตุสมผลของเนื้อหา อย่าคิดตามการตัดสินใจของตัวละคร ดูโรงธรรมดาก็พอ ไม่ต้อง 3 มิติ ไม่ได้เพิ่มอรรถรสใด ๆ ให้กับหนังเลย หนังมีฉากหลังเครดิต 1 ตัว ปูทางไป Godzilla vs. Kong ที่วางกำหนดฉายไว้ปีหน้า ถ้าเรื่องนี้ได้ตังค์อ่ะนะ

จุดเด่น

– บทไร้ซึ่งความสมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง
– บรรดาอสูรยักษ์พากันหลุดโลกกลายเป็นสัตว์ประหลาดปล่อยแสงกันไปหมด
– ไม่สามารถบาลานซ์บทส่วนมนุษย์ และ อสูรยักษ์ได้
– ดราม่าในหนังดูพยายามยัดเยียดจนเกินไป

จุดสังเกต

– หนังน่าจะถูกใจคนดูรุ่นเยาว์ ได้มาดูสัตว์ประหลาดตีกันอย่างจุใจ

รีวิว The Wrath of God

รีวิว The Wrath of God

รีวิว The Wrath of God

รีวิวหนังดัง ในที่สุด Netflix ก็ได้เอาจริงสักที โดยได้สร้างหนังสยองขวัญที่แอดรับรองเลยว่าหลังจากได้ดูแล้ว หลอนไปหลานวันเลยครับ ฮ่า ๆ สร้างภาพยนตร์เช่น พระพิโรธของพระเจ้า ความมั่นใจในตนเอง ที่ชั่วร้าย อาจมีหนังระทึกขวัญทั่วไป ที่เขียนอย่างรีบร้อน ในบางครั้งที่น่าสยดสยอง เช่นนี้สำหรับทุกภาษาในตลาดต่างประเทศของสตรีมเมอร์ แสดงผลใช้ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถพุ่งขึ้นสู่ระดับภาพยนตร์ 10 อันดับแรก เป็นเวลาหนึ่งหรือสามวัน แล้วค่อยจางหายไป

หลุมน้ำมันดินที่ลึกขึ้นของเมนูบนหน้าจอ ซึ่งสามารถครึ่งชีวิต ในการสลายตัวได้ เรื่องนี้เป็นภาษาอาร์เจนติน่า สร้างจากนวนิยายของกิเยร์โม มาร์ติเนซ และ ในขณะที่คุณกำลังจะค้นพบ แทบจะไม่ต้องสร้างความแตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน เว็บดูหนัง

รีวิว The Wrath of God

รีวิวหนังดัง เริ่มต้นด้วยเสียงปรบมือของคลอสเตอร์ (ดีเอโก เปเรตตี) นักเขียนนวนิยายอาชญากรรมผู้มั่งคั่ง และ มีชื่อเสียง ซึ่งเพิ่งอ่านหนังสือเล่มใหม่ของเขาเพื่อผู้ชมที่ชื่นชอบ พวกเขาทั้งหมดต้องการรูปถ่ายหรือลายเซ็นที่บันทึกไว้สำหรับ Esteban Rey (Juan Minujin) ซึ่งชี้ไปที่ระเบียง Luciana (Macarena Achaga) อยู่บนนั้น เธอดูสิ้นหวังเหมือนไม่ได้นอนมาหลายสัปดาห์แล้ว

ถ้าเธอไม่ไปพบคลอสเตอร์ เธอจะก่อเหตุ เขาขึ้นไปที่นั่น ตัดไปที่ Rey และ นอกจอ บางสิ่งบางอย่างทำให้กระหน่ำอย่างน่าสะอิดสะเอียน ก่อนที่เราจะไปไกลกว่านี้ ดูเหมือนว่าสำคัญที่จะแจ้งให้คุณทราบว่านี่เป็นหนึ่งในข้อตกลงประเภทการเล่าเรื่องแบบบุ๊คเอนด์ ซึ่งภาพยนตร์จะแยกไปยังอีกฉากหนึ่งที่มีดนตรีที่มีความดราม่าสูง และ คำบรรยายที่อ่านได้บางอย่างเช่น 12 YEARS EARLIER และ จากที่นั่น หนังก็กลับมาสู่ฉากตั้งแต่เปิดฉาก คุณรู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร – ทำไมต้องเปิดใจกับ สิ่งที่น่าเบื่อ และ ทำงานให้กับ สิ่งที่น่าตื่นเต้นในเมื่อคุณสามารถตัดสิ่งที่น่าตื่นเต้น ลงครึ่งหนึ่ง แล้ววางชิ้นหนึ่งไว้ข้างหน้า และ อีกอันในตอนท้าย

ดังนั้น: เมื่อ 12 ปีก่อน นี่คือตอนที่ Luciana เป็นผู้ช่วยของ Kloster โดยเขียนตามคำบอกในนิยายเรื่องหนึ่งของเขา เขาเดินไปที่ห้อง และ พูดในขณะที่เธอพิมพ์ คนเขียนแบบนี้? ฉันคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับเหงื่ออันน่าสังเวชของนักเขียนที่ซึมเข้าไปในแป้นพิมพ์มากกว่า อย่างไรก็ตาม Luciana รักลูกสาวตัวน้อยของ Kloster และ พวกเขาก็เล่นตุ๊กตาด้วยกัน

และ ภรรยาของ Kloster ก็ดูไม่ค่อยสบายนัก อาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่เป็นเวรเป็นกรรมทำลายอาชีพนักบัลเล่ต์ของเธอ ตัดไปที่: ปัจจุบัน แต่นี่เป็นเรื่องโกหก! ไอ้เวรนั่นมันโกหก! เพราะถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ฉากเปิดที่มีการอ่านหนังสือ และ อิ๊กกี้ thump จะเป็นฉากจาก (คิว แธมมิน มิวสิค) THE FUTURE อันที่จริง เรายังต้องพยายามจนถึงฉากกระหน่ำ จากฉากนี้ ซึ่งเรย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขาที่หนังสือพิมพ์ ซึ่งก็ชัดเจนก่อนถึงวันปัจจุบัน 1 หรือ 10 วัน

รีวิว The Wrath of God

แต่! เราไม่ได้อยู่กับ ปัจจุบันนานนักก่อนที่มันจะย้อนไปเมื่อ 12 ปีก่อน เมื่อลูเซียน่า อีกด้วย ทำงานเป็นผู้ช่วยของ Rey เพราะในขณะนั้นเขาเองก็เขียนนวนิยายของเขาแทนการทรมานตัวเองอย่างโดดเดี่ยวบนแล็ปท็อป จากนั้นย้อนกลับไปในวันก่อน PRESENT DAY เมื่อ Luciana ถาม Rey ซึ่งปัจจุบันเป็นนักข่าวที่เป็นโรคลมชักที่เกี่ยวข้อง กับการดื่มสุราอย่างถาวร เพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะเธอมั่นใจว่า Kloster ได้ฆ่าครอบครัวของเธอทีละคนในช่วงสุดท้าย (คุณเดาได้) มัน) 12 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีก่อน (หมายเหตุ: คำบรรยายเหล่านี้ไม่ปรากฏขึ้นทุกครั้ง ฉันรู้สึกขอบคุณที่จดบันทึก) เมื่อคลอสเตอร์ตีความท่าทางไร้เดียงสาของ Luciana ผิด ๆ และ จูบปากของเธออย่างอ้วนท้วน เธอเดินออกไป ยื่นฟ้องในคดีล่วงละเมิดทางเพศ นั่งลงเพื่อไกล่เกลี่ย กับทนาย และ คลอสเตอร์ก็เดินเข้าไปในสภาพเหมือนถนนแย่ ๆ

ไม่กี่ไมล์ ตัดเช็คให้เธอ แล้วเดินออกไป ฮะ. นี่คือตอนที่ Luciana รู้ว่าภรรยา และ ลูกสาวของ Kloster ตายแล้ว และ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ฉันอดไม่ได้ที่จะสปอยล์ เวลาผ่านไปแต่ไม่มากนักที่เราตามทัน PRESENT DAY อาจจะมากกว่าหนึ่งเดือนหรือสามหรือหนึ่งปี และ Luciana และ ครอบครัวของเธอ – แม่, พ่อ, พี่ชายสองคน, น้องสาวหนึ่งคน – กำลังพักผ่อนที่ ชายหาด และ พี่ชายของเธอ ทหารรักษาพระองค์จมน้ำ และ ใครที่ยืนอยู่ตรงนั้น ยกเว้นคลอสเตอร์ เนื้อเรื่องเข้มข้น!

หนังเรื่องไหนที่จะทำให้คุณนึกถึง: ไม่ อากีร์เร หรือ ข่าน — ไม่เลยสักนิด ขอบคุณ เลือกภาพยนตร์แก้แค้นหรือฆาตกรต่อเนื่องทั่วไป ภาพยนตร์แก้แค้นทั่วไปหรือภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ออกอากาศครั้งแรกบนสายเคเบิลพื้นฐาน ฉันต้องค้นหาภาพยนตร์ที่ฉันลืมไปเพื่อให้จำได้ว่ามีอยู่: นายบรู๊คส์ อาจจะหรือ คฤหาสน์โคลด์ครีก,ขยะอย่างนั้น. เว็บหนัง

ประสิทธิภาพที่ควรค่าแก่การชม: Peretti และ Minujin ดูเหมือนจะมีการแข่งขันกันเพื่อดูว่าใครสามารถแสดงอารมณ์ของ Gabriel Byrne ที่เข้มข้นที่สุดได้ โทรยาก แต่ฉันจะไป กับเปเร็ตตี

บทสนทนาที่น่าจดจำ: Kloster รู้สึกเบิกบาน-y: “เป็นเวลาหลายปีที่ฉันพยายามจินตนาการว่าทำไมเธอถึงสร้างเรื่องราวเหล่านี้กับฉัน… หนึ่งในสามเหตุผล – ความบ้าคลั่ง ความโหดร้าย หรือความรู้สึกผิด”

เพศ และ ผิวหนัง: ไม่มาก – ภาพ POV ที่น่าขนลุกของ Kloster มองลงมาที่เสื้อของ Luciana

สรุป The Wrath of God

รีวิวหนังดัง เป็นภาพยนตร์ที่เทียบเท่ากับนวนิยายระทึกขวัญที่คุณจะไปรับที่สนามบิน อ่านในสองชั่วโมง ทิ้งไว้ในกระเป๋าที่นั่ง และ ลืมไปทั้งหมดก่อนที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะกล่าวลา แต่มีคนรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ปรารถนาให้เป็นมากกว่านั้น มีการอ้างอิงถึงการกะพริบตา ต่อตาในพระคัมภีร์ไบเบิลบ่อย ๆ และ ชื่อเรื่องนั้น

ซึ่งอาจสมเหตุสมผลหากคุณยืดขอบเอวยางยืด ของคู่การตีความวรรณกรรม ของกางเกงชั้นในจนแตก และ ทิ้งรอยแดงไว้ที่ตูดของคุณ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้คลอสเตอร์แสดงลักษณะเป็นอัจฉริยะด้านวรรณกรรมที่มักจะโบยบินด้วยน้ำเสียงที่อวดอ้างเกินพอเกี่ยวกับธีมงานอันยิ่งใหญ่ของเขา แต่สิ่งที่เขาบอกกับลูเซียนานั้นฟังดูเหมือนเป็นภาพจำลองที่เยือกเย็นอย่างเยือกเย็น – เป็นคำอุปมาที่ไม่คาดคิดสำหรับตัวหนังเอง

รีวิว The Wrath of God

ภาพยนตร์เรื่องนี้ขอให้เราอยู่บนเรือเพื่อดูว่าข้อกล่าวหาของ Luciana เป็นความจริงหรือว่าเธอเป็นบ้า Kloster อยู่เบื้องหลังการลดจำนวนประชากรที่น่าสยดสยองของครอบครัวของเธอหรือไม่? หรือสถานการณ์นี้เป็นเพียงอุบัติเหตุรถ 40 คันที่บ้าคลั่ง?

เราถูกล่อลวงให้เชื่อลูกสาวที่บริสุทธิ์ของศิษยาภิบาลมากกว่าคืบคลานแก่ที่น่ากลัว และ น่ากลัวที่ถูกครอบครัวของเขาตามหลอกหลอน ทำไม อื่น เขาจะล้อเลียนเรื่องศีลธรรมในพระคัมภีร์เดิมที่น่าสงสัยอยู่เสมอหรือไม่?

แต่มันยากที่จะรู้สึกว่าลงทุนในไดนามิกที่ล้นเกินนี้เมื่อตัวละครบางแบบเวเฟอร์ น้ำเสียงทำให้เราหายใจไม่ออกด้วยความซีเรียสในตัวเอง ไทม์ไลน์ถูกแฮ็กสำหรับบาร์บีคิว ( KINGDOM ของฉันสำหรับการเล่าเรื่องแบบ LINEAR!) และบทสรุปก็ไม่น่าแปลกใจ หรือยั่วยุหรือน่าพอใจเป็นพิเศษแม้ในระดับผิวเผิน นี่คือสิ่งที่สีโดยตัวเลขส่งผ่านตัวเองออกเป็นแรมแบรนดท์ โอเค อาจจะแค่ ส่วนน้อย แรมแบรนดท์. แต่ความคิดยังคงน่าหัวเราะ ดูหนัง

รีวิว Avengers Infinity War

รีวิว Avengers Infinity War

รีวิว Avengers Infinity War

 

รีวิวหนังดัง ในวันที่แฟนๆเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่นั้นจะได้เห็นหนังการรวมตัวของฮีโร่หนังรวมฮีโร่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา สวัสดีครับวันนี้แอดมาแนะนำหนังมาเวลอเวนเจอร์ภาค 3 หลังจากที่ห่างหายกันไปเนิ่นนาน ครั้งนี้เหล่าฮีโร่ต้องเผชิญกับภัยร้าย หรือก็คือ โชคชะตาที่มิอาจเลี่ยง หลังรอคอยมายาวนานถึง 6 ปีนับตั้งแต่มีการเปิดตัวว่าจักรวาลมาร์เวลจะมีตัวร้ายชื่อทานอส เป็นบอสใหญ่ตัวสุดท้ายใน The Avengers ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงแล้วเมื่อ Avengers Infinity War เข้าฉาย และผลตอบรับของภาพยนตร์เรื่องมีเสียงแตกไปทั้งสองฝั่ง มีทั้งชอบสุดๆ และ ไม่ชอบเพราะผิดหวัง แล้วเราล่ะรู้สึกอย่างไรทำไมถึงให้ 7 เต็ม 10 อยากมาชวนแลกเปลี่ยนกันในรีวิวนี้

Avengers Infinity War เป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 19 ของจักรวาล Marvel Cinematic Universe ซึ่งภาคนี้กำกับด้วยสองพี่น้อง ‘แอนโทนี รุสโซ’ และ ‘โจ รุสโซ’ ที่ผ่านมาพวกเขากำกับภาพยนตร์ฮีโร่มาแล้วสองเรื่องก่อนหน้านั้นคือ

Captain America : The Winter Soldier , Captain America : Civil War ครั้งนี้ทั้งคู่ได้รับความไว้ใจจาก Marvel Studio ให้กำกับหนังมหากาพย์ปิดตำนานฮีโณ่ นั่นแปลว่าพวกเขาต้องสามารถคุมหนังได้แบบเอาอยู่ หนังที่เชื่อมจักรวาล MCU ซึ่งถูกคาดหวังไว้สูง เว็บหนัง

รีวิว Avengers Infinity War

รีวิวหนังดัง เกริ่นนำสั้นๆ ก่อนว่าจักรวาลมาร์เวลเฟส 3 นั้นหนึ่งในโปรเจคต์ยักษ์คือ Infinity War ซึ่งแฟนมาร์เวลรู้ดีว่าที่ปูเรื่องมาทั้งหมดตั้งแต่ Iron Man จนถึงวันนี้ก็เพื่อที่จะมาเชื่อมจักรวาลทั้งหมดก่อนจะเปลี่ยนผ่านไปสู่เรื่องราวใหม่ของฮีโร่ตัวใหม่ที่รอการปั้นทั้งสไปร์เดอร์แมน แบล็คเเพนเธอร์ กัปตันมาร์เวล และ เเอนท์แมน

จึงไม่แปลที่คนจะคาดหวังความสมบูรณ์แบบ เพราะอุตสาห์ปูเรื่องมายาวนานตั้ง 10 ปี พูดถึงบทสรุปสุดท้ายสักทีก็ต้องยิ่งใหญ่หน่อย แน่นอนความคาดหวังนี่แหละที่นำมาซึ่งเสียงวิจารณ์ในแง่ลบว่า Infinity War สนุกนะ แต่อาจจะยังไม่ดีพอ แม้ผู้กำกับจะเป็นสองพี่น้องรุสโซ ที่ทำกัปตันอเมริกาทั้งสองภาคออกมาได้สนุกสุดยอดก็มีคนรู้สึกผิดหวัง

รีวิว Avengers Infinity War

หากมองในฐานะแฟนบอยที่ติดตามหนังมาร์เวลทุกเรื่อง (ไม่ได้โม้พูดจริง) เราก็คิดว่าเขาทำหนังออกมาได้สนุก ลุ้นมือจิกเบาะในบางฉาก แต่รู้สึกว่าขาดความยิ่งใหญ่ที่คิดไว้ในหัว ซึ่งไม่แน่ใจว่านี่คือการกั๊ก แล้วไปปล่อยหนัก ๆ ใน Avengers 4 หรือเปล่า ภาพรวมของเราจึงรู้สึกว่า “หนักมือกว่านี้อีกก็ได้นะพี่ อย่ายั้ง…”

เนื้อเรื่องเข้มข้น ไม่ยืดเยื้อแม้หนังจะนาน 150 นาที

ถึงแม้เราจะรู้สึกว่า ‘ไม่อิ่ม’ แต่อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องของ Infinity War นั้นกลับไม่น่าเบื่อเลย อาจจะเพราะเนื่องจากเรื่องราวของทานอสถูกปูมาแล้วในเอนเครดิตของหนังในจักรวาลมาร์เวลหลายเรื่องแล้วจึงไม่ต้องมานั่งปูเรื่องอะไรอีก มาถึงก็ใส่ยับโชว์ความโฉดของทานอสตั้งแต่ฉากแรก

แม้ฮีโร่จะออกมากันเยอะระดับหลักสิบกว่าตัว แต่มีการเฉลี่ยเรื่องราวออกมาได้เท่า ๆ กันไม่รู้สึกหนักหรือเอียงไปที่ใคร ในเรื่องจะแบ่งเรื่องราวของฮีโร่ออกเป็นสี่กลุ่มคือ กลุ่มบนดาวโลกที่นำทีมโดยกัปตันอเมริกา, กลุ่มที่ดาวไททันนำโดยไอรอนแมน ,กลุ่มที่พาธอร์ไปตีค้อนใหม่ และ กลุ่มที่ไปดาวไททัน

การดำเนินเรื่องนั้นไม่ได้ปล่อยให้เราพักหายใจหายคอ ไม่ได้รู้สึกเบื่อยิ่งสองฉากใหญ่ช่วงท้ายทั้งการต่อสู้บนดาวไททัน และ ดาวโลกยิ่งทำให้เราเอาใจช่วยฮีโร่ทุกคนอย่าใครตายไปมากกว่านี้เลย หรือถ้าตายก็อยากให้ตายเท่ ๆ อย่าตายแบบไม่ให้ราคาเลย

ปรากฎว่ามีฮีโร่ตาย (ไม่บอกว่ากี่คน) และ เป็นความตายที่เท่มาก ๆ มันต้องอย่างงี้ ตายคือตาย อย่าไปอิดออด (ถึงบางตัวเราจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ตายจริงหรอก)

แทรกความฮาสมกับเป็นมาร์เวล

หนังมาร์เวลมีเสน่ห์ที่ความฮาด้วยไม่ใช่แค่ซัดกันนัว ซึ่งใน Infinity War ก็ไม่ได้ทำให้หนังดูเครียดทั้งเรื่อง แต่ยังแฝงมุกอยู่ในทุกช่วงเวลา ต่อให้เป็นฉากต่อสู้หน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหน ก็ยังอุตสาห์จะเล่นมุกอีกเนอะ ซึ่งน่ารักดี หลายซีนติดอยู่ในใจเราแม้จะเดินออกจากโรงแล้วก็ตาม

รีวิว Avengers Infinity War

สิ่งที่อยากชมมาร์เวลคือเซ้นส์ของมุกตลกนั้นมีเสน่ห์มากกว่าในหนังฮีโร่ของดีซี (เราขอบหนังฮีโร่ทุกเรื่องไม่เกี่ยวค่ายต้องออกก่อน เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง) อย่างใน Justice League เราก็ชอบในมุกที่แทรกอยู่ในหนังแต่มันไม่ได้มีจังหวะที่เราชอบทั้งหมด หลายมุกแค่หึหึ ไม่ได้ฮาก๊ากเหมือนใน Infinity War

มิติของตัวละคร และ การแบ่งความสำคัญทำได้ดี

ที่อยากจะชมมาก ๆ คือตัวละครใน Infinity War ไม่ได้แบนราบหรือเล่าแต่เรื่องราวของฮีโร่ แต่ยังแบ่งเวลากว่าครึ่งของหนังเพื่อเล่าเรื่องของทานอสทั้งความวิบัติฉิบหายที่ทานอสทำ และ จิตใจของทานอส ที่ทำให้เราได้เห็นว่า เฮ้ย! ทานอสก็มีจิตใจ มีความคิดนี่หว่า ไม่ใช่แค่ยักษ์บ้าไล่ล้างจักรวาล สิ่งที่ทานอสทำมีที่มาที่ไป มีเหตุผล แต่วิธีการมันสุดโต่งไปหน่อยเท่านั้นเอง

ซึ่งความมีมิติของตัวละครไม่แบนนี่แหละเป็นเสน่ห์ของมาร์เวล แต่ก็อยู่ที่ว่ามาร์เวลจะใช้มิติของตัวละครได้อย่างสมบูรณ์จนจบหรือไม่ แต่ในภาคนี้ทำได้ดีมากจนกระทั่งจบเรื่อง
เสน่ห์ของหนังฮีโร่ของมาร์เวลไม่ใช่ใครหมัดหนักกว่าก็ได้เปรียบ ดังนั้นต่อให้เป็นฮีโร่ระดับพลังมนุษย์อย่างแบล็ควิโดว์ ก็ยังมีบทบาทที่เป็นไปได้ในการต่อสู้ เว็บดูหนัง

ฉากใหญ่ทำได้มัน! ออกแบบการต่อสู้ได้สนุกลุ้นมือจิกเบาะ
ฉากต่อสู้นี่ต้องบอกว่า สนุกสัXcxv*76&cv-0e-gxbs90cspviaw มันฉิบห@vopwjpsauif88s59paovli0-3v;.av (ไม่ได้พิมพ์ผิดนะแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง) เอาเป็นว่าโคตรสนุกลุ้นเอาใจช่วยเพราะถ้าปกติหนังฮีโร่มันก็ออกมาแนวเดิมคือธรรมะชนะอธรรม แต่คราวนี้เหมือนจะไม่ใช่สักทีเดียว เพราะสถานการณ์เอียงไปทุกทาง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฮีโร่บนโลกแทบจะจนมุม หาทุกสรรพวิธีมาใช้

บทสรุปใน Avengers Infinity War

รีวิวหนังดัง หนังเรื่องนี้มีตัวร้ายที่ร้ายสุด ๆ เก่งสุด ๆ และทำให้เราเกลียดน้อยลงได้ระหว่างการเดินไปของเรื่อง นี่มันคือรสแบบที่ไม่มีทางเจอในหนังเด็กน้อยอีกแล้ว นี่คือหนังที่โตมากับเด็กคนเมื่อ 10 ปีก่อน แล้วตอนนี้พร้อมรับอะไรหม่น ๆ ดาร์ก ๆ เข้าใจชีวิต เหมือนนักดื่มที่เข้าใจความสวยงามในรสขมของสุราแล้วนั่นล่ะ

ดังนั้นอาจมีทั้งคนที่รักมันและเกลียดมัน แบบที่ดิสนีย์เคยทำใน The Last Jedi เพราะหนังที่ยิ่งใหญ่มันสร้างแรงกระเพื่อมและข้อถกเถียงได้กว้างใหญ่กว่าตัวมันเสมอ และ Infinity War ก็เช่นกัน บอกเลยว่าอย่าไปสนใจว่าใครจะอวย หรือจะเกลียด มันคือหนังที่ต้องดูแค่นั้น เรื่องหลังจากนั้นมันคือต้นทุนของแต่ละคนที่สร้างมาเพื่อเก็บบางอย่างกลับไป

บางคนอาจได้ประเด็นความเป็นเพื่อน บางคนความเป็นพ่อ บางคนความเป็นลูก หรืออะไรอื่น ๆ อีกมาก แต่มันจะไม่มีทางเป็นหนังแบบที่โคตรสนุกแล้วออกมาหัวโล่งเบาหวิวไม่มีอะไรติดกลับไปแน่นอนครับ ธานอส คือตัวร้ายที่มีมิติอย่างที่บอก ว่าเราค่อย ๆ เข้าใจการกระทำเขาขึ้นเรื่อย ๆ และ เกลียดเขาลดลง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ทำให้เรารู้สึกรักขึ้นได้เลยแม้แต่สักนิด (นี่มันอะไรกัน!)

เรื่องราวนี้ยังตัวละครมากมายที่เข้ามาสานเรื่องราว บางเรื่องราวเราคิดว่าเราเดาได้แน่ ๆ แต่เอาจริงมันก็มีอะไรที่เหนือกว่าที่เราจะเดาไปอีก บางคนเรารู้ว่าเขาแสดงแน่ ๆ แต่พอเขาปรากฏตัวมันก็เซอร์ไพรส์กว่าที่คิดไปอีก มันคือการเดาความคาดหวังของคนดูแล้วใส่ +++ เข้าไป จนเราขนลุกได้ตลอดเวลา ดูหนัง

ส่วนที่ไม่ชอบก็มีครับตรงนี้คงพูดได้โดยไม่สปอยล์ เพราะซีจีบางอย่างมันดูโลว์จนน่าเกลียดเลยโดยเฉพาะ ฮัลค์บัสเตอร์ ในซีนท้าย ๆ ที่เปิดเกราะ กับความแก้ปัญหาได้ง่าย ๆ บางอย่างที่เราเคยรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ มาแล้ว ดีว่ามันไม่ใช่อะไรที่จะเป็นจะตายสำหรับหนังเรื่องนี้น่ะนะ

แล้วส่วนจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่เคยดูหนังพวกนั้นมาก่อน มันจะไม่ใช่แบบว่า อ่อไม่เป็นไร ตัวนั้นก็คือตัวร้าย นั้นคือฝั่งตัวดี เรื่องก็เดินไปแบบธรรมะชนะอธรรม เพราะตอนนี้มันเรียกร้องคนดูไปมากกว่านั้น มันไม่ย้อนความมันไม่เล่าเกริ่นอะไรอีกแล้ว เพราะมันคือหนังที่ใช้ประโยชน์จากเวลา 10 ปีอย่างคุ้มค่าทุกเม็ดทุกหน่วย แบบที่บอกว่าถ้ามาเมาไวน์ อย่าเสียเวลาเกริ่นด้วยน้ำองุ่น แล้วมันคือหน้าที่ของแฟนหนังที่ต้องพร้อมกับมันเองครับ ใครพาแฟนหรือเพื่อนที่ไม่เคยดูมาก่อนไป ก็ทำใจเลยครับว่าจะต้องตอบคำถามเพียบจนอาจเบื่อระหว่างดูไปเลย แนะนำให้ทำการบ้านกับคนที่พาไปดูสักนิดครับ แล้วจะเจริญใจกันทั้งสองฝ่ายแบบสุด ๆ

ในระหว่างต่อสู้มีเซอร์ไพร้ส์มากมาย โดยเฉพาะฉากใหญ่บนดาวไททันกับฉากที่วากานด้า เป็นการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเป็นการแลกกันของจริง ไม่ได้ฝ่ายใดฝ่ายนึงโดนยำตีนอย่างเดียว แต่เป็นการสลับกันยำตีนวัดกันที่ความเท่ล้วน ๆ ในจังหวะทีเด็ดทีขาด หรือจังหวะจุดเปลี่ยนก็ทำได้ดีมาก กระทั่งตอนจบก็ทำให้เรารู้สึกว่า…. เมื่อไหร่จะปีหน้าโว้ยยย รอไม่ไหวแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่ายังไม่สุด มันยังใส่ยับได้อีกซึ่งเราคิดว่าภาคสองคงจะใส่ยับมากกว่านี้แน่ ๆ

บทสรุป

ไปดูเถอะถ้าคุณเป็นแฟนมาร์เวล แม้ไม่ดูมาครบทุกเรื่อง และ อาจจะต้องใช้ความคิดนึงนึงว่า “เอ้…เมื่อกี้หมายถึงอะไร” แต่คุณจะสนุกไปกับมัน ตอนจบบางคนอาจจะไม่ชอบ แม้จะจบเคลียร์มากแล้วก็เถอะ มีเอนเครดิต ต้องดูเลย!!

รีวิว Red Rocket

รีวิว Red Rocket

รีวิว Red Rocket

รีวิวหนังดัง สวัสดีครับวันนี้แอดมินมาเล่าหนังชีวิตหนังสะท้อยชีวิตสังคมของหนุ่มวัยกลางคน เป็นเรื่องราวของ นักแสดงหนังโป๊วัยกลางคน ไมกี้ เซเบอร์ (เร็กซ์) หนีจากลอสแองเจลิส ถูกทำร้าย และ ฟกช้ำด้วยเงิน 22 เหรียญสำหรับชื่อของเขา ย้อนกลับไปที่เมืองเท็กซัส ซิตี้ บ้านเกิดของเขา เขาได้พบกับสตรอว์เบอร์รี (ลูกชาย) พนักงานร้านโดนัทวัย 17 ปี และ เริ่มคิดหาวิธีที่จะสร้างสถานะใหม่ขึ้นมาใหม่ และ ตอกย้ำความเป็นดาราของเขากลับคืนมา

Mikey Saber ของ Simon Rex เป็นสิ่งมีชีวิตที่กระตุก ศีรษะสูง ราวกับว่าเขากำลังลอยอยู่เหนืออึของตัวเอง เขามักจะวิ่งไปรอบๆ คอยระวังอยู่เสมอ เขาเคลื่อนไหวเหมือนเมียร์แคต และ คิดเหมือนงู อุบายชั่วนิรันดร์ ถ้าเขาเคยมีช่วงความสนใจ มันก็หายไปพร้อมกับศักดิ์ศรี และ ความตระหนักในตนเองของเขา “อีกไม่นาน มันก็จะเหมือนกับว่าเรายังคงแต่งงานกัน”

เขากล่าวกับอดีตคู่หู เล็กซี (บรี เอลรอด) ผู้ซึ่งไม่ยอมปล่อยให้เขาล้มลงบนโซฟาของเธออย่างไม่เต็มใจ “เรายังคงแต่งงานกัน” เธอจ้องเขม็ง “โอ้ มีแมลงปอ!” เขาตอบ มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่สนใจเธอโดยสัญชาตญาณเพราะข้อมูลของเธอไม่ใช่สิ่งที่เขากำลังมองหา ดูหนัง

รีวิว Red Rocket

รีวิวหนังดัง ไมกี้เป็นหรือเคยเป็นนักแสดงหนังโป๊ พวกเขาทั้งคู่เป็น แต่เขาอยู่ในหลักสูตรทำให้ใหญ่ในลอสแองเจลิสจนกระทั่งสิ่งต่าง ๆ พังทลาย ตอนนี้ ด้วยไวอากร้าหนึ่งซอง และ คอมเพล็กซ์ที่เหนือกว่าที่ใส่ผิดที่ เขาจึงหนีกลับบ้านไปยังเมืองที่เขาเกลียดชัง เหลือเพียงคนเดียวที่จะพาเขาเข้ามา

เขาคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ แต่ไม่มีใครสนใจ ผู้คนที่นี่ เขาเป็นคนขี้ขลาดแบบเดิมๆ ที่เขาเคยเป็น ส่วนใหญ่—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง—ไม่แม้แต่จะปกปิดการดูถูกเหยียดหยามด้วยซ้ำ เล็กซี่เตือนเขาว่าเขาจะไม่ก้าวเข้าไปในเมืองอีกเลย “แล้วโลกก็ทำร้ายฉัน ฉันจะพูดอะไรได้” เขาถ่มน้ำลายกลับ

ผู้กำกับฌอน เบเกอร์ชอบแหย่เรื่องราวที่เหลืออยู่ของ The American Dream ภาพยนตร์เกือบทั้งหมดของเขา — แน่นอนว่าในไม่กี่เรื่องสุดท้าย ซึ่งรวมถึงStarlet , Tangerine และ The Florida Project — ติดตามผู้คนส่วนใหญ่ที่ชายขอบ ซึ่งติดอยู่ ถูกพันธนาการโดยพฤติการณ์ พยายามจะออกไป ค้นหาทางหนี ความสำเร็จ ชีวิตอื่น อีกรอบ และ สำหรับไมกี้แล้ว ทุกคนคือสินค้าโภคภัณฑ์ ทุกคนต้องอยู่บนโลกใบนี้เพื่อประโยชน์ของเขา เพื่อช่วยเขาปีนบันไดของสังคม เหยียบย่ำพวกเขาในขณะที่เขาทำเช่นนั้น

รีวิว Red Rocket

การกระทำมากมายในRed Rocketเช่นเดียวกับส้มเขียวหวานเกิดขึ้นในร้านโดนัท ที่ซึ่งผู้คนแห่กันไปซื้อน้ำตาล และ วัชพืช และ โรงกลั่นน้ำมันแห่งนี้ก็มีอยู่จริง มันคือปี 2016: ในโทรทัศน์ ทรัมป์ดึงดูดผู้ชมของเขา โดยบอกว่าเขามีสิ่งที่พวกเขาต้องการ ในขณะเดียวกัน ไมกี้ก็เข้าไปขายวัชพืช “ผมเป็นเด็กรักชาติ”

เขาบอกกับสำนักข่าวในขณะที่ซื้อกระดาษม้วน Stars and Stripes แต่เขาเหรอ? ส่วนใหญ่อาจจะไม่ เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แค่สิ่งที่เขาต้องการ เขาบอกเรย์ลี (ซูซานนา ซัน) ที่ทำงานในร้านโดนัท และ เรียกตัวเองว่าสตรอเบอรี่ว่าเธออยากฟังอะไร เพราะเขาเริ่มชอบเธอในทันที และ มองว่าเธอเป็นตั๋วที่เขาจะออกไปจากที่นี่ ทั้งๆ ที่ และ เพราะ ความจริงที่ว่าเธออายุ 17 ปี บางที เขาคิดว่า เขาสามารถเกิดใหม่ได้ในหนังโป๊ในฐานะตัวแทน

บนกระดาษ ไมกี้เป็นยาขับไล่; บนหน้าจอที่น่าสนใจ ไซม่อน เร็กซ์ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์ มีเสน่ห์ ทำให้เขามีการแสดงที่น่าจับตามองมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เราต้องดึงดูดเขาเพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจว่าเขามีส่วนร่วมกับคนอื่นอย่างไร และ เราเป็น — เขามีเสน่ห์อย่างไม่รู้จบ สนุกสนาน และ ตลกขบขัน และ ไร้สาระ

รีวิว Red Rocket

เบเกอร์มีความสามารถพิเศษในการคัดเลือกนักแสดงอย่างไม่น่าเชื่อ และ เขายังรายล้อมเร็กซ์ด้วยผู้คนที่รู้สึกเหมือนอยู่ในตัวละครของพวกเขาตลอดไป แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่เคยแสดงมาก่อนก็ตาม นั่นคือกลเม็ดมายากลที่ยิ่งใหญ่ของ Baker ซึ่งเล่นอย่างชาญฉลาดที่นี่

ตัวละครในสมมติดูเหมือนจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกเหมือนลอยอยู่บนกำแพง แต่มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ มันมีพลังขับเคลื่อนอย่างมาก ส่วนใหญ่ดูเหมือนว่ามันแค่ไปเที่ยวกับคนเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ สร้างความสัมพันธ์ และ ความขุ่นเคือง

ถึงแม้ว่าหัวใจของตัวละครนำจะกลวง แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ารัก ภาพนี้ถ่ายด้วย Super 16 มม. ที่มีเกรนน้อยน่ารักโดยช่างภาพ Drew Daniels ซึ่งทำให้ Wavesของ Trey Edward Shults ดูงดงามมาก และเขาทำให้Red Rocketอบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์ในเท็กซัส

ที่นี่ Texas City ยังเป็นสถานที่ในโลกอื่น ๆ ที่เกือบจะเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ แสงนีออนในตอนกลางคืนของ Donut Hole ที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่ตรงหน้าเมืองที่มีแสงไฟสีเขียวและสีส้มของโรงกลั่นน้ำมัน ในขณะที่ไฟถนนรอบๆ สั่นไหว ท้องฟ้าก็อบอวลไปด้วยควันปล่องไฟอย่างโรแมนติก . แฟนตาซีอยู่ในอากาศ เว็บหนัง

Texas City ไม่ได้หมุนรอบ Mikey Saber แต่เขาคิดว่ามันใช่ มืดบอดไปด้วยความหลงผิดและความสิ้นหวัง Rex, Baker และ Chris Bergoch ผู้เขียนร่วมประจำของเขาได้สร้างหนึ่งในตัวละครเอกพจน์ที่แท้จริงของภาพยนตร์ เขาเป็นคนที่คุณทำไม่ได้และจะไม่หยั่งรู้ แต่คุณไม่สามารถละสายตาจากเขาได้ กว่าหนังจะจบ คุณคงไม่รู้หรอกว่าอะไรกระทบกระเทือนใจคุณ แล้วเขาก็ไป

สรุปเรื่อง Red Rocket

รีวิวหนังดัง นักแสดง (ประกอบด้วยมือโปรสองสามคนและมือใหม่ดีๆ มากมาย) เรียงรายไปด้วยสถานที่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ปรับบริบทของการวางอุบาย ฝุ่น และการแตกตื่นของ Mikey ในรายการ America’s Decline ไมกี้กำลังเดินลัดเลาะไปตามท่อระบายน้ำในประเทศที่มีคนเพียงไม่กี่คนมีทรัพย์สินมากกว่าที่ใครๆ ต้องการนับล้านเท่า ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการเลิกจ้างหรือถูกวินิจฉัยว่าไร้บ้าน จากจุดชมวิวนั้น คุณจะเห็นได้ว่าเหตุใด Mikey จึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะบันทึกทุกช่วงเวลาแห่งความสนุกและชัยชนะที่หายวับไปอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าเขาจะทำได้

ผู้กำกับภาพ ดรูว์ แดเนียลส์ (“Waves) ถ่ายทำรายการทั้งหมดด้วยฟิล์ม 16 มม. ด้วยภาพที่นุ่มนวล/เป็นเม็ดเล็กๆ ที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ลูกครึ่งที่มีเสน่ห์ของทศวรรษ 1970 ที่เบเกอร์และบริษัทของเขาเรียนกันอย่างชัดเจนว่าเป็นการเขียนด้วยลายมือ . คุณเจอโจ บัคจากเรื่อง “Midnight Cowboy” และตัวเอกของเรื่อง “Hud” ตะวันตกสมัยใหม่ ทั้งจาก Texans แล้วจากนั้นก็ตีหัวเขาสองสามครั้งด้วยค้อนการ์ตูนขนาดใหญ่ คุณก็ทำได้ คุณพบกับ Mikey ซึ่งกลายเป็นหกส่วนท้าย สอง รุ่นผู้ป่วยนอกของกายวิภาคของเขาซึ่งเขาหาเลี้ยงชีพและนั่นจะไม่ทำงานถ้าเขาไม่เติมด้วยยา

รีวิว Red Rocket

หายนะอันจูงใจที่ Mikey’s Rise to Power Act 3 ปลดปล่อยออกมาเป็นหนึ่งในกรณีเหล่านั้นที่จักรวาลมักจะพลาดคำอุปมาเรื่องชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาขาดความตระหนักในตนเองมากจนพวกเขา ‘ไม่ได้ทำ’ ได้รับข้อความ มันเหมือนกับนักต้มตุ๋นฟิล์มนัวร์ที่เสียชีวิตที่ป้ายที่เขียนว่า “เดดเอนด์” และพูดด้วยลมหายใจที่กำลังจะตายว่า “ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นทางตัน”

ถ้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมสามารถไปหาสัตว์ได้ บูลด็อกตาเป็นประกายของ Lexi น่าจะเป็นคู่แข่งกัน บางครั้งเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้หัวเราะออกมาเพราะความปวดร้าวของก้อนหิมะของฮีโร่ และคุณคิดว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งที่สูงสุดได้ ทั้งหมดก็อยู่ที่สุนัขที่กำลังมองมาที่ Mikey เพราะตัวเขาเองรู้จักผู้ชายคนนี้ดีที่สุดมากกว่าที่เขารู้จักตัวเอง เว็บดูหนัง

ภาพยนตร์ที่มีเสน่ห์และสวยงามเกี่ยวกับ toerag ทั้งหมด Red Rocket เป็นการศึกษาตัวละครที่ไม่เหมือนใคร: Mikey Saber จะทำให้ถุงเท้าของคุณมีเสน่ห์และคุณจะเกลียดเขาสำหรับมัน

 

รีวิว The Invisible Guest

รีวิว The Invisible Guest

รีวิว The Invisible Guest

รีวิวหนังดัง สวัสดีครับ วันนี้แอดมินเค จะมาแนะนำหนังแนวสืบสวน แนวคดี หนังจากสเปนที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากครับ หลายคนอาจจะรู้จักวงการภาพยนตร์ประเทศสเปน จากชื่อเสียงในเวทีรางวัลผ่านผลงานสไตล์เมโลดราม่าอันฉูดฉาดของ เปรโด อัลโมโดวาร์ มาก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีหนังตลาดยอดนิยมทำเงินในประเทศ และ สร้างชื่อระดับนานาชาติเช่นกันด้วยหนังแนวสยองขวัญ-สืบสวนหักมุม ซึ่งนับเป็นตระกูลหนังแนวถนัดของคนทำหนังสเปนยุคใหม่ รวมไปถึง The Invisible Guest หรือ Contratiempo ผลงานกำกับของ โอริโอล เปาโลเรื่องนี้ รีวิว The Invisible Guest (2016) : แขกไม่ได้รับเชิญ หนังดราม่าสืบสวนสอบสวนสัญชาติสเปน ที่จะปั่นหัวคุณ แล้วทำคุณอึ้งในตอนจบ

เปาโลมีผลงานแจ้งเกิดในฐานะคนเขียนบท Julia’s Eyes(2010) หนังระทึกขวัญที่ประสบความสำเร็จทั้งเงิน และ กล่อง ก่อนจะ ได้ทำหน้าที่กำกับ และ เขียนบทหนังเรื่องแรกใน The Body เมื่อปี 2012 ซึ่งถูกนำไปรีเมคถึงสามครั้งด้วยกัน กับหนังปี 2016 เรื่องนี้แม้จะ ไม่ได้ประสบความสำเร็จในบ้านเกิดมากนัก แต่กลับทำเงินในประเทศจีนถึง 25.9 ล้านเหรียญฯ และ ก็ถูกนำไปรีเมคเป็นหนังอิตาลีในชื่อ Il testimone invisibile เมื่อปี 2018 และ หนังอินเดียถึงสองเวอร์ชั่น คือภาษาฮินดูในชื่อ Badla และ ภาษาเตลูกู ในชื่อ Evaru เข้าฉายในปี 2019 ช่วงไล่เลี่ยกัน (คลิกดูได้ผ่าน Netflix ชื่อไทย “แค้น”) ซึ่งสะท้อนให้เห็นเช่นกันถึงความสนุกแพรวพราวของบทที่ไร้พรมแดนทางวัฒนธรรม สามารถดัดแปลงให้กับคนดูชาติอื่นได้ง่าย จนผู้สร้างจากหลายประเทศเล็งเห็นซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างใหม่ เว็บดูหนัง

รีวิว The Invisible Guest

รีวิวหนังดัง The Invisible Guest เป็นเรื่องราวของ Adrián Doria นักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด แต่กลับเป็นผู้ต้องหาในการก่อคดีฆาตกรรมแฟนสาวลับ ๆ ของเขาเองคือ Laura Vidal ซึ่งทางตำรวจก็ได้สรุปคดีว่าไม่มีทางที่จะ เป็นคนอื่นไปได้เพราะเหตุเกิดขึ้นในโรงแรม ที่ถูกล๊อคทุกอย่างภายในห้อง แต่ตัวเขาเอารู้ว่าเขาไม่ได้ทำ เขาถูกจัดฉาก ดังนั้นเขาจึงให้ Félix Leiva ทนายของบริษัทช่วยแก้ต่างในคดี แต่เนื่องจากคดีมีความซับซ้อนจนเกินไป Félix จึงไหว้วานให้ทนายมือดีที่สุดคนหนึ่งที่ไม่เคยแพ้ก็ดีเลยคือ Virginia Goodman มาช่วย ดังนั้น Adrián Doria จึงจำเป็น จะต้องเล่าทุกอย่างให้ Virginia Goodman ฟัง โดยไม่ทิ้งช่องโหว่อะไรเอาไว้เลย เรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร มีความสลับซับซ้อนมากแค่ไหน คงไม่สามารถเล่าได้ต้องไปชมกันใน Netflix เอาเองครับ

เนื่องจาก The Invisible Guest เป็นหนังสืบสวนสอบสวน ลึกลับ ความลับ ดังนั้นจึงไม่พ้นกลวิธีในการเล่าเรื่องแบบค่อย ๆ เปิดเผยไปที่ละขึ้นตอน เราจะรู้เรื่องราวทีละจุด ผ่านการสนทนาระหว่างทนายความ กับลูกความ ลูกความจะค่อย ๆ เล่าความจริง ให้ทนายความฟัง วิธีการเหล่านั้นจะ ทำให้เราย้อนกลับไปในอดีต ที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ตัดสลับไปมาระหว่างภาพ “ความจริง” ที่เกิดขึ้นกับการสนทนาของตัวละคร ทุกครั้งที่ภาพตัดกับไปในอดีตเราก็จะค่อย ๆ รู้เรื่องเราเหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ ไปทีละชิ้นจนเกิดภาพใหญ่ ซึ่งเราจะต้องตามตัวละครเอก 2 ตัวนี้ไปให้ถึงจนจบ แล้วเราก็ จะสามารถประติดประต่อเรื่องราวของเรื่องได้นั่นแหละ

รีวิว The Invisible Guest

โดยส่วนตัวผมมองว่าผู้กำกับ และ คนเขียนบทเขาวางทุกอย่าง เอาไว้ค่อนข้างดี ทำให้เราเชื่อว่า “กับดัก” ที่เขาต้องการวางไว้ในจุดที่เหมาะสม และ เมื่อถึงช่วงเวลาที่สำคัญเมื่อเราเดินเช้าไปในกับดักนั้น “กับดัก” ก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างถูกที่ถูกเวลาแลัค่อนมีประสิทธิภาพ สิ่งละอันพัน ละน้อยก็ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นแหละสามารถช่วยทำให้เนื้อเรื่องไม่มีช่องโหว่ไหลราบรื่น เรียกได้ว่าล่อลวงคนดูได้อย่างอยู่หมัด ซึ่งหากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้หนังสืบสวนสอบสวน หรือแฟนพันธุ์แท้นิยายสืบสวนสอบสวน สำหรับผมมองว่าเรื่องนี้ดำเนิน ล่อลวง และ เฉลยไปได้ ตามขนบที่ควรจะเป็น เว็บหนัง

หนังใช้นักแสดงน้อย แต่นักแสดงทุกคนล้วนแต่มีบทที่สำคัญ เหมือนกับเป็นชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่ไม่สามารถขาดได้เลย โดยเฉพาะการสนทนาระหว่างทนายกับลูกความ หนังได้ใช้สองคนนี้ หลอกล่อคนดูไปมาอย่างอยู่หมัด เป็นการหลอกล่อที่สร้างความสับสนมึนงงงแต่ดีงามตามขนบหนังสืบสวนสอบสวน

สรุป The Invisible Guest

รีวิวหนังดัง หนังยังโดดเด่นด้วยการออกแบบอาคาร ซึ่งพ้องกับอาชีพของเอเดรียน ห้องพักของเขาโปร่งใสด้วยสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่สามารถเห็นภายในห้องได้ชัดเจน แต่ตัวเขากลับปกปิดความเลวร้ายของตนเอาไว้มากมายกว่าที่คาดคิด และ มั่นใจอย่างยิ่งแม้จะเห็นผู้ต้องสงสัยผ่านอาคารฝั่งตรงข้าม เพราะเชื่อในความเหนือกว่าของตน แต่มันก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ย้อนมาหาตนเอง

นี่ยังป็นตัวอย่างช้นดีของหนังเขย่าขวัญหักมุมที่ไม่ต้องเร้าอารมณ์จนเกินไป พร้อมกันนั้นก็เป็นกลวิธีการหักมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งหากพลาดขึ้นมาวิธีเช่นนี้อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้จับผิดได้ แต่ด้วยบทที่ผ่านการเขียนอย่างรัดกุม การหักมุมที่มากมายจึงไม่ล้น และ รู้สึกถึงความจงใจแบบซีรี่ส์อเมริกาหลายเรื่องที่มักหักมุมทุกช่วงเบรกโฆษณา

แต่หากถามว่า เรื่องราวทั้งหมดดำเนินมาจนถึงจุดเฉลยแล้วสร้างความประหลาดใจให้กับผมมากน้อยเพียงใด มันจะทำให้ The Invisible Guest กลายเป็นสุดยอดภาพยนต์หักมุมระดับตำนานตามที่ผมยกตัวอย่างในตอนต้นได้หรือไม่นั้น ผมคงตอบได้ว่ามันไม่สามารถไปถึงการเป็นภาพยนตร์หักมุมระดับยกมือขึ้นปิดปากทาบอกได้แน่นอน มันยัง “เบา” เกินไป แต่ผมเชื่อว่าหาใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ภาพยนตร์สืบสวนสอบสวน หรือแฟนพันธุ์แท้นิยายสืบสวนสอบสวน มันจะมีบางจุดที่ทำให้คุณพอจะคาดเดาบางสิ่งบางอย่างได้บ้าง แต่นั่นก็เกือบท้ายเรื่องแล้วนะ

หนังได้แสดงถึงการเอาตัวรอดของมนุษย์ การทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ตัวเองรอด แล้วเมื่อสถานการณ์บีบบังคับไปจนถึงจุดสูงสุด สถานการณ์การบีบรัดจนตัวมากที่สุด มนุษย์เราก็จะขาดสติ สร้างช่องโหว่ให้กับตัวเองได้อย่างมากมาย ประเด็นนี้แหละที่หนังสามารถเอามาเล่นได้ค่อนข้างดีงาม

รีวิว The Invisible Guest

ความแตกต่างอย่างหนึ่งซึ่งผมถือว่าเป็นความดีของเรื่องคือ เรารู้ว่าใครเป็นคนผิด แต่เรากลับเอาใจช่วย “คนผิด” มากกว่า “คนถูก” นั้นได้เฉยเลย

เนื่องจากเป็นหนังสืบสวนสอบสวนที่เน้นเรื่องการสนทนาระหว่างตัวละคร ดังนั้นเวลาที่คุณดูจะต้องมีความตั้งใจ และ เนื่องจากเป็นหนังภาษาสเปน คุณจะต้องอ่าน subtitle ให้ละเอียดพอสมควร ไม่อย่างนั้นคุณจะพลาดบางสิ่งบางอย่างไปได้ และ บางสิ่งบางอย่างนั้นอาจใจเป็นจุดสำคัญที่สุดของเรื่องเลยทีเดียว ดังนั้นคุณจะต้องมีสมาธิ และ ไม่ทำสิ่งอื่นระหว่างชม

แต่เนื่องจากเป็นหนังที่เน้นเรื่องการสนทนาระหว่างตัวละคร มันจึงมีบางจุดที่อาจทำให้คุณรู้สึกว่าช้า อาจมีบางจุดที่ทำให้คุณรู้สึกเบื่อได้บ้าง แต่หนังก็ยังฉลาดพอที่รู้จักจะใส่ Sound ประกอบ ให้เราได้รู้สึกได้ลุ้นบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้บ้าง

“ความรู้สึกส่วนตัวและอารมณ์ของภาพยนตร์ที่เรารู้สึกนึกถึง”

หนังเรื่องนี้ มีการใช้ทฤษฎี การเล่าเรื่องตามหา ความจริงแบบหนังชั้นครูอย่าง “Rashomon” คือคุณจะได้เห็นทุกมิติ ของคดีว่าสามารถออกได้ทางไหนบ้าง แต่เรื่องนี้เขามีสรุปให้ ไม่ได้เปิดให้เราไปคิดเองว่าความจริงเป็นอย่างไร ต้องบอกว่าผมสนุกมากเพราะ เออ มันออกได้ทุกมิติจริง ๆ คำให้การของผู้ร้ายนี่เชื่อไม่ได้เลย ทนายก็เก่งเกินไล่ตอนจนเจอ 555 ดูหนัง
ในขณะที่รับชม The Invisible guest อยู่นั้น ผมก็นึกถึงการหักเหลี่ยม เฉือนคม ไล่ต้อนฆาตกรแบบนี้ ที่ไหนมาก่อนและก็นึกออกว่าอารมณ์ความเข้มข้น ของหนังเรื่องนี้มันคล้าย ๆ กับ ภาพยนตร์เรื่อง Sleuth (2007) ที่ Jude law และ Michael Caine แสดงไว้แต่เรื่องนั้น เขาเล่นกันสองคนเพรียว ๆ เลย แต่อารมณ์การฟาดฟันกันด้วยมันสมองคล้าย ๆ กับ The invisible guest ครับ

ข้อมูลภาพยนตร์

The invisible guest เข้าฉายครั้งแรกที่ประเทศสเปน 6 มกราคม 2017
ความยาว 1 ชั่วโมง 46 นาที
ชื่อต้นฉบับ Contratiempo
สามารถรับชมได้ทาง Netflix

รีวิว avenger age of ultron

รีวิว avenger age of ultron

รีวิว avenger age of ultron

หนังไทยnetflix หลังจากที่รอคอยมานานกลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ก็ได้กลับมาอีกครั้งในภาคนี้ เชื่อว่าแฟนคลับ ทีม Avengers คงรอกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งเราตั้งใจว่าจะเขียนบทความตามความชอบของแต่ละคน ซึ่งตั้งใจว่าจะไม่ให้เกี่ยวกับ IT อย่างที่เคยเขียนกันเป็นประจำอยู่แล้ว วันนี้ผมเลยจะมารีวิวหนังให้อ่านกันเช่นเคยครับ

โดยจะรีวิวหนังที่หลายๆคนคงได้ไปดูกันแล้วนั่นก็คือ Avengers : Age of Ultron ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วที่จักรวาลในฉบับภาพยนต์จะแตกต่างจากในเนื้อเรื่องจริงโดยสิ้นเชิง ซึ่งนับเป็นเรื่องดีครับเพราะเราจะได้เห็นความแตกต่างและน่าลุ้นระทึกกับจักรวาลใหม่ในฉบับภาพยนต์อย่างเต็มอิ่ม โดยไม่จำเป็นต้องปักใจกับฉบับคอมมิคอีกแล้ว

เนื้อเรื่องใน Avengers: Age of Ultron เริ่มต้นที่ประเทศโซโคเวีย ซึ่งเหล่า Avengers ได้เข้าจู่โจมฐานทัพลับของ Baron Von Strucker ที่ได้ขโมยคฑาของ Loki ไปซึ่งภายในมี Mind Gem ซึ่งเป็นหนึ่งใน Infinity Gem ซึ่งมีพลังอำนาจเกินหยั่งถึง ซึ่งนอกจาก Mind Gem แล้วยังประกอบด้วย Space Gem, Soul Gem, Reality Gem, Time Gem, Power Gem ซึ่งอัญมณีเหล่านี้กำลังถูกรวบรวมอยู่อย่างลับๆ ซึ่งจะมีเฉลยอยู่ในหลังเครดิตของเรื่องครับ รอดูกันได้เลย (ผมไม่สปอยล์ครับ อิอิ) เว็บดูหนัง

รีวิว avenger age of ultron

รีวิวหนังดัง โดยเหล่า Avengers ต้องแย่งชิงคฑาคืนมาจาก Baron Von Strucker ให้ได้เพื่อคืนให้กับ Thor โดยในภารกิจครั้งนี้ Iron Man ได้ไปเจอยานรบต่างดาวจากภาคแรกที่ Baron Von Strucker นำมาเก็บซ่อนเอาใว้ และโดน Scarlet Witch เล่นงานทางจิตใจจนทำให้เขาหวาดกลัวว่าลำพังเพียงทีม Avengers จะไม่สามารถปกป้องโลกใบนี้ได้ และกลัวการสูญเสียเพื่อน

รวมทั้งความผิดที่ต้องแบกรับว่าเขาไม่สามารถช่วยใครได้เลย ซึ่งนำไปสู่การสร้าง Ultron ปัญญาประดิษฐ์ที่เขาได้ร่วมสร้างกับ Hulk เพื่อใช้ปกป้องโลกแทนเหล่า Avengers แต่กลับผิดคาด Ultron กลับคิดว่าปัญหาของโลกก็คือมนุษย์นั่นเอง จึงต้องการที่จะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สูญสิ้นไปจากโลก นำมาสู่มหาสงครามที่ยิ่งใหญ่ของเหล่า Avengers

รีวิว avenger age of ultron

สำหรับใน Avengers : Age of Ultron ตัวละครหลักกลับมาครบทีมเลยครับทั้ง Captain America, Iron Man, Hulk, Thor, Hawkeye, Black Widow และ Nick Fury โดยมีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามาอีกหลายคนทั้ง QuickSilver, Scarlet Witch และ Vision (ช่างเป็นภาพยนต์ที่ตัวละครเยอะมากจริงๆ ไม่นับรวมลายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ทาง Marvel ใส่เข้ามาอีกนะครับ) นอกจากนี้ยังมีตัวละครอื่นๆที่เข้ามาเหมือนบทรับเชิญให้แฟนๆได้ปลื้มกันอีกหลายคนเลยทีเดียว แนะนำเลยว่าห้ามพลาดโดยเฉพาะแฟนๆ Marvel ด้วยแล้วนะครับ

สำหรับตัวละครใหม่อย่าง QuickSilver และ Scarlet Witch จะเป็นตัวละครที่มาจากเรื่อง X Men แต่จะมีที่มาแตกต่างจากต้นฉบับเพราะปัญหาลิขสิทธิ์ แต่ความสามารถยังคงเดิมครับ QuickSilver ความสามารถคือความเร็วเหนือมนุษย์ ซึ่งมีความเร็วเท่ากับความเร็วเสียงเลยทีเดียว

ส่วนทาง Scarlet Witch จะมีพลังควบคุมจิตใจ และปล่อยคลื่นพลัง และ Vision เป็นหุ่นยนต์ที่ผสมผสานกับร่างกายที่มีชีวิต โดยมี Mind Gem เป็นแหล่งพลังงานทำให้ทรงพลังอำนาจมากๆ สามารถปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายได้ สามารถบิน หรือล่องหน รวมทั้งปล่องลำแสงพลังงานได้อีกด้วย ดูหนัง

สรุป avenger age of ultron

รีวิวหนังดัง Avengers : Age of Ultron เปิดเรื่องมาได้ชวนน่าสนุกครับ ฉากแอคชั่นใหญ่โตและดูน่าสนใจ ออกแบบมาได้ดีมากๆ และมีฉากที่ได้เห็นด้านที่อ่อนแอของเหล่า Avengers ซึ่งช่วยให้ภาพยนต์เรื่องนี้ดูมีมิติมากกว่าภาคที่แล้ว แต่ว่าโดยส่วนตัวผมมองว่ายังทำออกมาได้ไม่ดีนัก

เพราะโดยส่วนตัวผมไม่รู้สึกอินตามเลยจริงๆ ในภาคนี้ Hawkeye เด่นมากๆครับ เป็นพระเอกของภาคนี้เลยละ ได้บทที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในเหล่า Super Hero และได้แสดงออกในด้านที่อ่อนโยน ส่วนตัวละครหน้าใหม่ผมชอบที่หนัง ไม่ปูเรื่องมากนัก แต่ยังสามารถอธิบายให้คนดูเข้าใจและเห็นใจกับการตัดสินใจของทั้ง QuickSilver และ Scarlet Witch ที่จะอยู่ฝั่ง Ultron เสียดายที่ดูจนจบผมยังรู้สึกว่าหนังเล่าเรื่องได้ไม่ค่อยเคลียร์ ยังมีหลายเหตุการณ์ในเรื่องที่ดูไม่ประติดประต่อนัก แต่ด้วยนักแสดงที่มากขนาดนี้ เรื่องราวที่เล่าเยอะขนาดนี้ผมว่าทำออกมาได้น่าพอใจแล้วละครับ

ในส่วนของงานภาพและเสียงประกอบภาพยนต์ทำได้สุดยอดมากครับ ออกแบบฉากต่างๆได้สวย ฉากใหญ่ๆในเรื่องจัดเต็มให้ดูกันแทบจะทั้งเรื่อง ซึ่งทำได้สมราคาคุยจริงๆ ยอดเยี่ยมมากๆ โดยเฉพาะฉากที่ Iron Man ต่อสู้กับ Hulk กลางเมืองดูสนุกและมันมากครับ ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมจนหนังตัวอย่างที่ตัดมาเป็นแค่น้ำจิ้มไปเลย ต้องไปดูกันจริงๆ

รีวิว avenger age of ultron

และฉากรถประจำทางตลุยกลางเมืองก็ออกแบบมาได้สุดยอดมากครับน่าตื่นตาตื่นใจ จนไปถึงฉากกองทัพ Ultron รุ่มโจมตีทีม Avengers ก็ทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ฉากสุดท้ายของเรื่องดูยิ่งใหญ่มากๆสมเป็นหนังภาคต่อที่หลายๆคนคาดหวังมากที่สุดเรื่องนึงจริงๆ ดูจนจบก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยครับทั้งที่ภาพยนต์เรื่องนี้มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว มุกตลกต่างๆในเรื่องดูน่ารักมากๆ และทำออกมาได้ลงตัวจริงๆ ผมว่าแฟนๆน่าจะติดใจแน่นอน แถมภาคนี้ยังมีเรื่องโรแมนติคที่แตกต่างจากในคอมมิคระหว่าง Hulk กับ Black Widow ด้วยนะเออ^^

สำหรับสิ่งที่ผมชอบที่สุดในภาคนี้ก็คือ Ultron ครับออกแบบตัวละครได้มีมิติมากๆ มีมิติมากยิ่งกว่าในคอมมิคด้วยซ้ำ เป็นตัวละครหุ่นยนต์ที่นำเสนอได้เหมือนว่ามีเลือดเนื้อ มีอารมณ์ และอุปนิสัยที่น่าสนใจมากๆ มีมิติทำให้เราเชื่อว่า Ultron ทำไปเพราะเขาเชื่อแบบนั้นจริงๆ ทำให้เป็นตัวร้ายที่ดูไม่กระจอกแต่มีอุดมการณ์ และมีสีสันจับต้องได้มากกว่าที่คาดใว้อีกครับ ขอชมเลยว่ายอดเยี่ยมมากๆ

แต่ที่ชมมาทั้งหมดต้องบอกว่า Avengers : Age of Ultron นั้นสร้างออกมาได้ยอดเยี่ยมแล้ว บทเขียนมาได้ดีแล้ว แต่ผมคิดว่าเพราะหนังยาวเกินไป จึงโดนตัดต่ออย่างกระชับเกินไป จนรายละเอียดที่ควรจะมีขาดหายจนผมรู้สึกว่าหนังยังไปได้ไม่สุด และทำให้บางส่วนของเรื่องราวดูหายไปจากความเข้าใจ เว็บหนัง

รีวิว avenger age of ultron

ซึ่งแม้จะไม่นับรวมเรื่องนี้ Avengers : Age of Ultron ก็ยังคงสนุกน้อยลงกว่า The Avengers ภาคก่อนหน้านี้พอสมควรเลยครับ แต่แม้ว่าจะสนุกน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้แปลว่า Avengers : Age of Ultron จะไม่สนุกนะครับ ต้องบอกว่ามันสนุกมากๆจนไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาดเลยละครับ

Avengers : Age of Ultron เป็นหนังที่มีโฆษณาแฝงเยอะมากครับ ที่เห็นชัดๆเลยก็ Samsung และ Beats อิอิ ชัดแบบตั้งใจสุดๆกันไปเลย (มีแบรนด์อะไรอีกบ้างมาบอกต่อกันได้นะครับ) ท่าจะจ่ายเยอะนะครับเนี่ย ซึ่งผมว่าน่าจะมีใครหลายๆคนอาจจะไปซื้อ Samsung Galaxy S6 Edge เพราะดู Avengers : Age of Ultron ก็เป็นได้นะครับ^__^ และมารอชมขบวนภาพยนต์ Super Hero จาก Marvel กันครับมีให้ชมอีกเพียบ แถมทางฝั่ง DC ก็มีทีเด็ดเช่นกัน เป็นยุคทองของหนัง Super Hero จริงๆครับ

วันที่ผมไปดู Avengers : Age of Ultron ผมและเพื่อนๆเลือกดูโรง IMAX ก็เลยได้ชมตัวอย่างภาพยนต์ที่น่าสนใจมากๆ Tomorrowland ซึ่งตัดมาให้ชมนานกว่าหนังตัวอย่างปกติมากๆเลยครับ เชื่อว่าหลายๆคนได้ชมแล้วต้องอยากตามดูฉบับเต็มๆของ Tomorrowland แน่นอน (จะเข้าฉายเดือนนี้แล้ว)

รีวิว The Avengers 1

รีวิว The Avengers 1

รีวิว The Avengers 1

หนังไทยย้อนยุค สวัสดีครับวันนี้แอดมินจะมารีวิวหนังฮีโร่มาเวล อเวนเจอร์ การรวมตัวของเหล่าฮีโร่ ที่จะต้องปกป้องโลกจากภัยร้าย หลังจากที่ได้ห่างเหินกันไปหลายปีวันนี้จึงขอนำพาเพื่อน ๆ ย้อนกลับมาชมกันกับทีม The Avengers ภาคแรกกันครับ มาดูกันว่าก่อนที่พวกเขาจะมาเป็นทีม The Avengers ที่สามัคคี และ สู้ด้วยกันอย่างเข้าขา พวกเขาเป็นอย่างไร เมื่อถูกโลกิบุกเข้ามาตอนแรก ไม่สามารถอดทนรอไปนานกว่านี้ได้แล้ว หลังจาก ‘The Avengers’ เข้าฉายในประเทศไทยวันแรกเป็นวันแรงงานแห่งชาติ วันหยุดของหลาย ๆ คน ทำให้ทุกคนเฮโลกันเข้าโรงหนังแล้วออกมาทวีตกันเป็นทิวแถว ในที่สุดก็ต้องไปดูในโรงด้วยตัวเองให้ได้ …ในวันนี้ เว็บดูหนัง

รีวิว The Avengers 1

รีวิวหนังดัง The Avengers (ดิ อเวนเจอร์ส) เป็นภาพยนตร์ของค่าย มาร์เวล สตูดิโอ ที่รวมเอาเหล่าฮีโร่ทั้งหลายร่วมมือกันปราบโลกิ และ กองทัพจากต่างมิติ ที่ผ่านประตูมิติเข้ามา โดยมี ไอรอนแมน, กัปตัน อเมริกา, ทอร์, ฮัคล์, ฮอว์คอาย และ แบล็ควิโดว์ ซึ่งเป็นหนังที่ออกฉายในปี 2012 ที่กำกับโดย จอสส์ วีดอน แสดงนำโดย รอเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, คริส เฮมสวอร์ธ, คริส อีแวนส์, สการ์เลต โจแฮนส์สัน, มาร์ค รัฟฟาโล, ทอม ฮิตเดิ้ลสตัน และ ซามูเอล แอล. แจ็กส์สัน

รีวิว The Avengers 1

เมื่อศัตรูที่ไม่คาดคิดได้คุกคามความมั่นคง และ ความปลอดภัยของโลกใบนี้ นิค ฟิวรี่ ผู้อำนวยการหน่วยรักษาความสงบ และ สันติระหว่างประเทศหรือที่รู้จักกันในชื่อ หน่วยชีลด์ จึงต้องรวมพลเหล่าซูเปอร์ฮีโร่เพื่อที่จะมาปกป้องโลกให้พ้นจากหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น การรวมตัวครั้งสำคัญของสุดยอดวีรบุรุษได้เริ่มต้นขึ้น โดย นิค สามารถรวบรวมได้ทั้ง โทนี่ สตาร์ค หรือ ไอรอน แมน, สตีฟ โรเจอร์ส หรือ กัปตัน อเมริกา, คลินต์ บาร์ตัน หรือ ฮอร์คอาย, บรูซ แบนเนอร์ หรือ ฮัลค์, นาตาชา โรมานอฟ หรือ แบล็ค วิโดว์ และ ธอร์ มาร่วมเป็นหนึ่งทีมเฉพาะกิจที่ยิ่งใหญ่ เพื่อยับยั้งเหล่าร้ายที่มี โลกิ เทพผู้น้องของ ธอร์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เว็บดูหนัง

ซึ่งหนังเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องโดยที่โลกิ และ กองทัพจากต่างมิติเข้ามาบุกโลก หน่วยซีลด์ และ ทอร์จึงต้องออกมาปกป้องโลก เป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นแต่ก็ไม่ซับซ้อนดูเข้าใจได้ง่าย ด้วยการเผยเป้าหมายของโลกิตั้งแต่แรก แต่ที่ทำให้สนุกคือเรื่องราวของหนัง และ อุปสรรคที่เหล่าฮีโร่ต้องเจอว่าจะหยุดโลกิได้อย่างไร และ มีพล็อตเรื่องเริ่มต้นขึ้นมาด้วยความเรียบง่าย พบกับความสุข ได้รับชัยชนะ แล้วก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ ความเศร้า ก่อนที่จะต้องเจอกับอุปสรรคจริง ๆ ที่ต้องฝ่าฟัน สำหรับฉากต่อสู้นั้นทำได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก การสู้กันก็สุดมัน และ ดุเดือด แต่ก็ไม่ถึงกับเครียด ดูแล้วสนุก มีมุขฮา ๆ ออกจากปากตัวละครให้ได้คลายความตึงเครียดเป็นระยะ ๆ

สรุป The Avengers 1

รีวิวหนังดัง โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องที่สนุกมาก ๆ มีฉากประกอบที่ยิ่งใหญ่อลังการ และ การต่อสู้ที่สุดมันระทึกใจ และ ดุเดือด มีเนื้อหาที่เข้มข้น ดูแล้วสนุกไม่เครียด ที่ผมชอบมากที่สุดก็ฉากการต่อสู้นี่แหล่ะ ชอบที่เหล่าฮีโร่ซัดศัตรูกระจุยกระจาย ผมนี่ดูแทบไม่กระพริบตาเลย กลัวพลาดชอร์ตเด็ด ฮ่า ฮ่า และ โดยเฉพาะการเหาะ การขว้างค้อน และ ยิงสายฟ้าของทอร์ ต้องบอกเลยว่าความสนุก และ ความมันนี้ให้เต็ม 10+ ไปเลยครับ สำหรับหนังแอ็คชั่นแนวแฟนตาซีเรื่องนี้

รีวิว The Avengers 1

สำหรับข้อคิดดี ๆ ที่ได้จากหนังเรื่องนี้ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือความสามัคคี ซึ่งในตอนแรกเหล่าฮีโร่ถูกโลกิครอบงำจิตใจให้ทะเลาะกัน สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ให้กับโลกิ และ ความปรารถนาในอำนาจ และ ความแค้นของโลกิ ที่สุดท้ายก็เป็นภัยแก่ตัวเอง

สำหรับผม เห็นว่าเขาเกลี่ยบทได้ดี พร้อมทั้งยังใส่มุขฮา ๆ เข้าไปมากพอที่จะทำให้คนดูอารมณ์ดีสลับกับการลุ้นในฉากต่อสู้ได้อย่างลงตัว สำหรับฉากแอ็คชั่นนั้นก็มีตั้งแต่เริ่มต้นไปจนท้ายเรื่อง ตัดสลับด้วยฉากดำเนินเรื่องเป็นช่วง ๆ เพียงแต่ช่วงท้าย เราจะได้ลุ้นกันมัน ๆ ยาว ๆ หน่อยเท่านั้นเอง ขณะที่งานด้านเทคนิคพิเศษเนียนดี เทคนิคภาพ 3 มิติในโรง RealD 3D ถือว่าโอเคแม้จะไม่มากมายนักก็ตาม ที่สำคัญคือ ควรดูฉากเพิ่มเติมหลังเครดิตชื่อนักแสดงด้วยนะ ก่อนจะออกจากโรง

หนังเรื่องนี้จึงเป็นหนังดีมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสนุก มันส์ ระทึกใจ ที่ฉากแต่ละฉากยิ่งใหญ่อลังการ และ การต่อสู้ที่ดุเดือด ที่อยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้ชมกันครับ เว็บหนัง

ชื่อภาพยนตร์: The Avengers / ดิ เอเวนเจอร์ส
ผู้กำกับภาพยนตร์: Joss Whedon
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Zak Penn (story), Joss Whedon (story),
ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์:
นักแสดง: Chris Hemsworth, Robert Downey Jr., Chris Evans, Scarlett Johansson, Jeremy Renner, Tom Hiddleston, Mark Ruffalo, Samuel L. Jackson
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Sci-Fi
เรท: ไทย/ , USA/PG-13
ความยาว: 142 นาที
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Marvel Enterprises, Marvel Studios, Paramount Pictures
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 1 พฤษภาคม 2555

นักแสดงนำ

โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ รับบท โทนี่ สตาร์ก / ไอรอนแมน
คริส อีแวนส์ รับบท สตีฟ โรเจอร์ส / กัปตันอเมริกา
มาร์ค รัฟฟาโล รับบท ดร. บรูซ แบนเนอร์ / ฮัลค์
คริส เฮมส์เวิร์ธ รับบท ธอร์
สการ์เลตต์ โจแฮนสัน รับบท นาตาชา โรมานอฟฟ์ / แบล็กวิโดว์